กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - บทที่ 91 สองท่านอ๋องรวมตัวกัน (3)
“นี่เจ้ากำลังเป็นห่วงข้างั้นหรือ?” ไม่รอให้นางเอ่ยจบ ตงฟางจั๋วกล่าวตัดบทด้วยการเงยหน้าถาม ใบหน้าเขาไม่เหลือเค้าความโกรธก่อนหน้า มีแต่สายตาร้อนแรงบีบคั้นผู้คน
ซูหลีชะงักเล็กน้อย จ้องหน้าเขาเขม็ง ยิ้มและเอ่ยว่า “จิ้งอันอ๋องจะเข้าใจเช่นนั้นก็ได้เพคะ ท่านอ๋องฐานะสูงส่ง เป็นแขกที่สกุลซูของเราไม่อาจเชื้อเชิญมาได้ ซูหลีในฐานะเจ้าบ้าน ย่อมต้องห่วงใย…”
“ไม่ต้องเอ่ยวาจาสวยหรูเหล่านั้นกับข้า! ข้าไม่อยากฟัง!” ตงฟางจั๋วตัดบทอย่างเย็นชา ความคาดหวังในดวงตาคมเข้มถูกคำพูดเหินห่างของนางทำลายจนสิ้น ความเจ็บปวดที่ทิ่มแทงในส่วนลึกของจิตใจปรากฏออกมาทางสีหน้าอย่างควบคุมไม่อยู่ เขารีบก้มหน้า กำหมัดแน่น จู่ๆ ก็ดึงตัวนางให้นั่งลงบนเก้าอี้ข้างกายตนเอง
พละกำลังและท่าทางที่ไม่เปิดโอกาสให้ขัดขืน ทำให้ซูหลีไม่พอใจ นางยังไม่ทันเอ่ยปากพูดอะไร ตงฟางจั๋วก็สั่งบ่าวรับใช้ “เก็บเก้าอี้สองตัวนั้นไปเสีย”
บ่าวรับใช้อึ้งงัน ลอบมองซูหลี และหันไปมองตงฟางเจ๋อที่รอยยิ้มสะดุดเล็กน้อย ก็เกิดลังเลขึ้นมา
ลังเลเพียงชั่วขณะ ก็กระตุ้นเพลิงโทสะของตงฟางจั๋ว แม้แต่บ่าวรับใช้ก็ยังไม่เห็นคำสั่งของเขาอยู่ในสายตา ตงฟางจั๋วใบหน้าเรียบตึง ยกฝ่ามือซัดออกไป กระแสลมแรงสายหนึ่งพุ่งเฉียดใบหน้าไปพร้อมกับความโกรธกรุ่น ทุกคนยังไม่ทันตั้งตัว ได้ยินเพียงเสียง ‘บึ้ม’ ดังสนั่น เก้าอี้ตัวที่อยู่ข้างตงฟางเจ๋อพลันแตกกระจายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย พริบตาเดียวหายไปอย่างไร้ร่องรอย มองไม่เห็นแม้แต่เศษขี้เลื่อย
ทุกคนต่างตกตะลึง!
ยากที่จะจินตนาการ หากฝ่ามือนั้นซัดใส่ร่างกายคน จะต้องแหลกสลายไม่เหลือแม้แต่กระดูกเป็นแน่…จิ้งอันอ๋องผู้ที่ลือกันว่ามีนิสัยหัวรุนแรง ยามบันดาลโทสะน่ากลัวดังคาด!
