กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - บทที่ 97 จิ้งอันอ๋องจับชู้ (3)
ไม่ว่าในใจจะเจ็บปวดเพียงใด แต่เขาก็ยังคงเป็นห่วงนาง
ซูหลีไม่ขยับ ราวกับไม่ได้ยินคำสั่งของเขา ตงฟางจั๋วกำหมัดแน่น เอ่ยอย่างเกรี้ยวกราด “เจ้าไม่มีสิ่งใดอยากอธิบายกับข้าบ้างหรือ?”
พยายามข่มความโกรธที่พลุ่งพล่าน เขาอยากให้โอกาสนางสักครั้งหนึ่ง เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดข้อผิดพลาดเหมือนในอดีต แต่ซูหลีกลับอดไม่ได้ที่จะหัวเราะอย่างเย็นชา
อธิบาย? เขาคิดว่านางยังเป็นหลีซูผู้ไร้เดียงสาในอดีตหรือ?
“จิ้งอันอ๋องต้องการคำอธิบายใดงั้นหรือเพคะ? ซูหลีนึกว่าท่านอ๋องเชื่อสายตาตนเองมากกว่า”
“เจ้า!” ตงฟางจั๋วถลึงตาจ้องหน้านาง ไม่อยากเชื่อว่านางจะตอบเขาเช่นนี้ ความเจ็บปวดที่เคยถูกคนรักหักหลังกดทับหัวใจ จู่โจมถาโถมดั่งคลื่นน้ำซัดสาด พริบตาเดียวก็กลืนกินเขา เขามองรอยยิ้มเย็นชาของนาง เหมือนเห็นสตรีที่พร้อมจะออกจากชีวิตเขาไปอย่างไม่เหลือเยื่อใย ในใจเจ็บปวดเคียดแค้นยากทานทน
“เพราะเหตุใด? เพราะเหตุใดเจ้าจึงหักหลังข้า?” เขาอดไม่ได้ที่จะถามนาง สายตาที่เต็มไปด้วยความแค้นสะท้อนแววสิ้นหวังอย่างลึกซึ้ง น้ำเสียงแหบพร่าเพราะความเจ็บปวด ราวกับถูกคนฉีกทึ้งหัวใจ หน้าอกกระเพื่อมขึ้นลงอย่างรุนแรง
หัวใจของซูหลีเจ็บปวดเหมือนถูกทิ่มแทง พวงแก้มที่แดงเรื่อเพราะแรงปรารถนาเมื่อครู่พลันจางหายไปในพริบตา กลับมาซีดขาวดังเดิม ภาพที่เกิดขึ้นตรงหน้า เหมือนย้อนกลับไปยังจุดเริ่มต้น ทว่า… เขายังคงเป็นจิ้งอันอ๋องตงฟางจั๋ว บุรุษที่จับได้ว่านางหักหลังตนเองจึงโกรธเกรี้ยวและคลุ้มคลั่ง แต่นางกลับไม่ใช่ท่านหญิงหมิงอวี้หลีซูที่ลนลานอธิบายความจริงให้เขาฟังอีกแล้ว
“จิ้งอันอ๋องเข้าใจอะไรผิดไปหรือเปล่าเพคะ? หม่อมฉันซูหลีทั้งไม่เคยรับปากว่าจะใช้ชีวิตร่วมกับท่าน ทั้งไม่ใช่ชายาหรือสนมของท่าน คำว่า ‘หักหลัง’ คล้ายว่าไม่เหมาะจะใช้ในความสัมพันธ์ระหว่างหม่อมฉันกับท่านอ๋องนะเพคะ!”
นางใจเย็นถึงเพียงนั้น ไม่เหมือนหลีซูในอดีตแม้แต่น้อย ตงฟางจั๋วมองนาง หอบหายใจอย่างหนักหน่วง เหมือนถูกคนบีบคอ แม้แต่หายใจก็ยังรู้สึกเจ็บ เอ่ยอย่างเลือกคำพูดไม่ถูก “เจ้าจึงสามารถทำเช่นนี้…ต่อหน้าข้า ก็ยังกล้าใกล้ชิดกับเขาถึงเพียงนี้? เจ้าเห็นข้าเป็นตัวอะไร?! เป็นเพียงก้อนหินผ่านทางที่สามารถพาเจ้าเข้าวังงั้นหรือ? หรือความรู้สึกที่เจ้าแสดงออกต่อข้าล้วนเป็นเรื่องลวงทั้งหมด?”
