กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - บทที่ 12 พบกันอีกครั้งในงานชุมนุมครั้งใหญ่ (3)
ซูหลีวิ่งตามไปจนถึงโรงเตี๊ยมเทียนหลง แล้วจึงค่อยชะงักฝีเท้า ที่นี่เป็นจุดศูนย์กลางที่มีแขกเข้าออกมากที่สุด และคึกคักมากที่สุดของเมืองหลวงแคว้นติ้ง มีเส้นทางอยู่หลายเส้นทางที่สามารถมุ่งหน้าสู่ทุกทิศในเมืองหลวงแคว้นติ้งได้ เรียกได้ว่าเชื่อมต่อกันทั่วทิศเลยทีเดียว ยามนี้นางไม่อาจสงบความสงสัยในใจได้ ผู้คนรอบกายสัญจรผ่านไปผ่านมา มีชายสวมเสื้อสีเทาอยู่มากมาย แต่กลับไม่ใช่คนที่นางเห็นเมื่อครู่
เสียงรัวกลองดังขึ้น ดึงดูดสายตาของผู้คน
ด้านขวาของประตูโรงเตี๊ยมเทียนหลง มีเวทีถูกนำมาวาง ชายหนุ่มคิ้วดกตาโตผู้หนึ่งวางกลองในมือ แล้วประสานมือคารวะผู้คนด้านล่างเวที กล่าวเสียงดังกังวานว่า “ข้าน้อยฟู่เจิ้นเทียน ขอคาวระพ่อแม่พี่น้องชาวเมืองหลวงแคว้นติ้งทุกท่าน!” ระหว่างพูด เขาดึงชายหนุ่มที่อายุน้อยกว่าตนเองคนหนึ่งที่ยืนอยู่ข้างเวทีเข้ามา แล้วกล่าวต่อว่า “นี่คือน้องชายของข้าน้อยชื่อว่าฟู่เจิ้นไห่ พวกเราสองพี่น้องเดินทางท่องยุทธภพขายศิลปะ นี่เป็นครั้งแรกที่เดินทางมาถึงแผ่นดินทองคำแห่งนี้ หวังว่าทุกท่านจะเมตตา ให้ค่าอาหารพวกเราสักนิด!”
มีคนตะโกนเสียงดังมาจากด้านล่างเวที “คนขายศิลปะพวกข้าเคยเห็นมามากแล้ว เจ้ามีอะไรแปลกใหม่ที่ทำให้พวกข้ายอมควักเงินได้หรือไม่เล่า!”
ฟู่เจิ้นเทียนยิ้มอย่างมั่นใจ “ถึงแม้พวกเราสองพี่น้องจะไม่ได้เก่งกาจนัก แต่พวกเราก็มั่นใจในการแสดงวันนี้”
เอ่ยจบ เขาก็พลิกข้อมือ ดอกไม้สีแดงสดพลันปรากฏกลางนิ้วมือ ทุกคนตกตะลึง จากนั้นก็เริ่มร้องตะโกนด้วยความตื่นเต้น จากนั้น ฟู่เจิ้นเทียนซ่อนดอกไม้สีแดงไว้กลางฝ่ามือ แสร้งขยับมือขยุกขยิกด้วยสีหน้าจริงจังอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็แบมือ ดอกไม้ในมือหายไป กลับกลายเป็นนกพิราบหลากสีตัวหนึ่งบินออกมาแทน! มันเปล่งเสียงร้องและบินวนอยู่กลางอากาศไม่กี่ครั้ง ก็บินไปเกาะบนไหล่คุณชายชุดขาวคนหนึ่งที่ยืนอยู่นอกวง ทุกคนอุทานด้วยความตื่นตะลึง
ซูหลีเพ่งมอง แล้วก็พลันดีใจ คุณชายชุดขาวคนนั้นก็คือหลางฉ่าง!
ฟู่เจิ้นเทียนเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม “คุณชายท่านนี้รบกวนช่วยขึ้นมาสักครู่ได้หรือไม่?”
หลิงอวิ๋น องครักษ์ของหลางฉ่างที่ยืนอยู่ข้างหลังเขาตวาดเสียงเข้ม “บังอาจ!”