ซูชิ่นตกใจจนร่างกายสั่นสะท้าน หลีเหยาใบหน้าซีดเผือด เหล่าบ่าวรับใช้ที่คอยปรนนิบัติอยู่ข้างกายยิ่งแข้งขาสั่น พากันคุกเข่าลงกับพื้นทั้งหมด
เหงื่อเย็นผุดพราย หยดลงบนพื้นหินเกิดเป็นเสียงดัง ‘ติ๋ง’
รอบกายเงียบสงัดดั่งไร้สิ่งมีชีวิต
ซูหลีอดขมวดคิ้วไม่ได้ คิดอยากรั้งมือกลับ ทว่ากลับถูกเขากุมไว้แน่น ขยับเขยื้อนไม่ได้แม้แต่น้อย นางเงยหน้ามองตงฟางจั๋ว ยามนี้เขาเองก็กำลังจ้องนางเช่นกัน สายตาเย็นเยียบดั่งน้ำแข็ง เพลิงโทสะที่สะสมมาทั้งวันถูกระบายออกมาในที่สุด ฝ่ามือที่สามารถซัดร่างกายทำลายกระดูกให้แหลกละเอียดครั้งนี้ ไม่ใช่เพื่อเตือนเหล่าบ่าวรับใช้เท่านั้น แต่กำลังเตือนนางและตงฟางเจ๋อด้วย
ซูหลีนิ่งขรึม ไฟแห่งความโกรธลุกท่วมในใจ แทบข่มกลั้นไว้ไม่อยู่
ในตอนนี้เอง ตงฟางเจ๋อพลันหัวเราะกล่าวว่า “หากบ่าวรับใช้ทำผิด พี่รองเพียงดุด่าว่ากล่าวก็พอ เหตุใดต้องทรงกริ้วถึงเพียงนี้? เก้าอี้ดีๆ ตัวหนึ่ง ช่างน่าเสียดาย!”
ตงฟางจั๋วเหล่มองเขาอย่างเย็นชา แค่นเสียงยิ้มเยาะ “น้องหกเป็นห่วงเป็นใยเก้าอี้ตั้งแต่เมื่อใดกัน? ข้าก็มีนิสัยเช่นนี้ ย่อมเทียบกับน้องหกที่ทำตัวละมุนละม่อมไปทั่วทิศ แต่ในใจคิดคดไม่ได้!”
แววเสียดสีทิ่มแทงในวาจา แม้แต่ซูชิ่นก็ยังฟังออกชัดเจน ทุกคนพลันตื่นตระหนก
ตงฟางเจ๋อราวกับไม่รับรู้ เพียงเอ่ยตอบเสียงเรียบราวกับได้รับคำชม “พี่รองชมเกินไปแล้ว! ซูซู ยังไม่ให้บ่าวรับใช้นำเก้าอี้ตัวนั้นไปเก็บอีก ประเดี๋ยวพี่รองโกรธอีก กลัวว่าอาหารมื้อนี้คงไม่ได้กินกันแล้ว!”
ซูหลีมิได้รับคำ บ่าวรับใช้ที่คุกเข่าอยู่ข้างล่างตระหนักได้ในที่สุด รีบลุกขึ้นนำเก้าอี้เปล่าที่เหลืออยู่ตัวเดียวไปเก็บ
ตงฟางเจ๋อกล่าวขึ้นอีก “ที่จริงแล้วก็แค่เก้าอี้ตัวเดียว ซูซูอยากนั่งที่ใดก็นั่งที่นั่น พี่รองไม่เห็นต้องจริงจังถึงเพียงนี้?”
