กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - บทที่ 85 ได้รับเลือกให้เป็นเจ้าสำนักเฉินเหมิน (3)
ทูตมั่งคั่งสายตาพลันเปลี่ยน เอ่ยเสียงเย็นชา “ทำไม? เจ้ามีหลักฐานหรือ?”
บุรุษหน้ากากสีทองสัมฤทธิ์ยิ้มเบาๆ ก่อนเอ่ย “หลักฐานที่ชัดเจนเกินไปกลับจะทำให้เชื่อถือได้ยาก แต่วันนี้แม่นางท่านนี้วางแผนด้วยตนเองเพียงผู้เดียวช่วยทุกคนรอดชีวิตมาอยู่ที่นี่ได้ นี่คือเรื่องจริง ทุกท่านก็ได้พิสูจน์ด้วยตนเองแล้ว คงไม่มีผู้ใดคัดค้านกระมัง?”
นึกถึงสถานการณ์ของเฉินเหมินในวันนี้ สงครามดุเดือดนองเลือด หากมิใช่หวั่นซินเสี่ยงชีวิตมาช่วยเหลือ คนที่เหลือก็เกรงว่าจะยืนหยัดต่อไปได้อีกไม่นาน สุดท้ายคงไม่พ้นถูกเจิ้นหนิงอ๋องสังหาร ยามนี้แม้ว่าจะปลอดภัยแล้ว ทว่าเมื่อเอ่ยถึงก็ยังรู้สึกน่าพรั่นพรึงยิ่งนัก ด้วยเหตุนี้จึงไม่มีผู้ใดเอ่ยคัดค้าน
หวั่นซินกำลังมองพิจารณาเขา คนผู้นี้นางรู้สึกแปลกหน้ายิ่งนัก ในเวลาสั้นๆ ไม่อาจแยกแยะได้ว่าเขาเป็นคนของสาขาใด
ซูหลียิ้มบาง สายตาแสดงแววชื่นชม ไม่ได้เอ่ยวาจาใด
“ห้องลับแห่งสำนักเฉินเหมินเป็นความลับสุดยอด หากไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าสำนักผู้ใดก็เข้าไม่ได้ หากฝ่าฝืนต้องรับโทษตาย ข้าขอถาม ในหมู่พวกเรามีผู้ใดเคยเข้ามาในห้องลับบ้างหรือไม่?” บุรุษคนเดิมถามต่อ
คราวนี้ แม้แต่ใบหน้าของทูตมั่งคั่งและทูตวิญญาณที่ซ่อนอยู่ภายใต้หน้ากาก ก็พลันบึ้งตึงทันที เพราะพวกเขาต่างก็ไม่เคยเข้ามาในห้องลับสักครั้ง ส่วนทูตนารี พวกเขาเองก็ไม่มั่นใจว่านางได้รับสิทธิพิเศษนี้ด้วยหรือไม่
“เข้าใจเรื่องสำคัญเช่นกลไกลับของสำนักเฉินเหมินอย่างกระจ่างแจ้ง เมื่อเผชิญหน้ากับเหตุไม่คาดฝันกลับสามารถวางกลยุทธ์ควบคุมสถานการณ์ได้ในเวลาอันสั้น ซ้ำยังมีแผ่นป้ายและหน้ากากของเจ้าสำนักติดตัว กอปรกับการรับรองของทูตนารี เหล่านี้ล้วนยืนยันได้ว่าแม่นางท่านนี้คือผู้ที่ท่านเจ้าสำนักเลือกให้เป็นผู้สืบทอดตำแหน่ง” บุรุษผู้นั้นกวาดมองกลุ่มคนหนึ่งรอบ ก่อนจะเอ่ยเสียงจริงจังต่อว่า “หากนางไม่ใช่คนที่เจ้าสำนักเพียรพยายามบ่มเพาะ เมื่อเผชิญหน้ากับเหตุไม่คาดฝันย่อมสามารถฉวยโอกาสหลบหนี จะเสี่ยงอันตรายถึงชีวิตวางกลยุทธ์ช่วยคนเพื่อการใดเล่า?”
