กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - บทที่ 15 พบกันที่ทะเลสาบกระจก (2)
เอื้อมมือดันประตูเรือเบาๆ ด้านหลังโต๊ะมีบุรุษหนุ่มรูปงามไร้ที่เปรียบผู้หนึ่งนั่งอยู่ นัยน์ตาหลุบต่ำเล็กน้อย ใบหน้าหล่อเหลาเย็นชาดังเทพเซียน คล้ายกำลังใช้ความคิด ครั้นได้ยินเสียง ก็เงยหน้าขึ้นมอง เห็นใบหน้าของคนที่คะนึงหาทุกคืน สีหน้าแข็งกร้าวบนใบหน้าหล่อเหลาก็พลันแปรเปลี่ยนเป็นอ่อนโยนทันที
ตงฟางเจ๋อลุกขึ้นต้อนรับ รั้งตัวนางเข้ามากอดอย่างเป็นธรรมชาติ นิ้วมือที่สอดประสานกันยังคงอ่อนโยน และเต็มไปด้วยความอบอุ่น ความรู้สึกใกล้ชิด ยังคงเป็นเหมือนทุกครั้งที่พบหน้ากัน ทำให้หัวใจนางสั่นไหว ตงฟางเจ๋อจูงมือนางไปนั่งลงบนตั่ง แล้วจึงค่อยเอ่ยปากว่า “องค์รัชทายาทไม่เป็นไรแล้วหรือ?”
ซูหลีรับคำเสียงเบา แย้มยิ้มแล้วกล่าวว่า “ฝ่ามือนั้นแม้รุนแรง แต่เพราะโจมตีพลาดเป้า เสด็จพี่จึงบาดเจ็บแค่เพียงภายนอกเล็กน้อย พักผ่อนไม่กี่วันก็หาย โชคดีที่ท่านช่วยได้ทันเวลา…”
ตงฟางเจ๋อรั้งนางเข้าไปกอด ยิ้มแล้วเอ่ยเสียงเบา “แค่เรื่องเล็กน้อย ด้วยวรยุทธ์ของซูซูในยามนี้ มีหรือจะช่วยองค์รัชทายาทไม่ได้?”
ซูหลีพิจารณาสีหน้าเขาอย่างละเอียด นางครุ่นคิดแล้วกล่าวว่า “ธนูสั้นที่ท่านใช้ยิงฟู่เจิ้นเทียน ได้มาจากที่ใดหรือ?”
ตงฟางเจ๋อหยิบของบางสิ่งออกจากแขนเสื้อ แล้ววางลงกลางฝ่ามือนาง “สิ่งนี้น่ะหรือ?”
ซูหลีเพ่งมอง เป็นธนูสั้นดอกเดียวกับเมื่อตอนกลางวัน สิ่งของที่เหมือนของเล่นเด็กชิ้นเล็กๆ เหตุใดตงฟางเจ๋อจึงดูสนใจถึงเพียงนี้?
เห็นนางพินิจอย่างละเอียด ตงฟางเจ๋อจึงเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม “ซูซูรู้จักสิ่งนี้หรือ?”
ซูหลีถอนหายใจเบาๆ แล้วตอบว่า “ตอนที่ข้าเพิ่งเดินทางมาถึงเมืองหลวงแคว้นติ้ง เคยเห็นชายหนุ่มผู้หนึ่งขายของสิ่งนี้ มันเป็นเพียงของเล่นชิ้นเล็กๆ แต่ท่านกลับนำมาฆ่าคน”
ตงฟางเจ๋อแค่นเสียง “โจรโง่เขลา แม้ตายก็ยังไม่สาสม!”
ซูหลีพลิกธนูสั้นในมือกลับไปกลับมาอย่างพิจารณา พลางถามคล้ายไม่ใส่ใจ “ท่านไปเดินตลาด ซื้อสิ่งนี้มาเพียงอย่างเดียวหรือ?”