ขณะที่ถามคำถามเหล่านี้ สองมือของเขาสั่นเทาอย่างไม่อาจควบคุม ราวกับหากนางเอ่ยคำว่า ‘ใช่’ เพียงคำเดียว เขาก็จะพุ่งเข้าไปบีบนางให้แหลกคามือโดยไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น
วินาทีนี้ ความโกรธแค้นในใจของเขารุนแรงถึงปานนี้ ซูหลีมองดูเขาในสภาพนั้น เหมือนกำลังมองดูตัวเองในอีกด้านหนึ่ง ความรู้สึก? นั่นเป็นสิ่งที่เขาคิดไปเองทั้งสิ้น รอยยิ้มที่มุมปากพลันคลี่กว้างกว่าเดิม ขณะที่สายตากลับเย็นชาสุดขั้ว เพียงเท่านี้ เขาก็รู้สึกทั้งเจ็บและแค้นแล้วหรือ? แต่เทียบกับนางแล้ว สิ่งที่เขาได้รับยังไม่ถึงหนึ่งในหมื่นส่วนที่นางเจอเสียด้วยซ้ำ!
“คำถามของพี่รองช่างน่าขำยิ่งนัก!” ซูหลียังไม่ทันตอบ ตงฟางเจ๋อก็พลันกล่าวขึ้นอย่างเหยียดหยัน ก่อนจะกล่าวต่อด้วยสายตาไร้อารมณ์ “นางไม่ใช่ท่านหญิงหมิงอวี้ ข้าไม่เคยเห็นนางแสดงความรู้สึกใดต่อพี่รองสักนิด พี่รอง ท่านควรตื่นจากฝันได้แล้ว!”
เขาเอ่ยวาจาเพียงไม่กี่คำ ทว่ากลับสามารถจู่โจมจุดอ่อนของตงฟางจั๋วได้ในเวลาอันสั้นที่สุดเสมอ ตงฟางจั๋วสั่นเทาไปทั้งตัว ความโกรธเกลียดและเคียดแค้นต่อคนผู้นี้ที่สะสมมานานหลายปี ล้วนระเบิดออกมาในวินาทีนี้ และกลบฝังสติสัมปชัญญะของเขาจนมิด ดวงตาแดงก่ำ ลอยกายเหนืออากาศ รวบรวมพละกำลังทั้งหมดซัดฝ่ามือใส่อีกฝ่าย
ฝ่ามือวายุพัดพาเอาดอกไม้ใบหญ้าระหว่างทางถั่งโถมเข้ามาอย่างมืดฟ้ามัวดิน แม้แต่น้ำในสระน้ำพุร้อนก็กลายเป็นอาวุธคร่าชีวิต ทรงพลังราวกับน้ำป่าที่เชี่ยวกราก ถาโถมรุนแรงจนเกินต้านทาน
ซูหลีสีหน้าพลันเปลี่ยน ยังไม่ทันหวีดร้องด้วยความตกใจ ร่างกายก็พลันปลิวออกไปราวกับว่าวที่เชือกขาด ไม่เปิดโอกาสให้ขัดขืนแม้แต่น้อย
ตงฟางเจ๋อที่เดิมได้ปล่อยกำลังภายในออกไปต้านทานก่อนแล้ว เมื่อเห็นเช่นนี้ก็ตกใจ รีบสลายพลังฝ่ามือทันที โดยไม่คำนึงถึงว่าการทำเช่นนี้ตนเองจะถูกพลังสะท้อนกลับทำร้าย
พุ่งตัวลงมาอย่างรวดเร็ว โอบกอดสตรีกลางอากาศเข้าสู่อ้อมอก ทั้งสองกอดกันและกลิ้งตกจากเนินเขาอย่างไม่อาจควบคุม
โลกทั้งใบ ราวกับได้ตายไปในชั่วพริบตานี้
ตงฟางจั๋วพลันได้สติในที่สุด เบิกตากว้าง จ้องมองไปยังทิศทางที่สตรีนางนั้นร่วงตกลงไป ชั่วขณะหนึ่ง สมองพลันขาวโพลนไปหมด ความหวาดกลัวที่ไม่อาจบรรยายค่อยๆ แผ่ปกคลุมจิตใจของเขา ยามนี้เขาหวาดกลัวเหลือเกิน กลัวว่าสตรีนางนี้จะจากเขาไปตลอดกาล เหมือนคนผู้นั้น…
“ซูเอ๋อร์! ซูเอ๋อร์!!!”
เสียงตะโกนร้องเรียกอย่างสิ้นหวังดังก้องอยู่ด้านหลังภูเขาอันเงียบสงัด อากาศที่ไหลเวียนอยู่ใต้ผืนฟ้า ราวกับได้แข็งตัวกลายเป็นน้ำค้างแข็ง แผ่ปกคลุมและกัดกินหัวใจของบุรุษผู้นี้
ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าใด ซูหลีฟื้นขึ้นจากการหลับใหล รอบกายมืดมิดดั่งน้ำหมึก ยื่นมือออกไปมองไม่เห็นนิ้ว ภาพสุดท้ายในความทรงจำ คือนางถูกฝ่ามือวายุของตงฟางจั๋วซัดปลิว และถูกอ้อมกอดอันอบอุ่นของคนผู้หนึ่งโอบกอดไว้แน่น…
ตงฟางเจ๋อ!
