กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - บทที่ 99 ผู้ใดหลงรักผู้ใด? (2)
ตงฟางเจ๋อสายตาเป็นประกาย “เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้าถูกพิษ?”
ซูหลีพยักหน้า เอ่ยตอบด้วยรอยยิ้มอย่างใจเย็น “ท่านอ๋องลืมแล้วหรือเพคะ หม่อมฉันมีประสาทรับกลิ่นที่เกี่ยวข้องกับสมุนไพรและดอกไม้ที่ดีมาก กลิ่นหอมของดอกไม้ชนิดนี้ในร่างกายท่านอ๋อง หม่อมฉันก็เคยได้กลิ่นมาจากตัวนางเช่นกัน คิดดูแล้ว ท่านอ๋องคงถูกพิษจากดอกไม้ของนาง จึงร้อนใจตามหานางถึงเพียงนี้กระมังเพคะ?”
ตงฟางเจ๋อมองนาง เม้มปากไม่เอ่ยอะไร ความหมายแฝงในวาจา คือสตรีผู้นั้นไม่ใช่นาง? แต่ใบหน้านาง เป็นเค้าโครงเดียวกับใบหน้าในความทรงจำของเขาแน่นอน ยังมีจูบนั้นอีก สัมผัสเหมือนในค่ำคืนนั้นไม่มีผิดเพี้ยน…แต่เหตุใดนางจึงไม่ยอมรับ? ตงฟางเจ๋อกระดกคิ้วช้าๆ น้อยคนนักที่จะทำให้เขาปวดหัวและคิดไม่ตกได้เช่นนี้ สตรีตรงหน้าระวังตัวมาก ยิ่งรู้จัก ก็ยิ่งรู้สึกว่านางเหมือนปริศนาที่มีความลับซ่อนอยู่มากมาย
“ซูซู เจ้าเพียงบอกข้ามา นางเป็นใคร…นางเคยช่วยชีวิตข้าไว้ ข้า…ไม่มีวันทำร้ายนาง!” ประโยคสุดท้าย คล้ายเป็นคำสัญญาและรับประกัน เขาถอนหายใจอย่างอ่อนโยน พยายามลดการระวังตัวของนาง เพื่อให้นางพูดความจริง แต่ซูหลีกลับเอ่ยด้วยรอยยิ้มขมฝาด “ถึงท่านอยากทำร้ายนาง ก็ไม่มีโอกาสแล้ว!”
นางเลื่อนสายตาออกไปยังความมืด กลิ่นอายความโศกเศร้ารางๆ แผ่ปกคลุมเรือนร่างของหญิงสาวอย่างห้ามไม่ได้ ตงฟางเจ๋อหัวใจเต้นรัว ถามอย่างประหลาดใจ “วาจานี้หมายความว่าอย่างไร?”
ซูหลีตอบกลับเสียงเรียบ “นางตายแล้ว ในจวนของเซ่อเจิ้งอ๋อง ท่านเคยเห็นศพของนาง!”
ตงฟางเจ๋อสั่นสะท้านไปทั้งตัว ร่างกายที่เจ็บจนไม่สามารถขยับได้เมื่อครู่ ยามนี้กลับลุกพรวดขึ้นนั่ง การกระทำหุนหันเกินไป ส่งผลให้อาการบาดเจ็บภายในกำเริบ เขากระอักเลือดออกมาหนึ่งคำ และเกือบล้มลงไปอีกครั้ง
ซูหลีตกใจ รีบเข้าไปประคองเขา ทว่ากลับถูกเขากุมข้อมือไว้อย่างแรง ตงฟางเจ๋อขมวดคิ้วแน่น คล้ายถูกบางสิ่งโจมตี สีหน้าซีดเผือดไร้สีเลือด
“เจ้าหมายความว่า…แหวนวงนี้ เป็นของท่านหญิงหมิงอวี้? เจ้าแน่ใจ…ว่าไม่ได้โกหกข้า?” เขากุมข้อมือนางแน่น มองหน้านาง ลมหายใจพลันแปรเปลี่ยนเป็นติดขัด