วาจาฉะฉานลื่นไหลของเขา กลับทำให้กลุ่มคนนึกถึงเสียงระเบิดสะท้านฟ้าสะเทือนดินเมื่อครู่ ใช่แล้ว สตรีร่างบางนางหนึ่ง หากไม่มีไหวพริบและความกล้าเกินคนธรรมดา จะเผชิญสถานการณ์อันตรายขนาดนั้นเพียงลำพังได้เช่นไร? นอกจากนี้ยังรับมือกับเหตุพลิกผันได้อย่างคล่องแคล่ว และล่าถอยกลับมาได้อย่างปลอดภัยไร้รอยขีดข่วน!
หวั่นซินสูดหายใจลึก เอ่ยเสียงขมฝาด “สหายท่านนี้กล่าวได้ถูกต้อง หากไม่มีคำสั่งจากท่านเจ้าสำนัก แม่นางท่านนี้จะหลีกหนีอันตรายไปเพียงลำพังย่อมได้ แต่เป็นเพราะนางมีภาระอันใหญ่หลวง จึงไม่อาจนิ่งดูดายยามเฉินเหมินเผชิญกับวิกฤต เพียงแต่ข้าคิดไม่ถึง ความพากเพียรของท่านเจ้าสำนัก ยามนี้กลับสร้างความแคลงใจแก่ทุกคน ซ้ำยังทำให้แม่นางผิดหวังเช่นนี้อีก”
ทูตวิญญาณและทูตมั่งคั่งสีหน้าเผยแววสงสัย พวกเขาสบตากันแวบหนึ่ง นอกจากไร้การประกาศฐานะของนางด้วยตัวเจ้าสำนักเอง คำอธิบายอื่นล้วนสมเหตุสมผลทั้งสิ้น ประโยคสุดท้ายของทูตนารี กลับโจมตีพวกเขาโดยตรง หากพวกเขายังตั้งแง่ กลับจะกลายเป็นจงใจสร้างความวุ่นวาย
ซูหลียิ้มบาง เมื่อครู่หากบุรุษผู้นั้นไม่เอ่ยปาก ประโยคเหล่านั้นนางก็หมายจะเอ่ยปากเอง เขาวิเคราะห์อย่างละเอียดลออ เรื่องที่คาดเดาก็ถูกต้องแปดถึงเก้าส่วน มีเพียงจุดประสงค์ที่แท้จริงในการมาเยือนสำนักเฉินเหมินของนาง กับเรื่องที่หวั่นซินเป็นผู้สืบทอดตัวจริงเท่านั้น ทว่าสองเรื่องนี้ หากพวกนางไม่พูด ก็จะไม่มีผู้ใดรู้ตลอดกาล ยามนี้ วาจานี้เอ่ยออกมาจากปากผู้อื่น กลับเพิ่มความน่าเชื่อถือขึ้นไปอีกหลายส่วน
บุรุษผู้นั้นยืนอยู่ข้างกายนาง พูดจาฉะฉาน ค่อนข้างมีอารมณ์ร่วม บนร่างกายเขานอกจากกลิ่นคาวเลือดรุนแรง คล้ายมีกลิ่นยาผสมอยู่รางๆ
กลิ่นนั้นคล้ายมีคล้ายไม่มี ซูหลีพลันระแวดระวัง นางแสร้งหันหน้าไปทางเขาคล้ายไม่ได้ตั้งใจ แยกแยะกลิ่นอย่างละเอียด ค้นพบว่าเป็นกลิ่นที่ถูกผสมขึ้นจากพิษหลายชนิด! กลิ่นนี้…เมื่อครู่ได้กลิ่นจากที่ใดกัน ซูหลีกระจ่างทันใด พลันนึกถึงขวดกระเบื้องเหล่านั้นที่ถูกเก็บไว้ในลิ้นชักลับ ในขวดกระเบื้องเหล่านั้นมีพิษและยาแก้พิษอยู่ หรือว่า…
ซูหลีก้าวเดินวนไปวนมาต่อหน้ากลุ่มคนหนึ่งรอบ ก่อนจะหยุดยืนตรงกลาง และเอ่ยปากด้วยเสียงแช่มช้า “ทุกท่านสงสัยในตัวข้า ย่อมเป็นเรื่องปกติ ความจริง หลักฐานที่พิสูจน์ฐานะของข้าได้ นอกจากเหตุผลที่กล่าวไปแล้ว ยังมีวิธีที่ง่ายมากอีกหนึ่งวิธี!”