หลางฉ่างยกมือปรามเขา แย้มยิ้มเล็กน้อย แล้วกล่าวว่า “ข้าน้อยยังมีธุระ ท่านหาคนอื่นแทนเถิด”
ฟู่เจิ้นเทียนกล่าวอย่างขอร้อง “นกพิราบตัวนี้ที่ผู้น้อยแซ่ฟู่เลี้ยงไว้ เลือกเพียงคนที่มีวาสนาต่อกัน มันอุตส่าห์ถูกชะตากับท่าน ถือว่าให้เกียรติสักครั้ง รบกวนเวลาท่านไม่นานแน่นอนขอรับ”
หลางฉ่างส่ายหน้ายิ้มๆ เขายกนิ้วมือเรียวดุจหยกขึ้นข้างไหล่ นึกไม่ถึงเจ้านกตัวน้อยเห็น ก็กระโดดเบาๆ ไปเกาะนิ้วมือของเขา เกาะแน่นไม่ยอมปล่อย ดวงตาสีดำคู่เล็กไหวระริกด้วยความฉงนฉงาย เปล่งเสียงร้องเล็กแหลม ราวกับกำลังเอ่ยปากเชื้อเชิญเขาอย่างไรอย่างนั้น
ทุกคนพากันพิศวง ฟู่เจิ้นเทียนอ้อนวอนแล้วอ้อนวอนอีก หลางฉ่างเองก็รู้สึกแปลกใหม่ จึงไม่ปฏิเสธอีก
“ขอบพระคุณคุณชายมาก” ฟู่เจิ้นเทียนดีใจ รอยยิ้มเกลื่อนหน้า รีบกล่าวต่อว่า “คุณชายเพียงต้องนั่งอยู่ตรงนี้ ไม่ต้องทำอะไรอย่างอื่นเลย”
ฟู่เจิ้นไห่ยกเก้าอี้ตัวหนึ่งเข้ามา หลางฉ่างมองเก้าอี้ตัวนั้น ไม่ได้นั่งลงทันที แต่หันไปมองด้านล่างเวทีก่อน จู่ๆ ก็เห็นซูหลียืนอยู่ท่ามกลางกลุ่มคน เขาแย้มยิ้มเล็กน้อย แล้วจึงค่อยนั่งลงตามที่ฟู่เจิ้นเทียนบอก
ฟู่เจิ้นเทียนเอียงหน้ามองฟู่เจิ้นไห่ แล้วพยักหน้าเล็กน้อย เขาจึงล้วงผ้าสีแดงผืนหนึ่งออกมาจากอกเสื้อ สองแขนโบกสะบัด ม่านขนาดใหญ่ถูกกางออกทันใด ก่อนจะค่อยๆ ลอยลงมาปกคลุมหลางฉ่างตั้งแต่หัวจรดเท้า
ฟู่เจิ้นเทียนกวาดตามองด้านล่างเวที จากนั้นก็ก้าวไปยืนด้านหน้าหลางฉ่าง เขาเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วก็ชูมือทั้งสองข้างขึ้นเหนือศีรษะ เสียง ‘บึ้ม’ ดังขึ้นบนเวที ควันสีขาวเข้มพลันกระจายไปทั่ว หัวใจซูหลีพลันจมดิ่ง ฝูงชนกรีดร้องด้วยความตกใจ รีบพากันก้มหน้าก้มตา และยกแขนเสื้อขึ้นปิดจมูก
ครั้นหมอกควันจางหายไปจนสิ้น แล้วเพ่งมองดีๆ บนเวทีก็ไม่เหลือแม้กระทั่งเงาของสองพี่น้องสกุลฟู่ให้เห็นอีกต่อไปแล้ว! หลิงเฟิงกับหลิงอวิ๋นตื่นตกใจ รีบวิ่งขึ้นไปบนเวที กระชากผ้าม่านที่ปกคลุมเก้าอี้ออกทันที เก้าอี้ว่างเปล่าไร้เงาคน หลางฉ่างก็หายตัวไปแล้วเช่นกัน! ทั้งสองโกรธแค้น แต่กลับไม่รู้จะทำเช่นไรดี ผู้คนด้านล่างเวทีต่างปากอ้าตาค้าง ราวกับไม่อยากเชื่อ ว่าคนเป็นๆ ถึงสามคนจะหายไปต่อหน้าต่อตาได้เช่นนี้!
