กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - บทที่ 83 ได้รับเลือกให้เป็นเจ้าสำนักเฉินเหมิน (1)
ซูหลีไม่เอ่ยมากความอีก พยักหน้าอย่างหนักแน่น รับป้ายมาเก็บไว้อย่างดี
“ยังมี…หน้ากาก บนหน้าข้า ถอด…ให้หวั่นซิน” เสียงของเขาอ่อนแรงลงเรื่อยๆ คล้ายไม่มีแรงยกมืออีก
ซูหลีอึ้งงัน นางถอดหน้ากากสีทองวิบวับบนหน้าเขาออก
ใบหน้าของเจ้าสำนักเฉินเหมินที่อยู่ใต้หน้ากากสีทองอ่อนวัยกว่าที่นางคิดไว้มาก เขาดูเหมือนชายที่มีอายุราวสี่สิบกว่าปี คิ้วงามดวงตาลึกล้ำ จมูกโด่งเป็นสัน สีหน้าหม่นหมองสุดแสน ริมฝีปากม่วงคล้ำ หน้าตาเช่นนี้…ดูไม่คล้ายชาวแคว้นเฉิง กลับดูเหมือนคนต่างแคว้นเสียมากกว่า
‘บึ้ม’ เสียงสนั่นเลื่อนลั่นดังขึ้นอีกครั้ง ระเบิดระลอกที่สองโจมตีเข้ามา! ประตูเหล็กนิลยังคงมั่นคงไม่สั่นคลอน ทว่ากำแพงสองฝั่งประตูกลับปรากฏรอยแยกหลายเส้นแล้ว!
เสียงระเบิดดังมาก สะท้านสะเทือนจนซูหลีตกใจ เสียงหึ่งๆ ดังในหู อดไม่ได้ที่จะเอ่ยเสียงลอดไรฟัน “ตงฟางเจ๋อน่าตายนัก!”
น้ำเสียงของนางไม่ได้มีแววกริ่งเกรงแม้แต่น้อย คล้ายไม่เห็นคนร้ายกาจเช่นตงฟางเจ๋ออยู่ในสายตาสักนิด สตรีที่มีไหวพริบและใจกล้าเช่นนี้ ช่างหาได้ยากยิ่งนัก!
แววประหลาดใจพาดผ่านดวงตาเจ้าสำนัก เขาพึมพำกับตนเองในใจ “ยามนี้…ข้าสงสัยนักว่าเจ้ารูปร่างหน้าตาเป็นเช่นไร” เขารวบรวมกำลังเฮือกสุดท้าย ยกมือขึ้นปัดไปที่คางของซูหลีอย่างรวดเร็ว!
ซูหลีย่อกายนั่งอยู่ข้างๆ สองมือประคองร่างเขา ไม่คาดคิดแม้แต่น้อยว่าเจ้าสำนักจะทำเช่นนี้ ในช่วงคับขัน ทำได้เพียงเอนศีรษะหลบไปด้านหลังตามสัญชาตญาณ เมื่อเสียง ‘พลั่ก’ ดังขึ้น หน้ากากเงินก็ถูกเขาปัดตกลงบนพื้น
นางตกใจระคนขุ่นเคือง มือที่ประคองร่างเขาพลันคลายออก เค้นถามเสียงต่ำ “ท่านจะทำอะไร!”
เมื่อนางปล่อยมือ เจ้าสำนักไร้แรงประคองกาย ทำได้เพียงล้มนอนอยู่บนพื้น มองใบหน้านาง ลมหายใจพลันหอบกระชั้น ราวกับอารมณ์พลุ่งพล่านขึ้นมา
ซูหลีตั้งสติได้ทันที รีบประคองเขาขึ้นมาใหม่ ยามนี้เสียงระเบิดระลอกที่สามดังขึ้นที่ด้านนอกประตูอีกครั้ง เห็นชัดว่าตงฟางเจ๋อเพิ่มความเร็วขึ้น! กำแพงรอบประตูเริ่มมีเศษดินร่วงโรย ฝุ่นควันลอยคลุ้งไปทั่วห้อง
ประตูบานนั้นใกล้จะพังลงแล้ว ไม่เหลือเวลาให้ชักช้าอีกแล้ว!
มือทั้งสองข้างของซูหลีกำแน่นอย่างไม่รู้ตัว ดวงตางามจ้องหน้าเจ้าสำนักเขม็ง เอ่ยถามเสียงเบาและรวดเร็ว “ข้าเพียงต้องการถามท่าน ท่านหญิงหมิงอวี้หลีซูถูกทูตกระบี่สังหาร ผู้ใดคือผู้บงการอยู่เบื้องหลัง?!”