ทุกคนต่างหันไปมองซูหลีเป็นตาเดียว ด้วยอยากรู้ว่านางจะพิสูจน์ตนเองด้วยวิธีใด
“พวกท่านแต่ละคนต่างก็กินยาพิษที่มีส่วนผสมต่างกันออกไป อาการย่อมไม่เหมือนกัน” นางเดินไปหยุดตรงหน้าทูตมั่งคั่ง และกล่าวอย่างมั่นใจ “พิษที่ท่านโดนคือพิษสลายวิญญาณ ทุกคืนจันทร์เต็มดวง หากไม่กินยาแก้พิษ จะต้องทนทุกข์กับความเจ็บปวดแสนสาหัสที่ยากจะจินตนาการได้”
ทูตมั่งคั่งสายตาพลันแปรเปลี่ยน สองหมัดกำแน่น เขาภูมิใจและเย่อหยิ่งในวิชาตัวเบาอันล้ำเลิศ และวิชาแปลงโฉมที่เหนือกว่าผู้ใดในใต้หล้าของตน ทว่ากลับเกลียดชังและเคียดแค้นพิษนี้นัก เพราะเมื่อถึงยามนั้น แม้เขาจะแปลงโฉมได้แนบเนียน หรือหลบหนีได้รวดเร็วอีกสักแค่ไหน ก็เป็นได้แค่หนอนน่าสมเพชตัวหนึ่งที่นอนแน่นิ่งอยู่กับพื้น รอเวลาถูกสังหารเท่านั้น
สายตาเปี่ยมความมั่นใจหันไปอีกทางช้าๆ จ้องตรงไปยังทูตวิญญาณ ซูหลีทอดถอนใจเบาๆ ก่อนเอ่ย “ถึงแม้ท่านจะรู้วิชาแพทย์ เชี่ยวชาญเรื่องยาพิษเป็นอย่างดี ทว่ากลับไม่สามารถแก้พิษในร่างตนเองได้ เพราะพิษที่ท่านโดนนั้นมีส่วนผสมหลากหลาย หากยังแยกแยะส่วนผสมไม่ออกแล้ววู่วามแก้พิษส่งเดช มีแต่จะทำให้เกิดผลข้างเคียงที่ร้ายแรงกว่าเท่านั้น!”
ทูตวิญญาณหอบหายใจกระชั้นชิด ก้าวถอยหลังอย่างไม่รู้ตัว รสชาติของการถูกผู้อื่นเอ่ยวาจาแทงใจดำ รู้สึกเช่นนี้เอง น่าขันยิ่งนัก คนที่รู้วิชาแพทย์และเชี่ยวชาญเรื่องยาพิษ รักษาผู้อื่นได้ทว่าไม่อาจรักษาตนเอง แล้วยังต้องถูกคนจูงจมูกเดินอีก ยามพิษออกฤทธิ์ ร่างกายของเขาแข็งค้างดั่งหิน นิ้วมือที่ยามปกติเคลื่อนไหวคล่องแคล่ว กลับไม่อาจจับได้แม้กระทั่งเข็ม!
“คงไม่ต้องให้ข้าเอ่ยทีละคนแล้วกระมัง? พิษเหล่านี้ นอกจากท่านเจ้าสำนัก ก็ไม่มีผู้ใดรู้ว่าต้องแก้อย่างไร” เมื่อครู่ ซูหลีอาศัยระยะเวลาสั้นๆ แยกแยะกลิ่นอายบนร่างกายของคนที่อยู่แถวหน้าอย่างละเอียดหนึ่งรอบ เพื่อพิสูจน์การคาดเดาของตนเอง
เจ้าสำนักเฉินเหมินมีนิสัยขี้ระแวง สาเหตุที่ไม่อนุญาตให้คนในสำนักเปิดเผยตัวตนซึ่งกันและกัน น่าจะเพื่อป้องกันไม่ให้พวกเขาลอบคบค้ากันเอง เมื่อมีพรรคมีพวกก็จะกลายเป็นควบคุมบงการได้ยาก ยาพิษลูกกลอนนั้นเป็นเพียงวิธีหนึ่งที่เขาใช้ควบคุมคนในสำนักให้เชื่อง ต้องกินยาแก้พิษเฉพาะทางตรงตามเวลาที่กำหนด จึงจะสามารถรักษาชีวิตไว้ได้! บนร่างกายหวั่นซินไร้กลิ่นอายของยาพิษ ดูท่าเจ้าสำนักปฏิบัติต่อนางต่างจากผู้อื่นจริงๆ
แม้ว่าคนเหล่านี้จะไม่ได้แสดงท่าทีต่อต้านอย่างรุนแรงอีกครั้ง แต่ไม่ได้ยอมรับอย่างเต็มใจแน่นอน ทว่านางก็ค้นพบโดยบังเอิญว่าความลับนี้ต่างหาก คือวิธีที่จะสามารถควบคุมสถานการณ์ในตอนนี้ได้!
