กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - บทที่ 84 ได้รับเลือกให้เป็นเจ้าสำนักเฉินเหมิน (2)
เห็นชัดว่าผู้มาเป็นสตรีเอวบางร่างเล็ก ทว่าบนใบหน้ากลับสวมหน้ากากสีทองซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของเจ้าสำนักเอาไว้
“ใคร?” ศิษย์หลายคนระแวดระวังทันที เค้นถามเสียงเข้ม พร้อมชักอาวุธตั้งท่าเตรียมโจมตีอย่างรวดเร็ว
หวั่นซินที่กำลังตรวจอาการบาดเจ็บของศิษย์คนหนึ่งอย่างละเอียด เมื่อเห็นว่าเป็นซูหลี ก็รีบเอ่ยตำหนิทันที “ห้ามเสียมารยาท!” นางรีบลุกขึ้นเดินออกไปยืนหน้ากลุ่มคน แล้วเอ่ยเสียงจริงจัง “วันนี้ที่ทุกคนหลุดพ้นจากอันตรายมาได้ ล้วนอาศัยปัญญาและไหวพริบของแม่นางท่านนี้ทั้งสิ้น!”
ทุกคนพลันตกใจ ลอบพิจารณาสตรีร่างบอบบางตรงหน้าเงียบๆ ในใจคล้ายลังเล แต่สุดท้ายก็ยอมลดอาวุธลง
สายตาสงบนิ่งของซูหลีกวาดสำรวจทุกคนหนึ่งรอบ ในใจพลันสะท้าน เหล่าศิษย์ของเฉินเหมินเป็นดังที่หวั่นซินกล่าวไว้จริงๆ ทุกคนล้วนสวมหน้ากากปิดบังตัวตนที่แท้จริงของตนเองไว้
ซูหลีมาที่นี่เพียงลำพัง หวั่นซินจึงอดถามอย่างร้อนใจไม่ได้ “แม่นาง เหตุใดท่านมาผู้เดียว ท่านเจ้าสำนักเล่า…” ยังเอ่ยไม่ทันจบประโยค ก็พลันอึ้งงันไป หน้ากากสีทองบนใบหน้าซูหลี คล้ายกำลังส่งสัญญาณบอกบางอย่างแก่นาง
ซูหลีถอนหายใจเบาๆ เอ่ยอย่างเสียดายสุดซึ้ง “เดิมทีข้าช่วยเจ้าสำนักเข้าไปในห้องลับสำเร็จแล้ว เพียงเสียดายที่ท่านผู้เฒ่าบาดเจ็บหนักหนาเกินไป แม้นยาอายุวัฒนะก็ไม่อาจต่อชีวิต ไม่สามารถยืนหยัดมาพบหน้าทุกคนที่นี่ก็สิ้นลมไปเสียแล้ว”
ทุกคนเมื่อได้ฟังประโยคนี้ก็ตื่นตะลึงไปทันที ผ่านไปครู่ใหญ่ก็ยังไม่มีผู้ใดเอ่ยวาจา ราวกับยากจะเชื่อว่า เจ้าสำนักเฉินเหมินผู้ที่หากใครได้ยินชื่อเป็นต้องอกสั่นขวัญหาย กลับตายไปเช่นนี้?!