ลมหายใจของเจ้าสำนักถี่ระรัวหนักกว่าเดิม ดวงตาเบิกกว้าง จับจ้องใบหน้านาง สายตาตื่นตะลึงอย่างไม่อาจควบคุม ทั้งตกใจและยินดี อ้าปากกว้างหมายจะเอ่ยบางสิ่ง ทว่ากลับไม่มีเสียงใดเล็ดลอดออกจากปาก มีเพียงเสียง ‘คร่อกๆ’ ดังออกมาจากลำคอ
“ท่านรีบพูดมาเร็วเข้า!” ซูหลีดวงตาแดงก่ำ ในใจร้อนรุ่มสุดแสน
เสียงเลื่อนลั่นกัมปนาทนอกประตูดังอย่างต่อเนื่อง พร้อมกันนั้นโลหิตสีแดงสดมากมายก็ไหลออกจากปากของเจ้าสำนักไม่หยุด ประกายสุดท้ายในดวงตาค่อยๆ มืดมนลงไป หางตาของเขามีหยาดน้ำตาไหลริน
ซูหลีเหม่อมองเขา สองมืออ่อนแรง เจ้าสำนักพลันตัวอ่อนล้มลงกับพื้น สิ้นลมหายใจ
คำตอบที่นางเพียรพยายามตามหาอย่างยากลำบากอยู่ใกล้แค่เอื้อม แต่กลับหายไปต่อหน้าต่อตาทั้งอย่างนี้?! นางยอมรับไม่ได้!
เสียง ‘บึ้ม’ ดังขึ้นอีกครั้ง ประตูเหล็กนิลเริ่มสั่นคลอนคล้ายจะพังลงมาทุกเมื่อ!
ซูหลีใบหน้าซีดเผือด กัดฟันแน่น สติพลันกลับคืนมา ยกหน้ากากทองในมือขึ้นสวมทันที ก่อนจะคว้ากล่องไม้กล่องหนึ่งที่อยู่ในลิ้นชักลับมา และกวาดสิ่งของสำคัญทั้งหมดของเฉินเหมินลงไป
มองลอดผ่านช่องแคบเล็กๆ เข้าไป ด้านในห้องลับมีเงาร่างคนผู้หนึ่งโฉบไหวไปมา ตงฟางเจ๋อดวงตาคมปลาบ รีบลอยตัวข้ามเหล่าองครักษ์ที่อยู่ข้างหน้า ถีบประตูเหล็กนิลเต็มแรง
ในที่สุด ประตูก็ล้มลงไปกระแทกกับพื้น ฝุ่นตลบอบอวลไปทั่วห้อง
ตงฟางเจ๋อพุ่งตัวเข้าไปในใจกลางห้อง ทว่าภาพสตรีนั่งกรรมฐานภาพนั้นกลับทำให้เขาหยุดเคลื่อนไหว ชะงักงันไปครู่หนึ่ง รอยยิ้มสงบนิ่งและไม่แยแสสิ่งใดของสตรีในภาพ…ไม่รู้เพราะเหตุใด กลับทำให้เขานึกถึงซูหลี? ความคิดนี้แวบผ่านสมองดั่งดาวตก ยามนี้เขาไม่มีเวลาคิดเรื่องอื่นแล้ว
ปลายเท้าเตะเข้าที่ร่างเจ้าสำนักหลายครั้ง พบว่าไม่มีการตอบสนอง ลิ้นชักลับที่โล่งเปล่าข้างกำแพง บ่งบอกชัดเจนว่าของล้ำค่าทุกอย่างถูกคนกวาดไปหมดแล้ว
เงาร่างที่โฉบไหวไปมานั่น ไม่รู้ว่ามีกลไกลับซ่อนตัวอยู่ที่ใดอีก ตงฟางเจ๋อนัยน์ตาเคร่งขรึม กวาดมองรอบทิศช้าๆ นึกไม่ถึงว่าในเฉินเหมินมีคนมากเล่ห์ถึงเพียงนี้อยู่ด้วย!
ด้านล่างกำแพงฝั่งขวาของโต๊ะสี่เหลี่ยม มีแสงสว่างเล็ดลอดออกมา ตงฟางเจ๋อใช้มือสอดเข้าไป และยกขึ้นข้างบนเบาๆ กำแพงฝั่งนั้นพลันเคลื่อนไหวดังครืดคราด ก่อนจะค่อยๆ หดขึ้นไปข้างบน
เกรงว่านี่ต่างหากคือเส้นทางลับสุดท้ายของเฉินเหมิน!
“ตามไป!” เสียงตะโกนยังคงดังก้องอยู่ในอากาศ ทว่าเงาร่างของตงฟางเจ๋อกลับโฉบไหว หายลับเข้าไปในเส้นทางลับแล้ว เหล่าองครักษ์ทั้งหมดต่างก็วิ่งตามเข้าไปติดๆ
ฝีเท้าของกองทัพองครักษ์แม้จะเบามาก แต่เมื่ออยู่ในเส้นทางลับที่มีสภาพแวดล้อมซับซ้อนกลับฟังดูวุ่นวาย ตงฟางเจ๋อมีกำลังภายในสูงส่ง ประสาทรับเสียงเหนือกว่าคนธรรมดา เมื่อเพ่งสมาธิเงี่ยหูฟัง ก็ค้นพบว่าในทุกระยะทางหนึ่ง ส่วนลึกของเส้นทางลับจะมีเสียงประตูหินเปิดปิดดังขึ้นเบาๆ
ปลาที่เล็ดลอดร่างแหไปได้ตัวนั้นยังหนีออกไปจากที่นี่ไม่ได้!
