กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - บทที่ 14 พบกันที่ทะเลสาบกระจก (1)
ดวงตะวันคล้อยต่ำไปทางทิศตะวันตก แสงอัสดงแผ่ปกคลุมผืนดินในชั่วพริบตา
ยามแสงไฟในวังสว่างขึ้นทีละดวงๆ ในที่สุดหลางฉ่างก็ฟื้นขึ้นมา ซูหลีที่นั่งเฝ้าอยู่ข้างเตียงร้องเรียกด้วยความดีใจ “เสด็จพี่!” ครั้นเห็นเขาจะลุกขึ้น นางก็รีบเข้าไปประคองเขานั่ง แล้วหยิบเบาะนุ่มที่วางอยู่ด้านข้างมารองหลังให้เขาอย่างระมัดระวัง
ขันทีประจำกายของหลางฉ่างรีบนำชาร้อนมาถวายอย่างรวดเร็ว หลางฉ่างจิบคำหนึ่ง ลำคออันแห้งผากก็พลันรู้สึกดีขึ้นมาก ครั้นเห็นซูหลีทอดมองมาด้วยใบหน้ากังวลระคนเหนื่อยล้า เขาก็ถอนหายใจเบาๆ กล่าวว่า “เจ้าเฝ้าอยู่ที่นี่ตลอดเลยหรือ?”
ซูหลีเอ่ยพลางถอนหายใจ “หม่อมฉันตกใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้มากจริงๆ หากไม่เห็นเสด็จพี่ฟื้นขึ้นมาด้วยตาตนเอง ฉางเล่อไม่อาจวางใจได้ เสด็จพี่รู้สึกไม่สบายตรงไหนหรือไม่เพคะ?”
หลางฉ่างส่ายหน้าเบาๆ เหลือบมองหัวไหล่ที่บาดเจ็บเล็กน้อย “ข้าไม่เป็นไร แค่แผลถลอกเล็กน้อย พักสักหน่อยก็หายแล้ว ฉางเล่อ…เสด็จพ่อกับเสด็จแม่…”
ซูหลีรีบกล่าว “เสด็จพี่วางใจเถิด หม่อมฉันรู้ว่าเสด็จพี่เป็นห่วงสุขภาพของเสด็จพ่อ จึงได้กำชับเป็นพิเศษ ให้พวกเขาปิดปากให้สนิท ยังไม่ต้องกราบทูลเรื่องนี้ แต่เกรงว่าจะปิดได้ไม่นาน ช้าเร็วอย่างไรเสด็จพ่อกับเสด็จแม่ก็ต้องทรงทราบ”
หลางฉ่างคลายใจ พยักหน้าเบาๆ กล่าวว่า “ข้าจะหาโอกาสอธิบายให้พวกท่านกระจ่างโดยเร็วที่สุด สืบพบหรือไม่ว่าผู้ใดเป็นคนบงการ?”
ครั้นพูดถึงเรื่องนี้ สายตาของซูหลีก็ปรากฏแววกังวลหลายส่วน “ยังเพคะ พวกเขาสองคนถูกวางยาพิษแต่แรก เพราะทำภารกิจไม่ทันเวลาพิษในกายจึงกำเริบจนตาย หม่อมฉันสั่งให้คนไปตรวจสอบบันทึกคนเข้าเมืองมาแล้ว ในนั้นบักทึกไว้ว่าพวกเขามาจากแคว้นเฉิง ยังชีพด้วยการขายศิลปะมายากลมาโดยตลอด ฟังจากที่ฟู่เจิ้นเทียนพูด ผู้บงการเบื้องหลังน่าจะอาศัยจุดเด่นนี้ของพวกเขาเพื่อวางแผน ส่วนคนผู้นี้เป็นใครตอนนี้ก็ยังไม่รู้ ตอนนี้มีเพียงเบาะแสเดียวเท่านั้น…”
สายตาหลางฉ่างไหวระริก เขาถามอย่างใจเย็น “เบาะแสอะไร?”
ซูหลีกล่าวว่า “จากที่ฟู่เจิ้นเทียนบอก ผู้บงการมีสำเนียงของชาวเฉิง…ตอนที่เสด็จพี่ถูกสองคนนั้นลักพาตัวไป จำอะไรได้บ้างหรือไม่เพคะ?”
