กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - บทที่ 92 บรรยากาศคลุมเครือในสระน้ำพุร้อน (1)
หลีเหยาเองก็ยื่นตะเกียบคีบมาลิ้มรสตามด้วย ก่อนจะพยักหน้าเอ่ยชื่นชม “อืม…รสชาติดีมากจริงๆ! พี่สาวซู ท่านลองชิมดูสิ”
หลังจากได้ลิ้มรสชาติ ซูหลีก็รู้สึกว่าไม่เลวจริงๆ สัมผัสนุ่มลิ้นรสชาติสดชื่น แฝงไว้ด้วยกลิ่นหอมอ่อนๆ เป็นอย่างที่พ่อบ้านกล่าว เหมาะที่จะกินในหน้าร้อนยิ่งนัก นางอดไม่ได้ที่จะลิ้มรสอีกหลายคำ ทุกคนต่างก็พากันยื่นตะเกียบมาคีบไปลิ้มรสตามๆ กัน ผ่านไปไม่นาน อาหารจานอื่นยังไม่พร่องสักนิด แต่จานนี้กลับเริ่มมองเห็นก้นจานแล้ว
ซูชิ่นเห็นตงฟางเจ๋อชื่นชอบ จึงรีบกำชับซูฮู่ให้รีบไปเตรียมมาถวายอีกหนึ่งจาน ก่อนจะนำมาวางตรงหน้าเขาด้วยตนเอง จากนั้นก็ฉวยโอกาสดื่มสุราคารวะเขา ท่าทีของนางที่ยังไม่ยอมตัดใจจากเขา ไม่ว่าผู้ใดก็ย่อมดูออก
ตงฟางเจ๋อไม่ได้ปฏิเสธ รับถ้วยสุราไป ดื่มหมดก็มองซูหลี ซูหลีรู้ดีว่าหลบไม่พ้น จึงไหลไปตามน้ำด้วยการลุกขึ้นยืน หันถ้วยสุราดื่มคารวะรอบวง
เมื่อสุราลงท้องไปหลายถ้วย บรรยากาศในงานเลี้ยงจึงผ่อนคลายขึ้นหลายส่วน วาจาของทุกคน ก็ค่อยๆ เพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะซูชิ่น
ไม่รู้ว่าจู่ๆ เป็นผู้ใดเอ่ยถึงเรื่องการร่ายรำในพิธีคัดเลือกพระชายา ซูชิ่นรีบลุกขึ้นยืน ถามอย่างสงสัย “น้องสาว ข้าไม่เข้าใจมาตลอด การร่ายรำนั้นเจ้าไปเรียนมาจากที่ใด? เรียนตั้งแต่ตอนไหน? เหตุใดข้าไม่รู้สักนิด?”
ซูหลีเอ่ย “เพราะพี่สาวไม่ใส่ใจ จึงไม่รู้” วาจาแฝงความหมาย นางยิ้มบางๆ ผ่อนหนักเป็นเบา
ซูชิ่นถลึงตาจ้องนางอย่างจงเกลียดจงชัง หมายจะโต้เถียง ซูหลีกลับพบว่าจู่ๆ หลีเหยาก็ก้มหน้าด้วยสีหน้าปวดใจเพราะสาเหตุใดไม่รู้ จึงอดไม่ได้ที่จะถาม “เหยาเอ๋อร์เป็นอะไรไป?”
หลีเหยาเงยหน้ามองนาง คล้ายนึกถึงเรื่องปวดใจขึ้นมาได้ ดวงตาแดงก่ำ น้ำตาคลอเบ้า ส่ายหน้าเอ่ยเสียงสะอื้นเบาๆ “ข้า…ข้าไม่เป็นไร ข้าเพียงแต่…จู่ๆ ก็คิดถึงพี่สาวขึ้นมา” น้ำตาสองสายหลั่งรินออกจากดวงตางามอย่างห้ามไม่อยู่
ซูหลีปวดใจ นึกขึ้นได้ว่าแต่ก่อนนางเคยร่ายรำต่อหน้าหลีเหยา ถึงแม้ไม่ใช่นกเพลิงสยายปีก แต่ก็ยากที่จะไม่ทำให้ผู้ที่เคยชมคิดเชื่อมโยงถึงกัน
“ลือกันว่าท่านหญิงหมิงอวี้ชำนาญการร่ายรำยิ่งนัก ทุกบทเพลงร่ายรำได้งดงาม พลิ้วไหวดั่งเทพธิดา เพียงเสียดายบุปผางามด่วนร่วงโรย ช่างน่าเสียดายโดยแท้” ตงฟางเจ๋อทอดถอนใจเบาๆ สายตาทอดมองมายังซูหลีอย่างไม่รู้ตัว ซูหลีเจ็บปวดหัวใจ รีบหลุบตาต่ำ ซ่อนอารมณ์ความรู้สึกทั้งหมดไว้ใต้แพขนตางาม ตงฟางเจ๋อเลื่อนสายตาไปที่ทางตงฟางจั๋ว หัวเราะและเอ่ยอย่างมีนัยแฝง “หากท่านหญิงหมิงอวี้ยังอยู่…พี่รอง ท่านคิดว่านางกับซูซู ผู้ใดเหนือกว่ากัน?”
