กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - บทที่ 98 ผู้ใดหลงรักผู้ใด? (1)
ซูหลีนึกว่าเขาบาดเจ็บหนักจนไม่สามารถพูดได้ ในใจลนลาน รีบลุกขึ้นหมายจะตรวจดูอาการ ทว่ากลับถูกเขารั้งไว้
นิ้วมือเรียวยาวพลันยื่นมาลูบไล้ดวงหน้างามอย่างไม่มีสัญญาณเตือนล่วงหน้า แตกต่างจากการกระทำยามอยู่ในสระน้ำพุร้อนที่เต็มไปด้วยแรงปรารถนา ยามนี้ปลายนิ้วของเขาเย็นเฉียบ คล้ายกลัวว่าจะนึกเสียใจภายหลัง จึงหมายสลักบางสิ่งลึกลงในใจด้วยการใช้ปลายนิ้วไล้สัมผัส
ราวกับถูกวิญญาณตัวใดเข้าสิง ซูหลีกลับไม่หลบหลีก สัมผัสคุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูกพลันบังเกิดในหัวใจ เหมือนกับว่า…ภาพเหตุการณ์เช่นนี้เคยเกิดขึ้นที่ไหนมาก่อน?
เค้าโครงที่ปลายนิ้วกำลังสัมผัส งดงามละเอียดอ่อนทุกกระเบียดนิ้ว เปรียบเสมือนผลงานชิ้นเอกอันสมบูรณ์แบบไร้ที่ติ…
ทันใดนั้น นิ้วมือของตงฟางเจ๋อพลันสะดุด นัยน์ตาลึกล้ำฉายแววต่างออกไปเล็กน้อย เขาพลันจ้องหน้านางแน่นิ่ง ก่อนจะเอ่ยว่า “ในถุงข้างเอวของข้ามียา หยิบขึ้นมาให้ข้ากิน”
บางสิ่งแวบผ่านสมองอย่างรวดเร็ว ซูหลีชะงักงัน ยื่นมือไปที่เอวข้างซ้ายของเขาตามจิตใต้สำนึก ขวดกระเบื้องขนาดเท่าหัวแม่มือถูกกำไว้ในฝ่ามืออย่างแม่นยำ
ทั้งสองต่างก็ชะงักงัน ค่ำคืนอันระทึกขวัญเมื่อหลายเดือนก่อน พลันแล่นผ่านสมองพวกเขาทันที
‘ที่แท้ก็เป็นท่าน!’
ซูหลีตื่นตะลึง ประโยคสั้นๆ นี้เกือบจะหลุดออกจากปาก แต่ก็ถูกนางฝืนกล้ำกลืนลงไป ไม่น่าเล่าถึงได้รู้สึกคุ้นเคยยิ่งนัก ที่แท้ตงฟางเจ๋อ…ก็คือบุรุษที่บุกเข้ามาในห้องอาบน้ำโรงเตี๊ยมในคืนนั้น! หัวใจตื่นตะลึง เวลาผ่านมาหลายเดือน เขาก็ยังคงเป็นเขา แต่นางกลับผ่านความเป็นความตาย และไม่ใช่หลีซูคนเดิมในคืนนั้นอีกแล้ว!
พยายามสงบอารมณ์ที่ป่วนพล่านในใจสุดกำลัง ซูหลีลุกออกจากตัวเขา เทยาลูกกลอนออกจากขวดกระเบื้อง ป้อนใส่ปากเขา สีหน้ากลับมาสงบนิ่งดังเดิม ในใจกลับกำลังตรึกตรองให้วุ่น
รอบข้างเงียบสงัดไร้เสียง มีเพียงเสียงหัวใจเต้นของทั้งสองที่ดังคลุมเครือท่ามกลางความเงียบ
“ท่าน ดีขึ้นบ้างหรือไม่?” ซูหลีลังเล สุดท้ายก็เป็นฝ่ายเอ่ยทำลายความเงียบก่อน
“อืม ดีขึ้นมากแล้ว” ตงฟางเจ๋อเสมองไปในความมืด คล้ายกำลังตกอยู่ในภวังค์แห่งความทรงจำ
“ยานี้เป็นยาอะไร ช่วยได้จริงหรือเพคะ?” ซูหลีถามอย่างสงสัย หลายเดือนก่อนในค่ำคืนนั้น เขาก็ถูกพิษร้ายแรง แต่หลังจากกินยาลูกกลอนนี้ ชี่ดั้งเดิมกลับฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว กลิ่นของยาลูกกลอนนี้แปลกประหลาด แม้แต่ซูหลีก็ยังแยกไม่ออกว่ามีส่วนผสมใดบ้าง