ตงฟางเจ๋อหยิบธนูสั้นกลับไป นัยน์ตาเคร่งขรึม “ของสิ่งนี้ข้าไม่ได้อยากซื้อนัก เพียงแต่…”
ซูหลียิ้มพลางกล่าวว่า “เพียงแต่คนขายผู้นั้น ทำให้ท่านรู้สึกสนใจ?”
ตงฟางเจ๋อถอนหายใจ ยกมือลูบปอยผมนางเบาๆ สายตาจดจ้องมองนาง ซูหลีพลันรู้สึกขัดเขิน นางยิ้มแล้วถามว่า “ท่านมองอะไร หน้าข้ามีอะไรเขียนไว้หรือไร?”
ตงฟางเจ๋อลุกขึ้นยืน ทอดมองดวงจันทร์นอกหน้าต่าง แล้วกล่าวเสียงราบเรียบ “คนขายของ ใจไม่อยู่กับสินค้า แต่ไปอยู่กับคน”
ซูหลีกล่าว “จะว่าไปแล้ว คนคนนี้ท่าทางประหลาดอยู่จริงๆ”
สายตาของตงฟางเจ๋อไหวระริก เขาถาม “ทำไมหรือ?”
ซูหลีครุ่นคิด แล้วเอ่ยว่า “คนผู้นี้แปลงโฉมเปลี่ยนรูปลักษณ์ แฝงตัวเข้ามาในตลาด เหมือนกำลังตามหาอะไรบางอย่าง หรือรอคอยอะไรบางอย่าง ไม่เหมือนพ่อค้าทั่วไป”
ใบหน้าตงฟางเจ๋อเคร่งขรึม แค่นเสียงแล้วกล่าวว่า “ถ้าอย่างนั้น ก็ต้องเป็นเขาแน่นอน!”
ซูหลีเบิกตากว้างด้วยความประหลาดใจ“ท่านรู้ว่าเขาคือใคร?”
ตงฟางเจ๋อกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ถึงแม้ไม่เคยเห็นใบหน้าที่แท้จริงของเขา แต่ข้ามั่นใจ คนผู้นี้เกี่ยวข้องกับคนที่ข้าตามหามานานแล้ว”
ซูหลีถามด้วยความสงสัย “ใครกันหรือ?”
ตงฟางเจ๋อเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวว่า “ซูซูยังจำตอนที่เจ้าเข้าไปซ่อนตัวในโลงศพได้หรือไม่?” เขาหันหน้ามาทางซูหลี สีหน้าหนักใจหลายส่วน สายตากลับไม่มีแววหยั่งเชิงหรือเคลือบแคลงสงสัยอีกต่อไป
คลื่นลมที่เกิดขึ้นหลังจากเรื่องครั้งนั้น เคยเป็นหนึ่งในปมที่ทำให้ความเชื่อใจระหว่างเขากับนางแหลกสลายมาแล้ว ยามนี้ครั้นได้ยินเขาเอ่ยถึงเรื่องในอดีต หัวใจของซูหลีพลันกระตุกสั่น นางก้มหน้า แล้วถอนหายใจ “จำได้ คนที่ท่านกำลังตามหาเกี่ยวข้องกับเรื่องนั้นหรือ?”