ชั่วพริบตา ถูกเขาสะกิดบาดแผลที่ซ่อนไว้ในส่วนลึกของหัวใจ ใบหน้าของตงฟางจั๋วพลันซีดขาว
ไม่ว่าเมื่อใด ขอเพียงนึกถึงหรือได้ยินผู้ใดเอ่ยถึงสตรีนางนั้น เขาก็รู้สึกเหมือนถูกเข็มนับพันนับหมื่นเล่มทิ่มแทงหัวใจ ความเจ็บปวดรวดร้าวเกินบรรยายทำให้เขาหายใจไม่ออก ราวกับขาดอากาศก็ไม่ปาน
หากว่านางยังอยู่ หากว่านางยังมีชีวิตอยู่…ถ้าหากว่า…
ตงฟางจั๋วกำหมัดแน่น สูดหายใจลึกๆ พลันหันหน้าขวับไปทางตงฟางเจ๋อ สายตาแปรเปลี่ยนเป็นเย็นเยียบและคมปลาบทันที เขาคลี่ยิ้มเย็นชา วาจาแฝงแววเย้ยหยัน “เอ่ยถึงเรื่องร่ายรำ ไม่ว่าผู้ใดก็เทียบพระสนมกุ้ยเฟยไม่ได้! ได้ยินว่าเหลียงกุ้ยเฟยอาศัยการร่ายรำเพียงครั้งเดียว ก็โชคดีได้รับความโปรดปรานจากเสด็จพ่อ ยี่สิบปีความโปรดปรานก็ไม่ลดลง น้องหกจึงได้มาอยู่ในตำแหน่งเช่นทุกวันนี้ได้! หากว่าเหลียงกุ้ยเฟยยังอยู่…น้องหกเจ้าว่า เจ้าจะนำนางไปเปรียบเทียบกับผู้อื่นหรือไม่?”
เสียงสูดหายใจด้วยความพรั่นพรึงพลันดังมาจากรอบข้าง
เริ่มแรกก็ท่านหญิงหมิงอวี้ ยามนี้ก็เอ่ยถึงพระสนมเอกอีก บุคลลทั้งสองที่ลาลับโลกนี้ไปแล้ว ล้วนเป็นสตรีที่ท่านอ๋องทั้งสองต่างก็ใส่ใจมากที่สุด ยามปกติไม่มีผู้ใดกล้าเอ่ยถึง ยามนี้พวกเขากลับผลัดกันแตะเกล็ดมังกร[1]กันเอง ท่ามกลางเสียงหัวเราะเบาๆ กลับหันมีดทิ่มแทงหัวใจของอีกฝ่ายอย่างโหดเหี้ยม
บรรยากาศพลันนิ่งงันไปชั่วขณะ ไอสังหารสองสายพุ่งปะทะกันกลางอากาศ ประกายเย็นยะเยือกแผ่ซ่านทั่วทิศ อากาศอันร้อนระอุในหน้าร้อน ราวกับถูกแช่แข็งในพริบตา
บรรยากาศเย็นเยียบอย่างรวดเร็ว ไม่มีผู้ใดคาดคิด ทั้งที่ยังอยู่ในฤดูร้อนที่อากาศร้อนอบอ้าวมากแท้ๆ ทว่าทุกคนกลับต้องตกอยู่ในสงครามเย็นเช่นนี้
ตงฟางเจ๋อสีหน้าเรียบเฉยดั่งผิวน้ำที่นิ่งสงบ ยากแท้หยั่งถึง ซูหลีเห็นเช่นนั้นก็ให้นึกตกใจ เดิมทีคิดว่าคนเช่นตงฟางเจ๋อ ไม่มีเรื่องใดในโลกนี้ที่ทำให้สีหน้าเขาเปลี่ยนได้ ที่แท้ก็ไม่ได้เป็นอย่างที่นางคิด