หัวใจนางพลันสะท้าน รีบลุกขึ้นตามหาเงาร่างนั้นทันที ถึงแม้ไม่รู้ว่าเหตุใดเขาจึงสลายพลังฝ่ามือแล้วมาช่วยนางไว้อย่างไม่ลังเล แต่นางรู้ดีที่สุด การที่เขาทำเช่นนั้นจะต้องถูกกำลังภายในของตนเองย้อนทำร้ายแน่นอน ผู้ที่ฝึกวิทยายุทธ์ ยิ่งมีกำลังภายในสูงเท่าใด พลังสะท้อนกลับก็ยิ่งรุนแรงเท่านั้น แค่คิดก็รู้แล้วว่าเขาบาดเจ็บหนักขนาดไหน นอกจากนั้นเขายังโอบกอดนางกลิ้งตกจากเขาที่สูงขนาดนั้น นางจำระดับความชันและหนทางที่เต็มไปด้วยสิ่งกีดขวางของเนินเขานั้นได้รางๆ
นางลุกขึ้นอย่างร้อนใจ ลองขยับเท้าและมือ ค้นพบว่าตนเองไม่ได้บาดเจ็บหนักมาก แขนขาไม่ได้ขาดและไม่ได้รับบาดเจ็บภายใน มีเพียงบาดแผลถลอกเล็กน้อยเท่านั้น
“ตงฟางเจ๋อ? ตงฟางเจ๋อ!” ซูหลีร้องเรียกอย่างลนลาน แทบไม่รู้ตัวว่าตนเองกำลังขานเรียกชื่อเขาตรงๆ
นางตื่นตระหนก ไม่รู้ว่าตนเองตกลงมาที่ไหน รอบด้านทั้งมืดและเต็มไปด้วยสิ่งกีดขวาง นางก้าวขาหนึ่งก้าว ก็ถูกบางสิ่งเกี่ยวเท้า ล้มลงบนวัตถุที่ขัดขานาง ทว่ากลับไม่ได้เจ็บอย่างที่คิด เพียงรู้สึกว่าบริเวณเอวกระแทกเข้ากับวัตถุแข็งๆ บางอย่าง
เสียงครวญครางดังมาจากด้านล่าง ซูหลีชะงัก รีบยื่นมือไปลูบคลำ
ใบหน้าที่มีเค้าโครงหล่อเหลาอยู่ใต้นิ้วมือ ซูหลียินดียิ่ง ไม่เคยปลื้มปริ่มที่ได้พบเขาเท่าครั้งนี้มาก่อน
“ตงฟางเจ๋อ? เป็นท่านใช่ไหม? ท่านเป็นอย่างไรบ้าง บาดเจ็บมากหรือไม่?” นางรัวคำถามอย่างร้อนใจ จนไม่ตระหนักสักนิดว่ายามนี้มือทั้งสองข้างของนางกำลังประคองใบหน้าเขาไว้แน่น
ยามนี้ บุรุษที่อยู่ใต้ร่างลืมตาขึ้น ครั้นสายตาคมปลาบดั่งกระบี่ของเขามองเห็นสตรีที่อยู่ตรงหน้า ก็แปรเปลี่ยนเป็นอ่อนโยนขึ้นมาทันที
ร่างกายเจ็บปวดมาก อวัยวะภายในราวกับจะถูกกำลังภายในของตนเองระเบิดจนแหลก แต่เขากลับไม่บอกให้นางลุกออกจากร่างเขา เพียงจ้องมองสตรีที่นอนทับอยู่บนตัว ท่ามกลางความมืด ดวงตานางเปล่งประกายวิบวับดั่งดวงดารา นิ้วมือของนางสั่นเทาเล็กน้อย ความกังวลที่นางไม่ได้แสดงออกทางสีหน้าถูกสื่อผ่านทางผิวสัมผัส และส่งตรงถึงหัวใจของเขา นั่นคือความห่วงที่ไม่มีจุดประสงค์อื่นใดแอบแฝงอยู่ ทำให้เขารับรู้ได้ถึงความอบอุ่นและบริสุทธิ์
ที่แท้สตรีนางนี้ไม่ได้เย็นชาอย่างที่เห็นภายนอก! เขาอดไม่ได้ที่จะเกิดความโลภขึ้นในใจ ด้วยเหตุนี้ จึงไม่เอ่ยตอบเป็นเวลานาน
……………………………………………………….