เงียบงันอยู่ครู่หนึ่ง ฝูงชนก็ระเบิดเสียงชื่นชมดังระงมไปทั่วทิศ พวกเขาต่างตื่นตาตื่นใจ พากันล้วงเงินขว้างขึ้นไปบนเวที เสียงเหรียญกระทบพื้นดังเกรียวกราวอย่างต่อเนื่อง
หลิงเฟิงกับหลิงอวิ๋นสับสนแตกตื่น อยากจะตามหาแต่ไม่รู้จะเริ่มจากตรงที่ใด ท่ามกลางความลนลาน หลิงอวิ๋นหมายจะชักดาบออกจากฝัก แต่กลับถูกมือข้างหนึ่งกุมไว้แน่น ได้ยินเพียงเสียงหนึ่งกล่าวกำชับอย่างเคร่งเครียด “อย่าเพิ่งวู่วาม เดี๋ยวผู้คนจะแตกตื่น”
หลิงเฟิงกับหลิงอวิ๋นได้ยินก็ตกใจ รีบรับคำทันที
ซูหลีหมุนกายหันกลับไปกล่าวกับผู้คนด้านล่างเวที “การแสดงมายากลจบลงแล้ว ขอบคุณน้ำใจของทุกท่านยิ่งนัก!”
ทุกคนยังคงไม่หายตื่นตาตื่นใจ แต่ก็ทำได้เพียงทยอยแยกย้ายกันไป
สายลมอ่อนพัดผ่านผ้าโปร่งที่ห้อยอยู่รอบหมวกเหวยเม่า พาเอากลิ่นหอมจางๆ ลอยเข้ามาด้วย ครั้นแยกแยะได้ ซูหลีก็พลันตกตะลึง เป็นกลิ่นของยาสลบ!
นึกย้อนไปถึงเหตุการณ์เมื่อครู่ พี่น้องสกุลฟู่สบตากันเล็กน้อย เห็นชัดว่ากำลังส่งสัญญาณให้กัน ถึงขั้นกล้าลักพาตัวองค์รัชทายาทต่อหน้าธารกำนัล จะต้องไม่ใช่คนธรรมดาอย่างแน่นอน! ไม่รู้ว่าจะเกี่ยวข้องกับสามคนเมื่อกี้ที่ทำตัวลับๆ ล่อๆ หรือไม่ บางที…เรื่องนี้อาจเกี่ยวข้องกับการซุ่มโจมตีหลางฉ่างก่อนหน้านี้ด้วย!
หลิงเฟิงถามด้วยความร้อนใจ “องค์หญิง ตอนนี้ทำอย่างไรดีพ่ะย่ะค่ะ?”
ซูหลีรีบกล่าว “สิ่งที่มายากลใช้คือวิชาอำพรางตาเท่านั้น ใช้ประโยชน์จากสภาพแวดล้อมรอบกาย เพื่อบรรลุเป้าหมายในการทำให้สับสนภายในชั่วพริบตา การทำให้คนสามคนหายตัวไปพร้อมกันได้อย่างราบรื่นในเวลาสั้นๆ ไม่ใช่เรื่องง่าย ที่ซ่อนตัวของพวกเขาต้องอยู่แถวนี้แน่นอน ค้นหาให้ละเอียด จะต้องเจออะไรบ้างแน่ๆ หลิงเฟิง เจ้ารีบกลับไปนำกำลังคนบางส่วนมาโดยเร็ว!”
นางพูดพลางกวาดตามองหารอบๆ ไม่ยอมปล่อยให้เล็ดลอดไปได้แม้แต่รายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ
หลิงเฟิงท่าทางขึงขัง รีบรับคำแล้วจากไปทันที
เวทีนี้เป็นทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า สูงสองฉื่อ ความกว้างจากด้านหน้าไปด้านหลังประมาณสิบกว่าฉื่อ นอกจากโรงเตี๊ยมเทียนหลงที่อยู่ข้างหลัง ทั้งสามด้านล้วนเป็นถนนอิฐ ชาวบ้านที่มายืนมุงดูมีประมาณหลายสิบคน ถ้าหากเลือกที่จะหนีไปทางสามฝั่งนั้น เป็นเรื่องง่ายต่อการถูกจับได้
เส้นทางที่สะดวกและเป็นไปได้มากที่สุด ก็คือใช้ประโยชน์จากพื้นเวทีในการสร้างกลไกขึ้นมา!