บางที ในใจของแต่ละคนอาจมีเกราะกำบังต้องห้ามซ่อนอยู่ สิ่งที่ถูกปิดกั้นไว้ข้างในนั้น ไม่ว่ายามใด และไม่ว่าผู้ใดก็ห้ามแตะต้องบาดแผลนั้นเด็ดขาด ตงฟางจั๋วมี ตงฟางเจ๋อมี นางก็มีเช่นกัน
ความเงียบดำเนินต่อเนื่องยาวนานถึงหนึ่งเค่อ สรรพชีวิตใต้ฟ้าราวกับสิ้นลมไปหมดแล้ว เมื่อมื้ออาหารหรูหราค่อยๆ เย็นชืดลงท่ามกลางบรรยากาศชวนอึดอัด อาหารมื้อแรกในการมาเยือนบ้านพักตากอากาศแห่งนี้ของซูหลี ก็จบลงอย่างไม่เป็นท่าท่ามกลางคลื่นอารมณ์อันน่าพรั่นพรึงเช่นกัน
ตงฟางเจ๋อลุกขึ้นเดินจากไปก่อน ก่อนจากไป สีหน้าเขากลับมาเป็นปกติ แต่รอบกายยังคงมีไอเย็นแผ่ซ่านดังเดิม
เซิ่งฉินพลันปรากฏกายในห้องพักของเขา เอ่ยรายงานเสียงเบา “นายท่าน เซิ่งจินมาพ่ะย่ะค่ะ”
ตงฟางเจ๋อสีหน้าฉายแววแปลกใจเล็กน้อย “ให้เขาเข้ามา”
องครักษ์หนุ่มในชุดสีดำทะมัดทะแมง ไอสังหารรุนแรงที่แผ่รอบกายเขาพลันถูกเก็บซ่อนทันทีเมื่อพบผู้เป็นนาย คุกเข่าข้างเดียว คารวะด้วยความนอบน้อมสุดแสน
ตงฟางเจ๋อค่อยๆ หมุนกายหันกลับมาเอ่ยถามด้วยใบหน้าไม่แสดงอารมณ์ “มีเรื่องใด?”
“เรียนนายท่าน ข้าน้อยตรวจสอบดูแล้ว มีคนสองฝ่ายกำลังตรวจสอบชาติกำเนิดของท่านหญิงหมิงซี หนึ่งในนั้นคือทูตจากแคว้นเปี้ยน พวกเขาตรวจสอบได้ว่าปีนั้นนางหลิ่วได้คลอดท่านหญิงหมิงซีในอารามเล็กๆ แห่งหนึ่งใกล้กับอารามฝอกวง และตามหาผู้ที่ทำคลอดให้นางหลิ่วจนเจอ ทว่า…เพิ่งจะตามหาเจอ คนผู้นั้นก็ตายแล้ว!”
“เป็นฝีมือผู้ใดสังหาร?” สายตาของตงฟางเจ๋อไหวระริกเล็กน้อย เอ่ยถามเสียงเรียบ
เซิ่งจินตอบ “เป็นสตรีนางหนึ่ง! ข้าน้อย…ยังไม่อาจตรวจสอบตัวตนของนางได้ ทว่า…วิธีสังหารคนของนางประหลาดยิ่งนัก นางใช้ใบไม้ที่เล็กมากเจาะทะลุแผ่นหลังของผู้ตาย ทำให้คนผู้นั้นสิ้นลมทันที ตอนนั้นขุนพลฮูเอ่อร์ตูยังอยู่ในที่เกิดเหตุ แต่ไม่อาจไล่ตามสตรีนางนั้นได้ทัน!”