หลางฉ่างย้อนนึกอย่างละเอียด “ยามนั้นพอหมอกควันลอยคลุ้ง ข้ารู้ตัวว่าผิดปกติ จึงรีบกลั้นหายใจ แต่ก็ยังช้าไป ยาสลบนั่นฤทธิ์ร้ายแรงมาก ข้าทำได้เพียงพยายามครองสติตนเองเอาไว้ให้ได้มากที่สุด แต่มือกลับไม่มีเรี่ยวแรงเลยแม้แต่น้อย ต่อมาสองคนนั้นแปลงโฉมข้า แล้วแบกข้าออกไป ข้าไม่มีแรงขัดขืน ทำได้เพียงแอบกำหยกห้อยเอวไว้ในมือ แล้วหาโอกาส” เขาหยุดพูดไปครู่หนึ่ง แล้วหันไปมองซูหลี นัยน์ตากระจ่างใสแฝงไว้ด้วยรอยยิ้ม “ข้ารู้ว่าฉางเล่อจะต้องมาหาข้าแน่นนอน!”
พวกเขาเพิ่งกลับมาเป็นครอบครัวกันได้เพียงไม่กี่สิบวัน แต่เขากลับเชื่อใจนางถึงเพียงนี้ บางครั้งสายสัมพันธ์ทางสายเลือดก็ประหลาดเช่นนี้
ซูหลีตื้นตันใจ ลึกๆ ในใจกลับยังคงหวาดกลัว “หม่อมฉันสำรวจสภาพแวดล้อมโดยรอบแล้ว มีเพียงโรงเตี๊ยมแห่งนั้นที่ใช้ซ่อนตัวได้ ฉะนั้นจึงได้สั่งให้คนล้อมโรงเตี๊ยมไว้ แล้วค้นหาอย่างละเอียด หากเสด็จพี่ไม่ส่งสัญญาณเตือน ก็เกือบพลาดโอกาสทองไปแล้ว เพียงแต่ตอนที่เสด็จพี่ตัดสินใจแทงกริชใส่เขาโดยไม่คิดชีวิต เป็นการกระทำที่อันตรายเกินไปจริงๆ!”
หลางฉ่างกลับยิ้ม แล้วกล่าวว่า “หากข้าไม่แทง ก็คงต้องกลายเป็นวิญญาณภายใต้ฝ่ามือเขาไปแล้ว ข้าเป็นถึงองค์รัชทายาทแคว้นติ้ง จะตายด้วยน้ำมือคนชั่วตัวเล็กๆ ได้อย่างไรกัน?!”
เพียงไม่กี่เดือน เขาก็ผ่านเหตุการณ์เฉียดตายมาแล้วสองครั้ง แต่เขากลับยังคงมีรอยยิ้มอ่อนโยนอยู่เสมอ ซูหลีกล่าวอย่างเป็นห่วง “ก่อนหน้านี้เสด็จพี่ถูกซุ่มโจมตีที่เขตชายแดนแคว้นเปี้ยน ยังหาตัวคนร้ายไม่ได้ ยามนี้กลับมาถึงเมืองหลวงแคว้นติ้ง กลับมีคนลอบทำร้ายเสด็จพี่ซึ่งๆ หน้าเช่นนี้…ฉางเล่อเพียงเกรงว่าสองเหตุการณ์นี้จะเกี่ยวข้องกัน” กอปรกับบทสนทนาของสามคนนั้นที่นางได้ยินข้างหอน้ำชาวันนี้ ยิ่งทำให้ซูหลีไม่สบายใจ ราวกับท่ามกลางความมืดมิด มีมือที่มองไม่เห็นกำลังควบคุมทุกสิ่ง และอาจทำลายความสงบสุขในเมืองหลวงแคว้นติ้งได้ทุกเมื่อ
หลางฉ่างกล่าวพลางครุ่นคิด “อาจไม่ใช่ก็ได้ ตอนนั้นที่ถูกโจมตีที่เขตชายแดน คนพวกนั้นล้วนมีวรยุทธ์สูงส่ง มีฝีมือกว่าคนร้ายในวันนี้มาก ท่ามกลางความโกลาหลข้าเห็นข้อมือของผู้นำของคนพวกนั้นมีรอยสักรูปปลาอยู่ เพียงแต่ยังสืบไม่เจอว่ามีความหมายแฝงใดซ่อนอยู่”
ซูหลีทวนด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ “รอยสักรูปปลา? มีอะไรโดดเด่นหรือไม่?”