“เรื่องนี้พูดแล้วยาว” ตงฟางเจ๋อก้าวเดินแช่มช้า ราวกับจมดิ่งสู่ห้วงความทรงจำ เขากล่าวเสียงขรึมว่า “แคว้นเฉิงเรานับจากก่อตั้งแคว้นมา ถึงแม้กำลังทหารแข็งแกร่งกว่าแคว้นอื่นมาก แต่ฮ่องเต้พระองค์ก่อนรู้ดีว่าการพายเรือทวนน้ำหากไม่ก้าวหน้าก็ถอยหลัง ฉะนั้นเขาจึงส่งคนออกไปตามหาสำนักหนึ่งที่มีชื่อเสียงเลื่องลือในยุทธภพ ซึ่งก็คือสำนักกระบี่เหล็ก สำนักกระบี่เหล็กชำนาญการสร้างอาวุธขึ้นชื่อแห่งยุคสมัย กระบี่ประกายแสงของข้า ก็มาจากสำนักนี้” พูดไป เขาก็เลื่อนมือไปจับกระบี่อันดับหนึ่งที่ซ่อนเร้นอยู่ตรงเอวเขา
สำนักที่สามารถสร้างกระบี่ประกายแสงซึ่งเป็นอันดับหนึ่งแห่งยุคสมัย เกรงว่าคงจะไม่ธรรมดาจริงๆ หัวใจของซูหลีสั่นไหว จู่ๆ ความคิดหนึ่งก็ผุดขึ้นมา กระบี่สั้นสีดำที่นางถูกใจในวันนั้น ก็มาจากสำนักกระบี่เหล็กด้วยหรือไม่?
“ยามนั้นสำนักกระบี่เหล็กสร้างอาวุธลับชนิดใหม่ขึ้นมา อานุภาพทรงพลังมาก ฮ่องเต้พระองค์ก่อนยินดียิ่ง รีบสั่งให้นำอาวุธนั้นมาปรับแต่งให้ดียิ่งขึ้น สุดท้ายก็กลายเป็นอาวุธวิเศษนามว่า ‘พิรุณโปรยปราย’ หน้าไม้ชนิดนี้สามารถยิงทีเดียวได้ถึงสิบดอก ทหารหนึ่งนายสู้กับศัตรูสิบคน สามารถยกระดับประสิทธิภาพการรบได้อย่างมหาศาล!”
ยามที่แคว้นเฉิงและแคว้นเปี้ยนเจรจาสงบศึกล้มเหลว ซูหลีเคยเห็นอานุภาพของพิรุณโปรยปรายด้วยตาตนเอง เพียงทหารสิบกว่าคน ก็สามารถทำให้ทหารแคว้นเปี้ยนนับร้อยแตกพ่ายได้ในพริบตา จนตอนนี้นางยังจำได้อย่างชัดเจน แคว้นเฉิงได้อาวุธวิเศษนี้ไปครอง ไม่ต่างจากพยัคฆ์ติดปีกเลย!
ตงฟางเจ๋อกล่าวเสียงขรึมอีกว่า “เดิมทีทุกอย่างล้วนราบรื่น แต่นึกไม่ถึงว่าตอนที่พิรุณโปรยปรายเสร็จแล้ว จู่ๆ กลับเกิดเหตุไม่คาดฝัน”
ซูหลีคล้ายคาดเดาได้รางๆ น้ำเสียงของนางเบาลงอย่างไม่รู้ตัว “ภาพและวัสดุเหล็กในถุงผ้าต่วนใบนั้นหรือ?”
“ถูกต้องแล้ว” ตงฟางเจ๋อกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักใจ “พิรุณโปรยปรายเป็นอาวุธลับของแคว้นเฉิงเรา ฮ่องเต้พระองค์ก่อนรู้ว่าภาพวาดและวัสดุเหล็กถูกเปิดเผยสู่ภายนอก จึงพิโรธ สั่งให้ข้าตามสืบเรื่องนี้ คนที่สามารถเข้าถึงภาพวาดได้มีอยู่ไม่กี่คน ข้าตรวจสอบอย่างละเอียด จนรู้ในที่สุดว่าเป็นฝีมือของใคร”
ซูหลีพลันตื่นตัวไปด้วย นางถามโดยสัญชาตญาณ “ใครหรือ?”
