กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - บทที่ 16 พบกันที่ทะเลสาบกระจก (3)
ซูหลีแย้มยิ้มเล็กน้อย นิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วก็ถามอีกว่า “เช่นนั้นคนที่ขายธนูสั้นดอกนี้ เกี่ยวข้องกับเซี่ยหมิงหยางหรือ?”
ตงฟางเจ๋อกล่าวว่า “ถ้าหากข้าเดาไม่ผิด คนคนนี้ น่าจะเป็นบุตรชายของเจ้าสำนักกระบี่เหล็กนามว่าเซี่ยอวิ๋นเซวียน แล้วก็เป็นศิษย์ที่อายุน้อยที่สุดในสำนักด้วย เขามาแคว้นติ้ง จะต้องมีจุดประสงค์แอบแฝงแน่นอน วันนี้บังเอิญพบกันที่ตลาด ครั้นเห็นข้าใบหน้าเขาก็เต็มไปด้วยความเคียดแค้น เพียงสอบถามไม่กี่ประโยคก็เผยพิรุธแล้ว เซิ่งฉินประมือกับเขา เดิมข้าหมายจะดูกระบวนท่าของเขาสักหน่อย แต่นึกไม่ถึงเขากลับฉวยโอกาสหนีไปตอนเหตุการณ์ชุลมุน เซิ่งฉินไม่คุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมในเมือง ฉะนั้นจึงจับตัวเขาไว้ไม่ได้”
“เหตุใดเซี่ยอวิ๋นเซวียนจึงเดินทางมาเมืองหลวงแคว้นติ้ง?”
“เขามาที่นี่ มีเพียงเหตุผลเดียว คือหาเซี่ยหมิงหยาง”
ซูหลีกล่าวด้วยความประหลาดใจ “เซี่ยหมิงหยางอยู่ในแคว้นติ้งหรือ?”
“เป็นไปได้มาก” เดิมตงฟางเจ๋อทอดมองไปข้างหน้า เขาค่อยๆ หันกลับมา สายตาแฝงความนัยอย่างบอกไม่ถูก
หัวใจของซูหลีเต้นรัว ก้มหน้าลอบคิด หากเซี่ยหมิงหยางอยู่ในเมืองหลวงแคว้นติ้งจริงๆ เช่นนั้นคนที่รอรับภาพวาดกับวัสดุเหล็กในตอนนั้น ก็อาจมีความเป็นไปได้ถึงแปดเก้าส่วนที่จะเป็นเสด็จพี่?! นางเงยหน้ามองเขา แล้วถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ท่านต้องการตามหาตัวเซี่ยหมิงหยาง? เพื่อนำตัวเขากลับไปลงโทษฐานทรยศแผ่นดินหรือ?”
“ไม่ใช่แค่นี้” ตงฟางเจ๋อส่ายหน้า แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักใจ “เจ้าอาจไม่รู้ อานุภาพของพิรุณโปรยปรายนั้นแข็งแกร่งมาก แม้แต่กระบี่ประกายแสงก็อาจต้านทานไม่อยู่ แต่มันกลับมีจุดอ่อนร้ายแรงซ่อนอยู่!”
ซูหลีลุกขึ้นยืน “จุดอ่อนอะไร?”
สายตาของตงฟางเจ๋อเต็มไปด้วยความกังวล “ก็คือวัสดุเหล็กที่ใช้ในการสร้างอาวุธในตอนนี้ พิรุณโปรยปรายใช้เพียงไม่กี่ครั้งก็แตกหัก เสียหายจนไม่อาจใช้งานได้อีก ถึงแม้แร่ธาตุส่วนมากจะซ่อนอยู่ในแคว้นเฉิงเราถึงเจ็ดแปดส่วน แต่หากเป็นอย่างนี้ต่อไป อนาคตแร่ธาตุก็ต้องถูกใช้อย่างสิ้นเปลือง เมื่อเกิดสงคราม จำนวนที่ต้องใช้ก็จะมากมายมหาศาลจนน่าเหลือเชื่อ ยิ่งไปกว่านั้น การสร้างพิรุณโปรยปรายก็ต้องใช้เวลาอีกด้วย”
ซูหลีกล่าวว่า “ฉะนั้น ท่านจึงจำเป็นต้องหาตัวเซี่ยหมิงหยางให้พบ และให้เขาแก้ปัญหานี้ให้ได้”
รอยยิ้มของตงฟางเจ๋อแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชาเล็กน้อย “วันนั้น น่าจะมาถึงในอีกไม่ช้าแล้ว”
สำนักกระบี่เหล็กล่มสลายสิ้นซาก เหลือเพียงเซี่ยอวิ๋นเซวียนและเซี่ยหมิงหยางเพียงสองคน ด้วยความสัมพันธ์ของพวกเขาสองคน ขอเพียงตงฟางเจ๋อส่งคนไปจับตาดูเซี่ยอวิ๋นเซวียนไว้ ช้าเร็วก็ต้องพบเบาะแสของเซี่ยหมิงหยาง หากหาตัวคนผู้นี้พบ เช่นนั้นเสด็จพี่จะถูกลากเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องด้วยหรือไม่? ซูหลีไม่กล้าคิดไปไกลกว่านี้ ความกังวลพลันบังเกิดในใจ
นางคิดจนเหม่อลอย เงียบงันไม่พูดจา แต่กลับได้ยินตงฟางเจ๋อถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ซูซูกำลังห่วงเรื่องใดอยู่หรือ?”