หลางฉ่างส่ายหน้าอย่างผิดหวัง “ไม่มีอะไรโดดเด่นเป็นพิเศษเลย ฉะนั้นจึงไม่รู้ว่าควรเริ่มสืบจากที่ใดดี”
ซูหลีกุมมือหลางฉ่างแน่น “ต่อไปหากเสด็จพี่จะออกไปไหน จะต้องระวังตัวให้มากนะเพคะ! ฉางเล่อไม่อยากให้เกิดอะไรขึ้นกับเสด็จพี่!”
หัวใจของหลางฉ่างสั่นไหวเล็กน้อย กุมมือนางแน่นขึ้นโดยไม่รู้ตัว แล้วกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “ฉางเล่อวางใจ ต่อไปพี่จะต้องเพิ่มความระวังตัวแน่นอน แล้วก็จะสั่งคนให้ตรวจสอบว่าใช่ผู้บงการคนเดียวกันหรือไม่ ครั้งนี้พวกเขาทำพลาด จะต้องไม่ยอมรามือแน่นอน ต่อไปหากฉางเล่อจะไปไหน ก็ต้องระวังตัวให้มากด้วยเช่นกัน!”
ซูหลีพยักหน้า ไม่อยากให้บรรยากาศตึงเครียดเกินไป นางจึงยิ้มแล้วเอ่ยว่า “วันนี้เสด็จพี่กล้าหาญมาก ฉางเล่อเลื่อมใสยิ่งนัก”
หลางฉ่างเองก็ยิ้มแล้วกล่าวว่า “รู้ว่ามีฉางเล่ออยู่ ชีวิตพี่จะต้องปลอดภัยอย่างแน่นอน”
ซูหลีกลับบอกว่า “ทว่าคนที่ช่วยชีวิตเสด็จพี่กลับมิใช่ฉางเล่อ แต่เป็นผู้อื่น!”
หลางฉ่างประหลาดใจ “อ้อ? ผู้ใดหรือ?”
ซูหลีเอ่ยพลางแย้มยิ้มเล็กน้อย “ใช้ธนูสั้นสองชุ่นยิงทะลุสมองฟู่เจิ้นเทียนโดยอาศัยกำลังภายใน ในยุคนี้ คนที่มีวรยุทธ์เช่นนี้ ยังมีผู้ใดอีกเล่า?” ครั้นนึกถึงเงาร่างที่จู่ๆ ก็มาปรากฏตรงประตูโรงเตี๊ยม ในใจของนางรู้สึกหวานล้ำ แววตาอ่อนโยนขึ้นหลายส่วนโดยไม่รู้ตัว
หลางฉ่างตะลึงงันเล็กน้อย คนที่สามารถทำให้นางกล่าวถึงด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนถึงเพียงนี้ได้ เกรงว่าใต้ฟ้านี้จะมีเพียงคนเดียวเท่านั้น เขาอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจแล้วกล่าวว่า “นึกไม่ถึงว่าจะเป็นฮ่องเต้แคว้นเฉิง”
ซูหลีแย้มยิ้ม “ใช่แล้วเพคะ เขาเพิ่งเดินทางมาถึงเมืองหลวงแคว้นติ้ง ก็บังเอิญเห็นท่านถูกลักพาตัวพอดี”
หลางฉ่างกล่าวอย่างครุ่นคิด “ในเมื่อฮ่องเต้แคว้นเฉิงยื่นมือช่วยเหลือ ข้าก็ควรไปขอบคุณเขาจึงจะถูก เฟิงซุ่น ช่วยข้าเปลี่ยนเสื้อผ้าที” เอ่ยจบก็ทำท่าจะลุกขึ้น
เฟิงซุ่นรีบเดินเข้ามาปรนนิบัติเขา ซูหลีเกลี้ยกล่อม “เสด็จพี่ไม่ได้นะเพคะ! ท่านเพิ่งฟื้น อีกทั้งยังบาดเจ็บอยู่ ไม่ควรออกไปไหนนะเพคะ รอให้ร่างกายหายดีก่อน แล้วค่อยจัดงานเลี้ยงเชิญเขาเข้าวังมาก็ยังไม่สาย”