รังสีอำมหิตพาดผ่านดวงตาของตงฟางเจ๋อ เขาเงี่ยหูฟังเสียงนั้นอย่างตั้งใจ แกะรอยตำแหน่งที่อีกฝ่ายอยู่อย่างไร้ข้อผิดพลาด ไล่ตามอย่างไม่ลดละอยู่ในเส้นทางลับอันเลี้ยวลดคดเคี้ยว ประตูหินที่พบในแต่ละครั้งบ้างก็ไม่ได้ลงกลอน บ้างก็เปิดแง้มไว้ แทบไม่มีบานไหนกลับไปอยู่ในสภาพเดิมอย่างสมบูรณ์ เห็นชัดว่าคนผู้นั้นรีบร้อนเพียงใด
พวกเขาพุ่งตัวออกจากประตูหินบานสุดท้าย เส้นทางลับมาถึงจุดสิ้นสุดแล้ว ลมภูเขากระโชกแรงระลอกหนึ่งพัดปะทะใบหน้า แสงเจิดจ้ายามรุ่งอรุณสาดส่องเข้ามากะทันหันจนแทบเปิดตาไม่ขึ้น
เผชิญศึกนองเลือดยาวนานมาทั้งคืน กระทั่งแสงสว่างกลับมาเยือนท้องฟ้าอีกครั้งแล้ว
ด้านหลังภูเขาซูหมีแมกไม้เขียวชอุ่ม กลิ่นหอมของบุปผาลอยอบอวล ทว่าบนทางเดินเส้นเล็กๆ กลางภูเขาที่ไร้สิ่งกีดขวาง กลับไร้ซึ่งเงาผู้ใด!
เพลิงโทสะลุกท่วม ใบหน้าหล่อเหลาของตงฟางเจ๋อถมึงทึง สองหมัดกำแน่น ข้อนิ้วลั่นติดกันหลายเสียง เขายืนนิ่งอยู่ที่เดิมไม่ขยับไปไหนอยู่นาน นี่เป็นครั้งแรกที่มีคนสามารถหนีรอดไปได้ต่อหน้าต่อตาตนเอง! เขาเป็นผู้ใดกันแน่?!
เมื่อเสียงประตูหินเปิดปิดดึงดูดให้ตงฟางเจ๋อไล่ตามไปข้างหน้าอย่างไม่ลังเล ซูหลีจึงค่อยผ่อนลมหายใจ ราวกับยกภูเขาออกจากอก การจะหลอกบุรุษผู้นี้ให้สำเร็จ มิใช่เรื่องง่ายเลยสักนิด
ยามนี้ นางซ่อนตัวอยู่ด้านล่างของทางเข้าเส้นทางลับ ไม่ได้ออกไปจากที่นี่แต่อย่างใด
เมื่อประตูห้องลับบานนั้นพังลง ทางเข้าเส้นทางลับอีกช่องหนึ่งซึ่งทอดลงไปข้างล่างก็จะถูกเปิดออกพร้อมกัน หลังจากที่ซูหลีกระโดดลงไป นางก็ปิดทางเข้านั้นทันที เพียงแต่อาศัยแค่จุดนี้ ยังไม่มากพอที่จะรับประกันได้ว่าแผนการจะสำเร็จ ฉะนั้นหลังจากคำนวณเวลาแล้ว นางจึงใช้งานกลไกเชื่อมโยงอีกอัน ความยอดเยี่ยมของกลไกนี้อยู่ที่นางสามารถควบคุมประตูหินเหล่านั้นได้ตามใจ ด้วยเหตุนี้นางจึงสามารถสร้างสถานการณ์ลวง เหมือนมีคนผู้หนึ่งกำลังหลบหนีอย่างเร่งรีบขึ้นมาได้
เส้นทางลับทอดยาวลงไปเบื้องล่าง กระทั่งไปสิ้นสุดลงที่ห้องลับอีกห้องหนึ่ง ซึ่งเป็นห้องลับสุดยอดที่แท้จริงของสำนักเฉินเหมิน
ก่อนหน้านี้ หวั่นซินได้ทำตามแผนการของซูหลี อาศัยกลไกและอาวุธลับที่ซ่อนอยู่ในเส้นทางลับ พาศิษย์หลายสิบคนที่รอดจากการสังหารครั้งนี้มารวมตัวกันที่นี่จนสำเร็จ และรอที่จะได้พบกับเจ้าสำนักอย่างอดทน
เสียงดังเลื่อนลั่นเมื่อครู่ ทำให้คนทั้งห้องต่างกระสับกระส่าย พูดคุยถกเถียง คาดเดาต่างๆ นานาว่าเกิดเรื่องใดขึ้นข้างนอกนั่น ทว่ากลับไม่สามารถเผยร่องรอยด้วยการออกไปตรวจสอบ
คนผู้หนึ่งผลักประตูเดินเข้ามาอย่างรีบร้อน ทุกคนต่างหยุดเสียงพูดคุยกันโดยมิได้นัดหมาย สายตาเต็มไปด้วยความตกใจระคนสงสัย
………………………………………………….