หวั่นซินอึ้งงันไปครู่หนึ่ง น้ำตาไหลรินจากดวงตาอย่างห้ามไม่อยู่ ขาพลันอ่อนแรงก้าวถอยหลายก้าว เกือบล้มลงไปนั่งกับพื้น ซูหลีรีบเข้าไปประคองนาง เห็นเพียงนางพยายามข่มกลั้นความเศร้าโศกอย่างสุดกำลัง เอ่ยเสียงปนสะอื้น “ท่านเจ้าสำนัก…เป็นความผิดของศิษย์ที่มาช้าไป…”
ซูหลีรู้แก่ใจ เจ้าสำนักมีความหมายต่อหวั่นซินมากเหลือเกิน นางเป็นคนใจเย็น นิ่งสงบ และไม่ค่อยแสดงอารมณ์ให้คนภายนอกเห็นมากนัก นางต้องเสียใจมากแน่จึงมีอาการเช่นนี้ได้ ซูหลีอดไม่ได้ที่จะเอ่ยปลอบใจเสียงเบา “นี่เป็นลิขิตสวรรค์ เจ้าเองก็อย่าโทษตนเองมากนัก ยามนี้เฉินเหมินยังไม่พ้นภัย ยังต้องการให้ทุกคนร่วมแรงร่วมใจ จึงจะผ่านความยากลำบากนี้ไปได้” นางพูดพลางหยิบแผ่นป้ายออกมาจากอกเสื้อ ยื่นให้หวั่นซิน แล้วกล่าวว่า “สิ่งนี้ เจ้าสำนักไหว้วานให้ข้านำมามอบให้เจ้า”
ทุกคนเมื่อเห็นแผ่นป้าย ก็พลันอารมณ์พลุ่งพล่าน ราวกับน้ำในหม้อที่เดือดจัด ในสำนักเฉินเหมิน ทุกคนทราบกันอย่างทั่วถึงว่าเห็นป้ายเท่ากับเห็นเจ้าสำนัก ในเมื่อสตรีนางนี้บอกว่าเจ้าสำนักมอบแผ่นป้ายนี้ให้แก่หวั่นซิน เช่นนั้นก็หมายความว่าเลือกให้หวั่นซินเป็นเจ้าสำนักแล้วไม่ใช่หรือ?
“ฟังจากที่แม่นางกล่าว เช่นนั้นยามที่ท่านเจ้าสำนักสิ้นลม ได้กล่าวคำสั่งเสียใดทิ้งไว้หรือไม่?” บุรุษผู้หนึ่งก้าวเท้าออกมา เงาร่างสูงใหญ่จ้องซูหลีที่ตัวเล็กกว่าเขม็ง สายตาราวกับดาบคมสองฝัก วาจานี้แม้ภายนอกกล่าวอย่างไว้หน้า ทว่าน้ำเสียงกลับแฝงไว้ด้วยความคลางแคลงอย่างชัดเจน
ซูหลีแหงนหน้าขึ้นเล็กน้อย สบตาเขากลับอย่างไม่กริ่งเกรงแม้แต่น้อย บุรุษผู้นี้สวมอาภรณ์ธรรมดาทั่วไป แผ่นหลังเหยียดตรง ราศีไม่ธรรมดา ใบหน้าสวมหน้ากากสีเงิน เห็นชัดว่าแตกต่างจากคนอื่น จากที่นางสังเกตเมื่อครู่ สีของหน้ากากที่คนในสำนักเฉินเหมินสวมใส่น่าจะแสดงถึงลำดับขั้นของแต่ละคน นอกจากเจ้าสำนักแล้ว หน้ากากของหวั่นซินเป็นสีเงิน และท่ามกลางคนกลุ่มนี้ มีอีกเพียงสองคนเท่านั้นที่มีหน้ากากสีเดียวกับนาง เป็นไปได้มากว่านี่เป็นสัญลักษณ์ของสี่นักฆ่าผู้ยิ่งใหญ่ เดิมทีควรมีสี่คน แต่กลับอยู่ที่นี่เพียงแค่สามคน แล้วอีกหนึ่งเล่าอยู่ที่ใด?