เขาคิดมาโดยตลอด บุตรีอนุภรรยาที่ไม่เคยแม้แต่จะก้าวเท้าออกจากจวน จะเข้าพักในโรงเตี๊ยมกลางดึก ซ้ำยังไม่มีผู้ใดรู้ได้อย่างไร?! แต่หากเป็นท่านหญิงหมิงอวี้…เช่นนั้นเค้าโครงใบหน้าอันคล้ายคลึงที่เขาลูบสัมผัส ก็เหมือนจะมีคำอธิบายแล้ว ทว่าเขากลับไม่อยากเชื่อคำตอบนี้ เขาเชื่อความรู้สึกของตนเองมากกว่า ฉะนั้นเขาจึงเน้นเสียงในประโยคสุดท้าย และจ้องหน้านางไม่วางตา พยายามมองหาช่องโหว่จากสีหน้าและอารมณ์ของนางอย่างสุดความสามารถ แต่ซูหลีกลับพยักหน้าอย่างมั่นใจ
“หากท่านอ๋องไม่เชื่อ ไปถามเหลียนเอ๋อร์สาวรับใช้คนสนิทของท่านหญิงหมิงอวี้ดูย่อมได้ ยังมีจิ้งหวั่นสาวรับใช้ที่พระชายาในเซ่อเจิ้งอ๋องเชื่อใจยามยังมีชีวิตอยู่ แหวนวงนี้ พวกนางทั้งสองคนน่าจะรู้จักเพคะ”
แรงบีบที่ข้อมือของหญิงสาวค่อยๆ คลายลง นิ้วมือที่กำแหวนหยกขาวกลับกุมเข้าหากันแน่นขึ้นเรื่อยๆ และสั่นเทาเบาๆ ซูหลีมองเห็นสีหน้าของเขาในยามนี้ไม่ค่อยชัดเจนนัก เพียงดูออกว่าสายตาของเขาเดี๋ยวสว่างเดี๋ยวมืดมน แสดงออกถึงความสับสนแปรปรวน
ไม่รู้เพราะเหตุใด ซูหลีเหมือนรับรู้ได้ถึงความโศกเศร้าระคนเสียใจจากตัวเขา ยังมีอารมณ์อื่นผสมปนเป แต่นางแยกแยะไม่ออกว่าเป็นอารมณ์ใดบ้าง
ในใจพลันสั่นไหว นางได้ยินบุรุษข้างกายเอ่ยอย่างไม่อยากเชื่อ “กลับเป็นนาง! เหตุใดถึงเป็นนางไปได้?! ถ้าเช่นนั้น…หลีซู ข้ายิ่งต้องตรวจสอบให้ได้ว่าเป็นผู้ใดกันแน่ที่สังหารเจ้า?!”
ซูหลีได้ยินก็ตกตะลึง เงยหน้ามองเขาอย่างอึ้งงัน ความตกใจแสดงออกมาผ่านดวงตาอย่างปิดไม่มิด นางอดไม่ได้ที่จะถาม “ท่านกำลังตรวจสอบคดีของหลีซู?”
ระยะนี้ นางสงสัยมาตลอดว่าเขาอาจเป็นผู้ร้ายที่สังหารนาง ทว่าคิดไม่ถึง เขากลับกำลังสืบคดีของหลีซูอย่างลับๆ! หรือว่า…นางเข้าใจผิดไป? แต่หากไม่ใช่เขา แล้วจะเป็นใครเล่า? อีกทั้ง หากเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับเขา แล้วเหตุใดเขาต้องเสียเวลาตรวจสอบ?
ราวกับอ่านคำถามในใจของนางได้ ตงฟางเจ๋อเอ่ยเสียงเย็นชา “ถูกต้อง! ข้าสงสัยแต่แรกแล้วว่าการตายของหลีซูมีเบื้องลึกเบื้องหลัง! หากคนที่ช่วยข้าในคืนนั้นเป็นหลีซูจริงๆ เช่นนั้นด้วยนิสัยของนาง ไม่มีทางฆ่าตัวตายแน่นอน! คุณหนูใหญ่แห่งจวนเซ่อเจิ้งอ๋อง งดงามเลอโฉม วิทยายุทธ์ไม่ธรรมดา ถึงแม้…สูญเสียความบริสุทธิ์ก่อนแต่งงานจริง ก็ไม่มีทางละทิ้งชีวิตตนเองง่ายๆ แน่นอน! เพียงแต่” เขาชะงักไปเล็กน้อย ก่อนหลุบตากล่าว “ข้าคิดไม่ถึง สตรีที่ช่วยข้าในคืนนั้น!…กลับเป็นนาง! หากข้ารู้…ข้าจะต้อง…”
“จะต้องทำไมหรือเพคะ?” สายตานางคมปลาบ จ้องตรงไปยังดวงตาของเขา
ตงฟางเจ๋อหลับตาพ่นลมหายใจ กัดฟันและเอ่ยอย่างนึกเสียใจสุดแสน “ข้าจะไม่มีวันปล่อยให้นางแต่งงานกับตงฟางจั๋วแน่นอน!”