ซูหลีพลันบังเกิดความคิด รีบย่อกายลงไปตรวจสอบร่องไม้บนพื้นเวทีทันที นางดึงดาบจากเอวของหลิงอวิ๋นไปงัดไม้บนพื้นเวทีออก ครั้นชะโงกหน้าเข้าไป ด้านล่างเวทีว่างเปล่า นอกจากเวทีไม้ก็มีแต่ก้อนอิฐ ไม่มีอะไรผิดปกติ
หลิงอวิ๋นตกตะลึง เอ่ยเสียงลอดไรฟันอย่างเคียดแค้น “หรือบินขึ้นฟ้าไปแล้วจริงๆ?”
ยามนี้ หลิงเฟิงพาทหารรักษาเมืองกลุ่มหนึ่งเร่งรุดมาด้วยความเร็ว
ซูหลีหันหลัง จ้องมองบานหน้าต่างไม้แกะสลักสิบกว่าบานของโรงเตี๊ยมเทียนหลงที่หันหน้าเข้าหาถนน บ้างก็เปิดแง้มไว้ บ้างก็ปิดสนิท สายตานางขรึมลงหลายส่วน กล่าวเสียงเข้มว่า “เข้าไปในโรงเตี๊ยม ค้นหาทุกซอกทุกมุม พยายามอย่าทำให้ชาวบ้านตื่นกลัว”
หลิงเฟิงกับหลิงอวิ๋นรีบรับคำสั่ง แล้วพาทหารเข้าไปในโรงเตี๊ยม ยามนี้แขกที่กำลังกินข้าวอยู่ในห้องโถงชั้นหนึ่งมีเพียงไม่กี่โต๊ะเท่านั้น เถ้าแก่ไม่รู้สถานการณ์ จึงเดินเข้ามารับหน้าอย่างระมัดระวัง แต่กลับได้รับแจ้งว่าเป็นการตรวจตราตามปกติ หลังจากสอบถามเล็กน้อย ก็รู้ว่าโรงเตี๊ยมไม่มีประตูหลัง มีเพียงต้องเดินเข้าออกผ่านประตูใหญ่เท่านั้น เนื่องจากอยู่ในช่วงงานชุมนุมไป่จี๋ แม้โรงเตี๊ยมเทียนหลงจะมีแขกมากมาย แต่เวลานี้แขกส่วนมากล้วนออกไปข้างนอก ในห้องไม่มีคนอยู่
ซูหลีสั่งให้เถ้าแก่นำสมุดลงชื่อเข้าพักของโรงเตี๊ยมมาให้ ก็ไม่พบชื่อของสองพี่น้องสกุลฟู่ นางสั่งให้ทหารสองนายยืนเฝ้าอยู่หน้าประตู หากมีอะไรผิดสังเกตให้รีบรายงานทันที หลิงเฟิงกับหลิงอวิ๋นรีบขึ้นไปชั้นบน แยกย้ายกันตามหา พวกเขาค้นหาห้องพักทั้งสามชั้นอย่างละเอียด ผ่านไปไม่ถึงครึ่งเค่อ ก็วิ่งลงมาอย่างเร่งรีบ
ใบหน้าทั้งสองเต็มไปด้วยความกังวล เดินมาตรงหน้าซูหลี แล้วได้แต่ส่ายหน้า เห็นได้ชัดว่าไม่พบเบาะแสอะไรเลย
ซูหลีอดขมวดคิ้วไม่ได้ ตามหลักแล้ว สถานที่รอบเวทีที่สามารถใช้ประโยชน์ในการซ่อนตัวได้มากที่สุด ก็มีเพียงโรงเตี๊ยมแห่งนี้เท่านั้น นอกจากที่นี่ ในเวลาสั้นๆ เพียงเท่านี้ พวกเขาจะไปซ่อนตัวที่ไหนได้อีก?