หลางฉ่างใคร่ครวญครู่หนึ่ง แล้วจึงเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม “ก็ดี เอาตามที่ฉางเล่อว่าก็แล้วกัน วันหลังจัดงานเลี้ยง ข้าจะไปเชิญเขาด้วยตนเอง หลายวันนี้ หากเจ้าพบเขา ก็ฝากเจ้าขอบคุณเขาที่ช่วยชีวิตพี่ก่อนก็แล้วกัน”
ซูหลีรับคำ ประคองหลางฉ่างให้เอนกายนอนลงบนเตียงอีกครั้ง ห่มผ้าให้เขาอย่างใส่ใจ แล้วจึงค่อยเอ่ยว่า “เช่นนั้นเสด็จพี่พักผ่อนเถิด ฉางเล่อขอตัวก่อนนะเพคะ”
หลางฉ่างพยักหน้า มองดูเงาร่างของนางหายลับไปนอกประตู รอยยิ้มในดวงตาของเขาก็ค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นเศร้าโศกระคนอาลัย ตงฟางเจ๋อเดินทางมาเมืองหลวงแคว้นติ้งในครั้งนี้ เกรงว่าจะต้องมาเพราะเรื่องฉางเล่ออย่างแน่นอน เขากับฉางเล่อเพิ่งได้อยู่ด้วยกันพร้อมหน้า ก็ต้องแยกจากกันแล้ว ทางเสด็จพ่อก็ไม่รู้ควรเกลี้ยกล่อมเช่นไรดี จึงจะไม่โศกเศร้าจนเกินไป…เขาพะวงหน้าพะวงหลัง พลิกตัวไปมาอยู่ค่อนคืน ก่อนจะหลับไปอย่างสะลึมสะลือตอนเที่ยงคืน
ยามเดินทางมาถึงทะเลสาบจิ้งพัว ท้องฟ้าก็มืดมิดไปทั้งผืนแล้ว ซูหลีลงจากรถม้า กำชับให้นางกำนัลและผู้ติดตามรออยู่ตรงนี้
เซิ่งฉินที่เฝ้ารออยู่นานรีบเดินเข้ามารับนาง จากนั้นก็เดินนำทางนางไปยังสวนที่อยู่ด้านหนึ่งของทะเลสาบจิ้งพัว ที่นี่เป็นสวนที่มีรูปแบบคล้ายเรือนสี่ประสานที่มีลานบ้านสามชั้น เซิ่งฉินกลับไม่เดินเข้ามาในสวน เพียงบอกให้ซูหลีเดินลัดสวนดอกไม้ไป ตลอดเส้นทางมองเห็นเงาตะคุ่มเรียงราย ดอกไม้อุดมสมบูรณ์ ส่งกลิ่นหอมรัญจวนใจ นางเดินมาเรื่อยๆ จนถึงริมทะเลสาบ แล้วก้าวเท้าขึ้นไปบนเรือแจวลำเล็กที่จอดไว้ริมฝั่งน้ำ
ซูหลีเพิ่งค้นพบว่า กลางสวนมีน้ำทะเลสาบไหลเข้ามาเป็นวงกว้าง ยามนี้ดวงจันทร์ซ่อนเร้นอยู่ด้านหลังชั้นเมฆ รอบข้างมืดมิด ครั้นเลี้ยวพ้นโค้งแห่งหนึ่ง แล้วทอดมองไปจนสุดสายตา ก็เห็นเรือชมทิวทัศน์ลำหนึ่งลอยอยู่เหนือผิวทะเลสาบอย่างมั่นคง ดุจดั่งหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับความเงียบสงบของท้องฟ้าและผืนดิน
ครั้นก้าวขึ้นเรือไป ซูหลีอาศัยแสงสลัว เดินตรงขึ้นไปยังชั้นสอง ภายในเรือมีแสงเทียนสีเหลืองอ่อนส่องออกมา เงาร่างด้านข้างของบุรุษที่ดูคุ้นตาสะท้อนอยู่บนบานหน้าต่างอย่างชัดเจน หัวใจของนางสั่นไหวเล็กน้อยอย่างไม่อาจควบคุม
………………………………………