“ครึ่งปีก่อน ข้าเคยถูกคนปองร้าย” ใบหน้าหล่อเหลาเคร่งขรึมลงเล็กน้อย นัยน์ตาฉายแววลึกล้ำดำมืดรางๆ ไม่ได้ตอบคำถามของซูหลี กลับเอ่ยเรื่องที่มีคนรู้ไม่มากขึ้นมาแทน
“ผู้ใดกันใจกล้าถึงเพียงนั้น ถึงขั้นกล้าลอบปองร้ายท่านอ๋อง?” ซูหลีคล้ายทั้งตกใจทั้งสงสัย คืนนั้นนางไม่รู้ว่าเป็นเขา แต่กลับสัมผัสได้ว่าเขาบาดเจ็บสาหัสมาก เห็นชัดว่าผู้ที่ลอบปองร้ายเขาหมายเอาถึงชีวิต
“ข้าเองก็อยากรู้เช่นกัน” ตงฟางเจ๋อสายตาเรียบขรึม “เขาฉวยโอกาสตอนที่เสด็จแม่ของข้าสิ้นพระชนม์ ลอบวางยาพิษในสุราของข้าระหว่างที่ข้าเศร้าโศกเสียใจ จากนั้นก็ส่งนักฆ่าชั้นหนึ่งจากเฉินเหมินมาปลิดชีพ”
ซูหลีจำได้ ตอนนั้นที่เขาบุกปราบเฉินเหมิน เคยเค้นถามเจ้าสำนักว่าเป็นผู้ใดบงการ แต่ยังไม่ได้คำตอบ เห็นชัดว่าเขาสงสัยตงฟางจั๋ว!
“องครักษ์ช่วยข้าหลบหนี ข้าหนีเข้าไปในโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง กลับกลายเป็นว่ากระโดดเข้าไปในห้องน้ำของสตรีนางหนึ่งโดยไม่ได้ตั้งใจ!”
ซูหลีใจเต้นระรัว
“สตรีนางนั้นกลับมีวิทยายุทธ์ ช่วยข้าสังหารนักฆ่าที่ไล่ตามมา ข้าบีบบังคับนาง แต่นางกลับใช้ยาพิษกับข้า” ตงฟางเจ๋อคลี่ยิ้มบางๆ รอยยิ้มคล้ายมีคล้ายไม่มีนั้น เมื่อซูหลีเห็นก็อึ้งงัน
“จากนั้นข้าก็ให้นางหยิบยาในถุงคาดเอว แต่นางกลับคลำหาอยู่นาน” เอ่ยมาถึงตรงนี้ ตงฟางเจ๋อก็เว้นวรรคไป หันกลับมามองนาง หัวเราะเบาๆ แล้วกล่าวว่า “ไม่เหมือนเจ้า เพียงยื่นมือก็หาเจอ! เจ้าฉลาดยิ่งนัก ฉลาด…จนเหมือนรู้อยู่แล้วว่ามันอยู่ตรงไหน?”
สายตาอบอุ่นของชายหนุ่มสะท้อนแววคมปลาบ ราวกับสามารถมองทะลุความคิดทั้งหมดผ่านความมืดได้ ซูหลีเงยหน้าสบตากับเขา ในใจสะท้านเล็กน้อย รีบก้มหน้าเอ่ยว่า “ท่านอ๋องล้อเล่นแล้ว ซูหลีฉลาดถึงเพียงนั้นที่ไหนกันเพคะ เมื่อครู่ตอนล้มลงมา ซูหลีเพียงบังเอิญกระแทกโดนขวดยาเท่านั้น”
นางตอบอย่างเป็นธรรมชาติ ตงฟางเจ๋อสายตาไหวระริก หัวเราะกล่าวว่า “ที่แท้ก็เช่นนี้นี่เอง! สตรีในคืนนั้นปราดเปรื่องและมีไหวพริบ ทำให้ข้าตราตรึงยิ่งนัก ต่อมาเมื่อพาคนไปตามหานาง นางกลับจากไปเสียแล้ว ไม่มีผู้ใดรู้ฐานะของนาง คนในโรงเตี๊ยมกลับไม่เคยเห็นแม้แต่หน้าตานาง”
เขากลับไปตามหานาง! ซูหลีมองบุรุษตรงหน้าอย่างอึ้งงัน พลันนึกถึงประโยคที่เขาเอ่ยก่อนจะจากไปในความมืด “ข้าจะกลับมาหาเจ้า!”