“ไม่มี” ซูหลีส่ายหน้า ตอบตามความจริง
เมื่อได้ยิน ก็มีคนอีกผู้หนึ่งหัวเราะเสียงดัง ท่าทีเต็มไปด้วยแววดูแคลน เขาย้อนถามนางทันที “ท่านเจ้าสำนักเป็นคนรอบคอบเสมอมา เรื่องสำคัญเช่นนี้ ผู้เฒ่าเช่นเขาจะไม่มีสิ่งใดฝากฝังมาเลยได้เช่นไรกัน?” คนผู้นี้ร่างกายสูงโปร่ง สวมชุดคลุมสีเขียวเข้ม สายตาคมปลาบบีบคั้นผู้คนคู่นั้น เมื่ออยู่ภายใต้หน้ากากสีเงินสะท้อนแสงเย็นเยียบยิ่งขับเน้นให้เขาดูดุดันเย่อหยิ่ง
น้ำเสียงอวดดีไร้ความเกรงใจเช่นนี้ เมื่อได้ฟังกลับให้รู้สึกคุ้นหูยิ่ง ทว่ากลับนึกไม่ออกในทันที ซูหลีพลันระแวดระวัง บุรุษสองคนนี้ ในเมื่อเป็นหนึ่งในสี่นักฆ่าผู้ยิ่งใหญ่ ฝีมือย่อมไม่อาจดูเบา เพียงกลัวว่าจะมีจิตใจทะเยอทะยานหวังในตำแหน่งเจ้าสำนักมานาน บุรุษสองคนตรงหน้าท่าทางบีบคั้นผู้คน ดูเหมือนว่าจะไม่ยอมลดราวาศอกง่ายๆ หากหวั่นซินอยากเป็นเจ้าสำนักอย่างราบรื่น คงไม่ใช่เรื่องง่ายแน่นอน…
ซูหลียืดตัวตรง นัยน์ตากระจ่างใสจ้องตรงไปยังคนทั้งสอง ไม่รู้ว่าหนึ่งในสองคนนี้ จะมีเพลงกระบี่มือซ้ายรวมอยู่ด้วยหรือไม่?
นักฆ่าผู้โหดเหี้ยมในความทรงจำ เมื่อเทียบกับรูปร่างของสองคนตรงหน้ากลับไม่มีจุดคล้ายคลึงกันสักนิด นางพยายามควบคุมความคิดที่ฟุ้งซ่านอย่างสุดกำลัง เอ่ยตอบอย่างนิ่มนวล “เมื่อครู่ข้าบอกแล้ว ท่านเจ้าสำนักบาดเจ็บสาหัส ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากฝากฝังสิ่งใด แต่สถานการณ์ในยามนั้น เขาไร้ซึ่งกำลังจะเอ่ยวาจาให้ชัดเจนต่างหาก” การรับมือกับยอดฝีมือเช่นพวกเขา ไม่อาจปล่อยให้สติเลอะเลือนแม้แต่น้อย อย่างไรก็เอ่ยไปตามความจริงดีที่สุด มิเช่นนั้นหากถูกอีกฝ่ายจับพิรุธได้ ตนเองจะตกอยู่ในสถานการณ์ลำบากเสียเอง
“ดี ถึงแม้เจ้าสำนักไหว้วานเจ้านำป้ายมาให้ทูตนารี เช่นนั้นหน้ากากที่เจ้าสวมใส่อยู่ หมายความเช่นไรเล่า?!” บุรุษชุดคลุมสีเขียวเข้มไม่ยอมเลิกรา ยังคงเค้นถามเสียงเย็น
“หน้ากากนี้ เป็นเจ้าสำนักบอกให้ข้านำมา…” ซูหลียังเอ่ยไม่ทันจบ ก็ถูกหวั่นซินขัดขึ้นก่อน
นางรีบลุกขึ้นยืน ปรับอารมณ์ให้เป็นปรกติในพริบตา เอ่ยเสียงเข้มงวด “สำหรับผู้สืบทอดตำแหน่งเจ้าสำนักรุ่นต่อไป ท่านเจ้าสำนักได้เตรียมการมาเนิ่นนาน และลอบบ่มเพาะปลูกฝังอย่างลับๆ มาโดยตลอด” เว้นวรรคไปครู่หนึ่ง หวั่นซินมองมาทางซูหลี ก่อนประกาศเสียงจริงจัง “ก็คือแม่นางท่านนี้”
ครานี้สถานการณ์ยิ่งโกลาหลกว่าเดิม พริบตาเดียวเสียงถกเถียงพลันแตกฮือ ไม่เพียงสองนักฆ่าผู้ยิ่งใหญ่เท่านั้นที่ไม่อาจเชื่อ แม้แต่คนอื่นๆ ต่างก็แสดงท่าทีสงสัยอย่างชัดเจน หวั่นซินประสิทธิ์ประสาทวิชาอยู่ในเฉินเหมินมานาน เป็นถึงหนึ่งในสี่นักฆ่าผู้ยิ่งใหญ่ มีผลงานมากมายนับไม่ถ้วน เป็นคนที่เจ้าสำนักไว้วางใจที่สุด เหล่านี้ล้วนเป็นเรื่องที่ทุกคนรู้ดี หากเจ้าสำนักมอบตำแหน่งให้นางสืบทอดต่อ แม้มีคนไม่พอใจบ้าง แต่ร้ายดีอย่างไรก็เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล
ทว่าคนแปลกหน้าที่จู่ๆ ก็ปรากฏตัว ซ้ำยังเป็นสตรีร่างบางคนหนึ่ง อาศัยคำพูดนางประโยคเดียว ก็หมายจะขึ้นไปนั่งตำแหน่งเจ้าสำนักง่ายๆ อย่างนั้นหรือ?