เสียงฝีเท้าเร่งรีบดังมาจากทางบันได ชายอายุประมาณสี่สิบคนหนึ่งวิ่งลงมาจากชั้นบน แบกชายชราคนหนึ่งที่หลับตาแน่น และมีใบหน้าซีดขาวเหมือนกระดาษลงมาด้วย ด้านหลังมีสตรีตัวสูงอายุประมาณสิบกว่าปีตามลงมา ใบหน้าเต็มไปด้วยความกังวล
ชายหนุ่มคนนั้นฉีกยิ้ม แล้วกล่าวว่า “นายท่านทั้งหลาย รบกวนหลีกทางด้วย ท่านพ่อของข้าไม่สบาย ต้องรีบพาไปหาหมอ”
ทุกคนถอยหลังเปิดทาง ชายหญิงคู่นั้นเดินฝ่าห้องโถงออกไปอย่างเร่งรีบ คิ้วของชายชราที่คล้ายหมดสติอยู่บนแผ่นหลังขยับเล็กน้อย ซูหลีพลันสะดุดใจ เอ่ยถามเสียงเบา “ชั้นบนมีห้องใดเข้าพักสามคนบ้าง?”
หลิงเฟิงกล่าว “เหมือนจะมีห้องเดียวพ่ะย่ะค่ะ”
ซูหลีตกตะลึง ตะโกนเสียงดังทันที “ทั้งสามท่านช้าก่อน!”
ชายคนนั้นตัวเกร็งขึ้นมาทันที เมื่อหันกลับมาเห็นสตรีชุดขาวสวมหมวกเหวยเม่านางหนึ่งสาวเท้าเข้ามาเร็วๆ ก็ยิ้มแล้วถามอย่างระมัดระวัง “แม่นางมีอะไรหรือ?”
ซูหลีแย้มยิ้มอ่อนโยน กล่าวอย่างห่วงใย “ผู้อาวุโสท่านนี้ไม่สบายตรงที่ใด? ข้าน้อยรู้วิชาแพทย์อยู่บ้าง พอจะดูอาการให้เขาก่อนได้”
ชายคนนั้นทั้งกลัวทั้งเกรง รีบกล่าวขอบคุณ “ขอบคุณน้ำใจของแม่นางยิ่งนัก พวกข้ามีหมอที่รู้จักอยู่ในเมือง อยู่ห่างจากนี่ไม่ไกลมาก ไม่รบกวนแม่นางแล้ว”
“ไม่เป็นไร จรรยาบรรณแพทย์ หากพานพบก็ถือว่ามีวาสนาต่อกัน” ซูหลีกล่าว แล้วยื่นมือไปตรวจชีพจรชายชราทันที แต่กลับถูกสตรีร่างสูงรั้งมือไว้อย่างหยาบคาย
“เอ๊ะ เจ้านี่อย่างไร พี่ชายข้าบอกว่าไม่จำเป็นอย่างไรเล่า” สตรีร่างสูงทำหน้าไม่พอใจ ท่าทางหงุดหงิดงุ่นง่าน น้ำเสียงของนางแหบเล็กน้อย เหมือนจงใจดัดเสียงให้ต่ำลง
สายตาของซูหลีแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชา มือข้างที่รั้งมือนางไว้ ผิวขาวเนียนเรียวยาว แต่ข้อนิ้วกลับหนาและใหญ่ เห็นได้ชัดว่านี่ไม่ใช่มือของผู้หญิง ครั้นเห็นชายคนนั้นทำท่าจะก้าวเท้าออกจากประตู ซูหลีหมายจะห้ามปราม ทว่าทันใดนั้น ชายชราที่อยู่บนแผ่นหลังเขากลับขยับข้อมือ หยกห้อยเอวชิ้นหนึ่งร่วงหล่นลงมา ซูหลีเห็นชัดเต็มสองตา นางสะบัดแขนเสื้อ ตวัดเอาหยกชิ้นนั้นมาไว้ในมือ กลับเป็นหยกห้อยเอวมังกรผานหลงของหลางฉ่าง!
………………………………………