หากแม้แต้ชีวิตยังรักษาไว้ไม่ได้ แม้ได้ครอบครองอำนาจสูงสุด แล้วจะมีประโยชน์อันใดเล่า?!
ทุกคนล้วนนิ่งอึ้ง ต่างมองหน้ากัน ก่อนหน้านี้มัวแต่คิดว่านางจะมาแย่งชิงตำแหน่งเจ้าสำนัก กลับลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิท
ทูตวิญญาณกระดกกลีบปากยิ้มเย็น เอ่ยอย่างมีเล่ห์เหลี่ยม “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ แม่นางนำยาแก้พิษมาจึงจะสมเหตุสมผล”
“ห้องลับถูกทำลายแล้ว ยาลูกกลอนเหล่านั้นล้วนหายไปสิ้น หากต้องการแก้พิษ ต้องให้เวลาข้าปรุงยาขึ้นมาใหม่ ยิ่งไปกว่านั้น ข้าอยากแก้พิษให้พวกท่าน ไม่ใช่เพียงบรรเทาอาการไปเรื่อยๆ!”
เมื่อวาจานี้ถูกเอ่ยออกไป ทุกคนก็ตกตะลึงไปอีกครั้ง
“เจ้า…” ดวงตาของทูตมั่งคั่งฉายแววยินดี ทว่าไม่นานกลับบังเกิดความสงสัย ไม่เข้าใจว่านางหมายความว่าอย่างไรกันแน่
ซูหลียิ้มบาง ก่อนจะเอ่ยเสียงเบา “ยามนี้เฉินเหมินยังไม่พ้นวิกฤติ เจิ้นหนิงอ๋องไม่มีทางลดราวาศอกแน่นอน เขาจะต้องสังหารพวกเราจนสิ้น สิ่งสำคัญยามนี้คือรักษาความปลอดภัยของทุกคน ไม่อาจปล่อยให้เกิดข้อผิดพลาดใดขึ้นอีก ขอเพียงทุกคนร่วมมือร่วมใจ ผ่านด่านนี้ไป จึงจะรักษาเฉินเหมินไว้ได้!”
บุรุษหน้ากากสีทองสัมฤทธิ์สายตาไหวระริก คล้ายมีวาจาต้องการเอ่ย
หวั่นซินอดไม่ได้หมายจะกล่าววาจา กลับถูกซูหลีโบกมือห้ามไว้ นางเอ่ยต่ออย่างรวดเร็ว “คนที่รอดจากสงครามครั้งนี้มาได้ ล้วนเป็นศิษย์ที่ยอดเยี่ยมที่สุดของเฉินเหมิน ต่างมีความสามารถพิเศษโดดเด่น ข้ารู้ดีว่าเทียบพวกท่านไม่ได้! เพียงแต่ท่านเจ้าสำนักมองเห็นความพิเศษในตัวข้า พากเพียรบ่มเพาะข้าให้สืบทอดตำแหน่ง หากไม่ใช่เพราะเหตุผลนี้ วันนี้ข้าไม่มีทางมายืนอยู่ตรงนี้แน่ เฉินเหมินกำลังเผชิญหน้ากับปัญหา ข้ายิ่งไม่อาจทำให้ท่านเจ้าสำนักผิดหวัง ฉะนั้นจึงตัดสินใจรักษาการแทนตำแหน่งเจ้าสำนักชั่วคราว เพื่อร่วมมือกับทุกท่านต้านศัตรูจากภายนอก! ภายหน้าหากมีผู้ใดเหมาะสมกว่า ข้ายินดีสละตำแหน่งให้คนผู้นั้น!”
……………………………………………………..