“หลายวันก่อน ข้าพบสตรีอีกนางหนึ่งในป่าดอกท้อข้างแม่น้ำหลานชาง นางเหมือนสตรีในคืนนั้น สามารถใช้กลีบดอกไม้เป็นอาวุธ แต่บทเพลงที่นางร่ายรำ กลับคล้ายบทเพลงนกเพลิงสยายปีกของซูซูยิ่งนัก”
ซูหลีใจเต้นระส่ำอีกครั้ง ทว่ากลับไม่เอ่ยวาจาใด
ตงฟางเจ๋อล้วงมือเข้าไปในอกเสื้อ ล้วงบางสิ่งออกมาแกว่งตรงหน้า ประกายวิบวับสีขาวงดงาม เด่นชัดท่ามกลางความมืด ซูหลีดวงตาเป็นประกาย นั่นมันแหวนหยกขาวที่ถูกเขาแย่งไปไม่ใช่หรือ? มันคือสิ่งที่เสด็จแม่ของนางหวงแหนที่สุดยามมีชีวิตอยู่ และยามนี้ก็ได้กลายเป็นของดูต่างหน้าหนึ่งเดียวที่เสด็จแม่นางทิ้งไว้ให้นาง!
นางแทบอยากจะยื่นมือไปแย่งมันกลับมา แต่กลับต้องอดทนข่มกลั้นสุดชีวิต สายตาจดจ้องแหวนวงนั้นเขม็ง หน้าอกกระเพื่อมขึ้นลงอย่างยากสงบ ตงฟางเจ๋อพลันถาม “เจ้ารู้จักสิ่งนี้?”
ซูหลีตกใจ ถึงแม้รู้ว่ายิ่งมีวิทยายุทธ์สูง สายตายิ่งดี แต่นางนึกไม่ถึง ในสภาพแวดล้อมมืดมิดเช่นนี้ เขากลับจับสังเกตการเปลี่ยนแปลงทางสีหน้าของนางได้ภายในพริบตา จึงพยักหน้าตอบ “เคยเห็นเพคะ”
เป็น ‘เคยเห็น’ แต่ไม่ใช่ ‘รู้จัก’
ตงฟางเจ๋อชะงักเล็กน้อย ความคาดหวังสองส่วนในใจค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นความสงสัย เขาเอ่ยถามเสียงเรียบ “เคยเห็นที่ใด?”
ซูหลีเอ่ยตอบเบาๆ “หม่อมฉัน…เคยเห็นผู้อื่นสวมใส่เพคะ”
“เป็นผู้ใด?” ตงฟางเจ๋อถามอย่างร้อนใจ รู้สึกได้ว่าลมหายใจตนเองสะดุดไปชั่วครู่
ซูหลีเงยหน้า นางไม่ตอบกลับย้อนถาม “เหตุใดท่านอ๋องจึงอยากรู้นักว่างนางเป็นใครเล่าเพคะ?” พานพบเพียงครั้งเดียว นางจำใจช่วยชีวิตเขาเพราะสถานการณ์บีบบังคับ เขากลับล่วงเกินนาง ก่อนจากไปยังแย่งของของนางไปโดยไม่ถามความสมัครใจสักนิด ก่อนหน้านี้ไม่รู้ว่าเขาคือตงฟางเจ๋อก็แล้วไป ยามนี้รู้ฐานะของเขาแล้ว ในใจยิ่งสับสนไม่เข้าใจ
ท่ามกลางความมืด ทั้งสองสบตากันอย่างเงียบงัน ต่างฝ่ายต่างหยั่งเชิงกันอย่างแนบเนียน คล้ายต้องการค้นหาคำตอบที่ตนเองต้องการจากอีกฝ่าย
“ข้าตามหานางมาโดยตลอด!” ตงฟางเจ๋อเอ่ยอย่างแช่มช้า
ซูหลีถาม “ตามหานางทำไมหรือเพคะ?”
ตงฟางเจ๋อไม่ได้ตอบ สำหรับเขา สตรีในค่ำคืนนั้นเปรียบเสมือนความฝันอันงดงามตื่นหนึ่งในเหตุการณ์ไล่ล่าสังหาร และสิ่งที่ความฝันตื่นนี้เหลือทิ้งไว้ให้เขา ไม่ใช่เพียงแหวนวงนี้กับอุณหภูมิอุ่นๆ ที่ปลายนิ้วของเขาเท่านั้น แต่ยังมี…
ท่ามกลางอากาศรอบกาย กลิ่นคาวเลือดจางๆ ลอยกระทบปลายจมูก ในกลิ่นคาวเลือดนั้นมีกลิ่นหอมอ่อนๆ จนแทบไม่ได้กลิ่นของดอกไม้ชนิดพิเศษผสมอยู่ด้วย นั่นเป็นกลิ่นที่นางเคยคุ้นเคยเป็นอย่างดี! นางอดไม่ได้ที่จะเอ่ยขึ้นว่า “เพื่อทำความเข้าใจกับพิษในร่างกายของท่าน?” จำได้ว่าในคืนนั้น นางบอกว่ายาของเขาไม่อาจแก้พิษของนางได้ ตอนนั้นเขายังไม่เชื่อ แต่ความจริงแล้ว นางก็ไม่มียาแก้พิษที่แท้จริงเช่นกัน ไม่อย่างนั้นนางคงแก้พิษให้ตนเองได้นานแล้ว
……………………………………………………….