เขาเรียกขานซูซูทุกประโยค ฟังดูสนิทสนมยิ่งนัก หัวใจของตงฟางจั๋วราวกับถูกคนบีบรัดจนแน่น เขาหันไปมองสตรีข้างกายตนเอง นางหลุบตาต่ำ ดวงหน้าเย็นชา ทั้งที่นั่งอยู่ข้างกายเขาแท้ๆ ทว่ากลับรู้สึกห่างเหินเหมือนมีพันภูเขาหมื่นแม่น้ำกั้นขวางอยู่ ครั้นตระหนักได้เช่นนี้ เขาเพิ่มแรงบีบที่มืออย่างไม่รู้ตัว กำมือนางเอาไว้แน่น คล้ายต้องการยึดเหนี่ยวสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตซึ่งครั้งหนึ่งเคยหลุดมือไปแล้วเอาไว้
ราวกับกระดูกใกล้จะแหลกละเอียด ซูหลีเจ็บจนต้องขมวดคิ้ว อยากใช้กำลังภายในสะบัดมือเขาออก แต่กลับข่มกลั้นไว้ในท้ายที่สุด
ตงฟางจั๋วกล่าวว่า “น้องหกอย่าได้ดูเบาเก้าอี้ตัวนี้ มันบ่งบอกถึงตำแหน่งของคนผู้หนึ่งได้! ซู…” เขาหมายจะเอ่ยเรียกชื่อเล่นของนาง แต่คำว่า ‘ซูซู’ สองคำนี้ยังไม่ทันออกจากปาก ในใจราวกับถูกบีบรัดอย่างแรง เจ็บจนหายใจสะดุด ก่อนจะเปลี่ยนคำเรียก “ตำแหน่งของซูเอ๋อร์ ควรอยู่ข้างกายข้าอยู่แล้ว ฉะนั้นมีเพียงเก้าอี้ตัวนี้ตัวเดียวก็เพียงพอแล้ว ที่เหลือมีแต่ขวางหูขวางตาเท่านั้น”
ใช้เก้าอี้เปรียบเปรยกับคน วาจาแฝงความนัย ซ่อนเร้นคำพูดเสียดแทง
ตงฟางเจ๋อสีหน้าไม่เปลี่ยน สายตาทอดมองไปยังซูหลี มุมปากยังคงมีรอยยิ้ม ทว่าสายตากลับเยือกเย็นจับจิต
ยามนี้ใบหน้าซูหลีไม่แสดงอารมณ์ใดทั้งสิ้น ไม่รู้ว่าบุรุษข้างกายนางเอาความมั่นใจมาจากที่ใด มีสิทธิ์อันใดจึงคิดว่าตนเองสามารถกำหนดตำแหน่งและชีวิตของนางได้?
ซูเอ๋อร์?! ช่างสมเป็นพี่น้องกันเสียจริง เรียกชื่อเล่นผู้อื่นโดยไม่ได้รับอนุญาตเช่นนี้ ตงฟางจั๋วเรียกนางว่า ‘ซูเอ๋อร์’ แทนที่จะเรียกว่า ‘ซูซู’ นางมีหรือจะไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุใด? ในใจพลันบังเกิดความเย็นชาสุดแสน นางเงยหน้ายิ้มเอ่ยว่า “จิ้งอันอ๋องทรงคิดมากไปแล้วเพคะ! นี่เป็นเพียงอาหารธรรมดามื้อหนึ่ง เก้าอี้ที่หม่อมฉันนั่ง ก็เป็นเพียงเก้าอี้ธรรมดาเท่านั้น มันไม่อาจบ่งบอกสิ่งใดได้เลย ยิ่งไม่อาจบ่งบอกถึงตำแหน่งในอนาคตของหม่อมฉันได้!”