ถ้าหากไม่ปล่อยให้นางแต่งงานกับตงฟางจั๋ว เรื่องทุกอย่างก็จะไม่เกิดขึ้น…
ถ้าหากเขารู้ว่าเป็นนางเร็วกว่านี้…
ถ้าหาก…
บนโลกใบนี้ไม่มีคำว่าถ้าหาก สิ่งที่ควรเกิดและไม่ควรเกิด ล้วนเกิดขึ้นแล้วทั้งสิ้น! สิ่งที่เขาทำได้ ก็คือตามหาผู้ร้ายที่ฆ่านาง เพื่อเซ่นไหว้วิญญาณของนางที่อยู่บนสวรรค์
เขาถอนหายใจเบาๆ ลมหายใจนั้นราวกับกระทบไปถึงหัวใจของซูหลี ความรู้สึกเปรี้ยวฝาดรุนแรงพลันพรั่งพรูออกมาจากก้นบึ้งหัวใจ นางขอบตาแดงก่ำอย่างห้ามไม่อยู่ รีบหันหน้าหนีไปทางอื่น
“ท่าน…เชื่อว่านางถูกปรักปรำ?” นางข่มกลั้นความเจ็บปวดในใจ ก่อนเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง ญาติที่รู้จักกับนางมานานหลายปี ยังไม่เชื่อทั้งหมด แต่เขา เพียงพานพบคืนเดียว แม้แต่หน้าตาของอีกฝ่ายยังไม่เคยเห็น กลับคิดอย่างละเอียด และกระจ่างถึงเพียงนั้น
ตงฟางเจ๋อมองนางแวบหนึ่ง ความรู้สึกบางอย่างไหวระริกอยู่ในดวงตา เขากล่าว “ข้าเชื่อหรือไม่เชื่อ ไม่สำคัญ สิ่งสำคัญคือ ชาวโลกไม่เชื่อ พี่รองของข้ายิ่งไม่เชื่อ”
ใช่แล้ว ชาวโลกไม่เชื่อ ตงฟางจั๋วไม่เชื่อ แม้แต่เสด็จพ่อที่รักและทะนุถนอมนางมาโดยตลอดยังไม่เชื่อ…
กลิ่นคาวเลือดที่ลอยโชยอยู่ในอากาศเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ ตงฟางเจ๋อก้มหน้าไอติดกันหลายครั้ง
ซูหลีรีบเอื้อมมือไปลูบแผ่นหลังเขา ปลายนิ้วสัมผัสได้ถึงของเหลวอุ่นร้อนและเหนียวหนืด ซูหลีชะงักเล็กน้อย รีบยกมือขึ้นดู รอยสีแดงสะดุดตาปรากฏอยู่บนปลายนิ้ว นางอึ้งงัน ความคิดที่สับสนวุ่นวายเพราะเรื่องเหล่านั้นพลันถูกจัดระเบียบทันที นางรีบชะโงกหน้าดูแผ่นหลังเขา กลิ้งตกลงมาจากเนินเขาสูงชันลูกนั้นเหมือนกัน แต่เสื้อผ้าอาภรณ์ของนางอยู่ครบสมบูรณ์ บนร่างกายมีเพียงรอยถลอกเล็กๆ น้อยๆ แต่เสื้อผ้าของเขากลับขาดวิ่น ผิวหนังที่แผ่นหลังมีแผลเหวอะหวะ!
หรือว่าเขา…
ซูหลีตกตะลึง เอ่ยอย่างร้อนใจ “บาดเจ็บหนักถึงเพียงนี้ เหตุใดไม่รีบบอกเล่าเพคะ? ยังเอาแต่นอนอยู่บนพื้น…” บาดแผลเลือดเนื้อเหวอะหวะ มีดินทรายเลอะติดอยู่หนึ่งชั้น ซูหลีขมวดคิ้วมองหน้าเขา ความรู้สึกสับสนบางอย่างก่อตัวอยู่ในใจรางๆ อย่างไม่รู้ตัว
“แผลภายนอก ไม่ใช่เรื่องใหญ่” ตงฟางเจ๋อเอ่ยเสียงเรียบ คล้ายไม่ใส่ใจอยู่แล้ว
ซูหลีเองก็รู้ดีแก่ใจ สิ่งที่สำคัญจริงๆ คือบาดแผลภายในที่มองไม่เห็น ฝ่ามือนั้นของเขาทรงอานุภาพมาก แรงสะท้อนยิ่งรุนแรงกว่า เพียงกลัวว่าจะต้องพักฟื้นนานหลายวันกว่าจะหายดี ครั้งนี้ นางติดหนี้บุญคุณเขาอีกแล้ว
“รู้หรือเปล่าว่าที่นี่ที่ไหน?” เขาพลันถาม
ซูหลีสำรวจสภาพแวดล้อมรอบข้าง ไตร่ตรองก่อนตอบ “น่าจะเป็นอุโมงค์ร้างแห่งหนึ่งเพคะ พวกเราคงกลับขึ้นไปบนเนินเขาไม่ได้แล้ว ต้องหาทางออกอื่น บาดแผลของท่านอ๋อง…ยังเดินได้หรือไม่เพคะ?”
……………………………………………………….