“ทูตนารีเจ้ากำลังล้อเล่นใช่หรือไม่?” บุรุษชุดสามัญชนน้ำเสียงเย็นเยียบดั่งน้ำแข็ง คล้ายมีสัญญาณของพายุฝนที่เริ่มตั้งเค้า
“แต่ไหนแต่ไรข้าไม่เคยล้อเล่น ทูตวิญญาณเจ้ารู้ดีแก่ใจ!” หวั่นซินสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนเอ่ยต่อว่า “เรื่องนี้ท่านเจ้าสำนักไม่เคยแจ้งให้ทุกคนทราบ เพราะยังไม่ถึงแก่เวลาอันสมควร พักหลังมานี้เฉินเหมินเกิดวิกฤตหนักหน่วง เจ้าสำนักสั่งให้ข้าพาแม่นางมาปรึกษาหากลยุทธ์รับมือ ใครเล่าจะรู้เจิ้นหนิงอ๋องกลับนำทัพมาโจมตีพอดี…”
สงครามที่เกิดขึ้นกับเฉินเหมินในวันนี้เป็นเหตุการณ์ที่ทุกคนไม่คาดคิดจริงๆ เมื่อนึกถึงศิษย์ที่บาดเจ็บล้มตายนับไม่ถ้วน กลุ่มคนก็อดไม่ได้ที่จะนึกหวาดกลัวย้อนหลัง ถึงขนาดเงียบงันไปชั่วชณะ
หวั่นซินมองซูหลีด้วยสายตาเรียบนิ่ง เสี้ยววินาทีหนึ่งทั้งสองราวกับสามารถสื่อสารถึงกัน
ยามนี้เฉินเหมินเผชิญวิกฤตร้ายแรง หากก่อปัญหาภายในอีก คงไร้โอกาสฟื้นตัวเป็นแน่ แผนการในตอนนี้ มีเพียงหวั่นซินต้องยอมถอยออกจากเส้นทางการขึ้นรับตำแหน่งเจ้าสำนัก และผลักดันซูหลีขึ้นมาแทน จึงจะสามารถทำให้คลื่นลมระลอกนี้สงบลงได้
คิ้วงามของซูหลีกระดกเล็กน้อย หมายจะเอ่ยวาจา
เสียงหนึ่งพลันดังขึ้นท่ามกลางกลุ่มคน “ข้ากลับรู้สึกว่าแม่นางท่านนี้เป็นคนที่เจ้าสำนักเลือกไว้จริงๆ” กลุ่มคนหันขวับ มองไปทางต้นเสียง ด้วยอยากรู้ว่าคนที่มีความคิดเห็นต่างจากพวกเขาเป็นผู้ใดกัน
เขาสวมหน้ากากสีทองสัมฤทธิ์ เห็นชัดว่าลำดับขั้นไม่สูง เสื้อผ้าสามัญชนสีดำเปื้อนคราบเลือดเป็นดวงๆ กิริยากลับสุขุมดูมีพลัง เขาเยื้องย่างมายืนข้างซูหลี เอ่ยเสียงแจ่มชัด “ถึงแม้วาจาของทุกท่านจะมีเหตุผล ทว่า… เพราะเป็นเช่นนี้ จึงได้แสดงให้เห็นว่าคำกล่าวเมื่อครู่ของแม่นางท่านนี้ล้วนเป็นเรื่องจริง มิได้ปรุงแต่ง”
………………………………………………….