“เซี่ยหมิงหยาง ผู้ออกแบบพิรุณโปรยปราย!” ตงฟางเจ๋อกล่าวชื่อของคนผู้นั้นออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา
ซูหลีไม่ค่อยเข้าใจนัก เซี่ยหมิงหยางมีพรสวรรค์ที่น่าทึ่ง ตามหลักแล้วเขาสามารถสร้างพิรุณโปรยปรายได้สำเร็จ ได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้ เส้นทางในอนาคตย่อมราบรื่น เหตุใดจึงต้องทำลายอนาคตตนเองเช่นนี้ด้วยเล่า?
ตงฟางเจ๋อคล้ายอ่านคำถามในใจนางออก จึงถอนหายใจ แล้วกล่าวว่า “เซี่ยหมิงหยางผู้นี้ ไม่เพียงชำนาญการสร้างอาวุธลับ แต่ยังมีความคิดรอบคอบ เขาเคยพบฮ่องเต้พระองค์ก่อนแค่เพียงครั้งเดียว ก็รู้นิสัยใจคอของฮ่องเต้พระองค์ก่อนแล้ว เขากลัวว่าหากสร้างพิรุณโปรยปรายสำเร็จแล้วจะเกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้น ฉะนั้นจึงคิดแผนสำรองให้ตนเองไว้ก่อน”
ด้วยนิสัยขี้ระแวงของตงฟางทั่ว นางไม่แปลกใจเลยหากเขาจะทำเรื่องเช่นการสังหารคนปิดปาก ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ไม่แปลกที่เซี่ยหมิงหยางจะยอมเสี่ยงต่อการทรยศบ้านเมืองเพื่อเอาชีวิตรอด
“ถึงแม้แผนการของเซี่ยหมิงหยางจะรอบคอบ แต่กลับขาดประสบการณ์ ครั้นแผนการรั่วไหล ฮ่องเต้พระองค์ก่อนรู้เรื่อง ก็รีบสั่งให้ข้าไปสังหารเขาทันที สำนักกระบี่เหล็กจึงล่มสลายสิ้น”
ซูหลีขมวดคิ้ว รู้สึกหนักอึ้งไปทั้งใจ เพียงเพราะความหวาดระแวงขององค์ฮ่องเต้ ชีวิตบริสุทธิ์นับร้อยกลับต้องหายไปจากโลกใบนี้ภายในชั่วพริบตา เหมือนดั่งหมอกควันเบาบาง ชีวิตช่างเปราะบางไร้ค่ายิ่งนัก! นางอดไม่ได้ที่จะหันไปมองตงฟางเจ๋อ ท่ามกลางสีหน้าสับสนของเขา นางมองเห็นความเสียใจซ่อนอยู่ ยามนั้นหากเป็นเขา บางทีสถานการณ์อาจไม่เป็นเหมือนในยามนี้ก็ได้กระมัง?
ครั้นสัมผัสได้ถึงสายตานาง ตงฟางเจ๋อก็หันมาถามด้วยน้ำเสียงใจเย็นว่า “ซูซูกำลังคิดว่าหากเป็นข้า ข้าจะจัดการกับเรื่องนี้อย่างไร?”
ซูหลีจ้องตาเขา จู่ๆ ก็แย้มยิ้ม แล้วกล่าวว่า “เซี่ยหมิงหยางเป็นคนมีพรสวรรค์หาตัวจับยาก ท่านอาจระแวงเขาอยู่บ้าง แต่ก่อนจะพบว่าเขาทำเรื่องไม่ซื่อตรง ท่านไม่มีทางทำเรื่องเสียประโยชน์เพียงเพราะเรื่องเล็กน้อยแน่นอน ไม่มีทางแหวกหญ้าให้งูตื่น”
ตงฟางเจ๋อจ้องหน้านางอย่างลึกซึ้ง แววซาบซึ้งพาดผ่านใบหน้า ผ่านไปเนิ่นนาน เขาก็ถอนหายใจเบาๆ “ใต้ฟ้านี้ คนที่รู้ใจข้า มีแค่ซูซูคนเดียวเท่านั้น”
………………………………………