ออกแรงดึงมือกลับ บนผิวเนียนมีรอยแดงตัดกันกับสีผิวขาวผ่องของนางชัดเจน ความรู้สึกชาแผ่ไปทั่วทั้งมือ แต่นางกลับไม่รู้สึกเจ็บสักนิด
ตงฟางจั๋วอึ้งงันไปเล็กน้อย ทั้งที่สตรีตรงหน้ากำลังส่งยิ้มให้เขา เขากลับรู้สึกได้ถึงความเย็นชาของนางที่มาจากก้นบึ้งหัวใจ ความเจ็บปวดพาดผ่านดวงตา กลีบปากเค้าโครงชัดเจนของตงฟางจั๋วเม้มแน่น ผ่านไปนานก็ยังไม่เอ่ยวาจาใด
รอบกายเงียบสงัดไร้เสียง กลิ่นหอมของอาหารลอยฟุ้งกลางอากาศ ตั้งแต่เมื่อใดไม่รู้ที่อาหารเลิศรสมากมายวางเต็มโต๊ะ
ไม่มีผู้ใดขยับตะเกียบแม้แต่น้อย
พ่อบ้านซูฮู่เหงื่อไหลท่วมศีรษะ ครุ่นคิดแล้วครุ่นคิดอีก สุดท้ายก็เสี่ยงชีวิตกล่าวเตือน “ท่านอ๋องทั้งสองรีบเสวยตอนอาหารยังร้อนเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
ตงฟางจั๋วและซูหลีต่างละสายตาออกจากกัน ผู้คนรอบข้างต่างยกแขนเสื้อปาดเหงื่อ และถอนหายใจโล่งอก
ตงฟางเจ๋อชี้ไปยังอาหารจานสุดท้ายที่บ่าวรับใช้นำมาขึ้นโต๊ะ ก่อนเอ่ยถามอย่างแปลกใจ ราวกับไม่มีเรื่องใดเกิดขึ้น “นี่คืออะไร?”
ใบแดงก้านเขียวรากขาว รูปร่างประหลาด วางประดับอยู่ในจานเงิน ดั่งต้นปักษาสวรรค์
ซูฮู่กำลังจะตอบ กลับถูกซูชิ่นถลึงตาใส่จนต้องเงียบ ในที่สุดก็มีโอกาสพูด ซูชิ่นไม่มีทางพลาดแน่นอน นางรีบคลี่ยิ้ม ก่อนจะหันไปเอ่ยวาจาด้วยเสียงอ่อนหวานกับตงฟางเจ๋อ “ทูลท่านอ๋อง นี่เป็นอาหารจานพิเศษที่มีเฉพาะในหุบเขาจู๋หลี รสชาติดีมากเลยเพคะ! ท่านแม่ของหม่อมฉันชอบจานนี้ที่สุด มาที่นี่เมื่อไรต้องได้กินทุกครั้ง”
“ใช่แล้วพ่ะย่ะค่ะ” ซูฮู่ยิ้ม และเอ่ยอย่างนอบน้อม “เดิมทีอาหารจานนี้เตรียมไว้สำหรับฮูหยินโดยเฉพาะ นึกไม่ถึงฮูหยินไม่อาจเดินทางมาได้ เดิมทีผู้น้อยคิดว่าอาหาธรรมดาเช่นนี้ไม่นำมาถวายต่อหน้าแขกผู้สูงศักดิ์จะดีกว่า ทว่าเมื่อตรองดูอีกหน ผักป่าชนิดนี้มีฤทธิ์ลดไอร้อนในร่างกาย เหมาะที่จะกินในฤดูร้อนเป็นที่สุด…ท่านอ๋องทั้งสองอยู่ในวังมานาน ฐานะสูงส่ง ยามปกติมีอาหารเลิศรสใดบ้างไม่เคยลิ้มลอง ไม่แน่อาจชอบรสชาติสดชื่นเช่นนี้ก็ได้! ฉะนั้นผู้น้อยจึงบังอาจให้คนนำมาถวาย หากท่านอ๋องไม่ทรงโปรด ผู้น้อยจะให้คนเก็บไป” พูดไปก็ทำท่าจะเรียกคนมาเก็บอาหารป่าจานนี้ออกไป
ยามนี้เอง ตงฟางจั๋วกลับยื่นตะเกียบออกไปคีบผักเส้นหนึ่งเข้าปาก ซูฮู่รอดูปฏิกิริยาของเขาอย่างใจจดใจจ่อ แต่ตงฟางจั๋วกลับไม่คิดจะวิจารณ์รสชาติอาหาร ทว่าดูจากสีหน้าของเขา รสชาติน่าจะพอใช้ได้ทีเดียว
……………………………………………………….