คนที่แม้แต่ขุนพลอันดับหนึ่งแห่งแคว้นเปี้ยนยังไล่ตามไม่ทัน…คิ้วของตงฟางเจ๋อขมวดเบาๆ ตั้งแต่ที่พบกันคราแรกและพานางไปที่จวนเซ่อเจิ้งอ๋อง เขาก็สัมผัสได้แล้วว่านางมีสายสัมพันธ์ที่ไม่ธรรมดากับจวนเซ่อเจิ้งอ๋อง เขาจึงสงสัยในชาติกำเนิดของนางและดำเนินการตรวจสอบ แต่นอกจากชื่อเล่นที่เหมือนกัน และหน้าตาที่คล้ายคลึงกัน ก็ตรวจสอบไม่เจอเบาะแสอื่นอีก เดิมทีควรหยุดการตรวจสอบเพียงเท่านี้ แต่นึกไม่ถึงว่ามีทูตจากแคว้นอื่นสนใจในชาติกำเนิดของนางถึงเพียงนี้เช่นกัน ยามนี้ยังมีมือสังหารยอดฝีมือฆ่าคนปิดปากอีก ดูท่า สตรีที่เขาหมายจะสู่ขอ ยังมีความลับที่ไม่มีใครรู้ซ่อนอยู่อีกไม่น้อย…
“จับตามองคนพวกนั้นต่อไป มีเรื่องใดจงรีบมารายงาน” ตงฟางเจ๋อกำชับเสร็จ ก็คล้ายนึกอะไรขึ้นมาได้ จึงเอ่ยถามอีก “เฉินเหมิน มีเบาะแสใดเพิ่มหรือไม่?”
“ข้าน้อยกำลังจะรายงานเรื่องนี้กับนายท่านพอดี” พูดไป เซิ่งจินก็ล้วงของสิ่งหนึ่งออกมาจากอกเสื้อ ก่อนจะน้อมส่งมาตรงหน้าด้วยสองมือ “ของสิ่งนี้ค้นเจอใต้ก้อนอิฐในพื้นห้องของเว่ยซู่ ตอนแรกเป็นเพียงผ้าไหมผืนหนึ่ง ข้าน้อยใช้น้ำยาที่พวกเขาทำขึ้นมาโดยเฉพาะแช่ผ้าไหมผืนนี้ จึงปรากฏเป็นรูปภาพเหล่านี้ขึ้นมา”
รูปร่างคล้ายดอกบัว ทว่ากลับไม่ใช่ดอกบัว เหมือนอักษรหรือสัญลักษณ์พิเศษมากกว่า ทั้งหมดมีสามแถวยี่สิบสี่ตัวอักษร ทุกตัวอักษรไม่ได้คล้ายกันทีเดียว ทว่ากลับมีจุดที่คล้ายกันอย่างเห็นได้ชัดเจน
ตงฟางเจ๋อรับไปพินิจดูครู่หนึ่ง รู้สึกราวกับเคยเห็นสัญลักษณ์เช่นนี้จากที่ใดมาก่อน ดูคุ้นตายิ่งนัก คิ้วเข้มขมวดเบาๆ เขาล้วงแหวนหยกวงหนึ่งออกมาจากอกเสื้อ หยกมันแพะสีขาวชั้นดี มองแวบเดียวก็รู้ว่าเป็นของล้ำค่าหายากยิ่ง และรูปภาพที่สลักไว้ด้านในแหวน ก็คล้ายเป็นตัวอักษรแต่ไม่ใช่ตัวอักษร คล้ายเป็นสัญลักษณ์แต่ก็ไม่เหมือนสัญลักษณ์เช่นเดียวกัน เทียบกับรูปภาพบนผ้าไหมผืนนี้กลับไม่คล้ายกัน ทว่ากลับเหมือนมีความเกี่ยวข้องกันอย่างพิเศษในทางใดทางหนึ่ง…
……………………………………………………….
[1]แตะเกล็ดมังกร ในอดีตเชื่อกันว่าใต้คอมังกรจะมีเกล็ดซึ่งหันไปในทางตรงข้ามกับเกล็ดในบริเวณอื่น เชื่อกันว่าหากใครไปแตะเกล็ดนี้ มังกรจะโกรธจัด และฆ่าคนผู้นั้น ในอดีตจักรพรรดิเปรียบเสมือนพญามังกร สำนวนนี้จึงหมายถึงการทำให้จักรพรรดิทรงพิโรธ ปัจจุบันใช้เปรียบเทียบการทำให้ผู้มีอำนาจโกรธ