“เปล่า ข้าเพียงแต่คิดว่า…” ซูหลีสะดุ้ง นางตั้งสติ แย้มยิ้มเล็กน้อย แล้วกล่าวว่า “พิรุณโปรยปรายเรียกได้ว่าเป็นอาวุธวิเศษล้ำยุค กระบี่ประกายแสงของท่านก็เป็นกระบี่อันดับหนึ่งแห่งยุค ไม่รู้ว่าหากพวกมันปะทะกัน ใครจะร้ายกาจกว่ากัน?”
ตงฟางเจ๋อกระดกคิ้วพลางแย้มยิ้ม “ลองดูก็รู้แล้ว”
ทั้งสองเดินมานอกเรือ ท้องฟ้ายามราตรีมืดมิด สายลมยามค่ำคืนพัดเอากลิ่นหอมของดอกไม้ลอยมา ซูหลีจำได้ทันทีว่านี่คือกลิ่นหอมของดอกหลี เดาว่าบริเวณนี้คงปลูกต้นหลีไว้ไม่น้อย นางเบิกตากว้าง พยายามเพ่งมองให้ชัดเจน แต่น่าเสียดายที่แสงสว่างมีน้อยเกินไป ผิวน้ำทะเลสาบถูกปกคลุมไปด้วยไอหมอก มองอะไรไม่เห็นเลย ตั้งแต่ออกจากแคว้นเฉิง นางก็ไม่เคยเห็นดอกหลีอีกเลย ชั่วขณะนั้น ความทรงจำที่เกี่ยวกับดอกหลีรวมถึงเงาร่างของคนผู้นั้นพลันผุดขึ้นมาในสมอง หัวใจสั่นไหวเล็กน้อยอย่างไม่อาจควบคุม
นางไม่ทันคิดไปมากกว่านี้ ประกายสีเงินสายหนึ่งก็พุ่งแหวกอากาศ เสียงกระบี่คำรามลั่น เปล่งรัศมีสว่างวาบ กระชากดวงวิญญาณ แหวกท้องฟ้ายามราตรี
ซูหลีพลันสะท้านใจ มือเรียวดุจหยกยกขึ้นรับกระบี่ประกายแสงไว้มั่น ตงฟางเจ๋อเงื้อพิรุณโปรยปรายขึ้น เล็งไปยังพื้นที่ว่าง แล้วเหนี่ยวไกหน้าไม้ ลูกดอกถูกยิงออกไป ทำลายความสงบในยามค่ำคืนทันที
ซูหลีเล็งเป้าหมาย แล้วพาตัวลอยเหนืออากาศ ตวัดกระบี่ออกไปเบาๆ ประกายกระบี่แหวกอากาศออกไปด้วยความเร็วดั่งสายฟ้า พลังงานที่มองไม่เห็นไล่ตามลูกดอกไปอย่างรวดเร็ว! ท่ามกลางท้องฟ้าอันมืดมิด เห็นเพียงประกายกระบี่เริงระบำ ลูกธนูพาดผ่านกลางอากาศเหมือนดาวตก ก่อนจะร่วงกราวดุจบุปผาที่ร่วงโรย ประกายดาบน่าพรั่นพรึง ต้านทานศัตรูได้อย่างไร้เทียมทาน ลูกดอกสิบดอกแตกหักไม่เหลือชิ้นดี ทันใดนั้น ประกายกระบี่สายหนึ่งพุ่งแหวกอากาศเข้ามาดั่งสายฟ้า ซูหลีสะท้านไปทั้งใจ รีบตวัดกระบี่ปัดป้อง ทว่าประกายกระบี่สายนั้นก็พลันหายวับไปอย่างรวดเร็ว
ซูหลีทิ้งตัวลงบนพื้น เห็นตงฟางเจ๋อยืนอยู่บนหัวเรือ นัยน์ตาสุกใสแฝงรอยยิ้มอันเต็มไปด้วยความอ่อนโยน
ซูหลีกล่าว “เมื่อครู่ท่านลอบโจมตีข้าหรือ?”
ตงฟางเจ๋อก้มหน้าเล็กน้อย “มิกล้า ข้าเพียงต้องการมอบของขวัญชิ้นหนึ่งให้ซูซู”
ซูหลีชะงักเล็กน้อย “ของขวัญ?”
ตงฟางเจ๋อค่อยๆ ชูมือขึ้น ท่ามกลางท้องฟ้าที่มืดมิดดุจสีน้ำหมึก พลันมีแสงไฟสว่างวาบขึ้น แสงสว่างที่ไหวเอนไปตามสายลม ส่องสะท้อนให้เห็นถึงต้นดอกหลีสีขาวบริสุทธิ์ที่กำลังเบ่งบานอย่างอิสระ โดดเด่นสะดุดตายิ่งนัก ชั่วขณะนั้น เห็นเพียงแสงไฟหนึ่งดวง สองดวง กระทั่งนับร้อยดวงค่อยๆ สว่างขึ้นตามลำดับ! ดั่งสายน้ำแห่งดวงดาวที่ไหลลงสู่แดนมนุษย์ ประกายรัศมีที่สว่างไสววูบวาบค่อยๆ แผ่ขยายออกไปอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งไปถึงสุดขอบฟ้า ภายใต้แสงไฟ สวนดอกหลีสว่างโชติช่วงไปทั้งผืน ขาวดุจหิมะ ทิวทัศน์งดงามสะท้อนอยู่บนผิวน้ำทะเลสาบที่ใสราวกระจก ไอหมอกบางๆ ก่อตัวบนผิวน้ำ แผ่ปกคลุมไปทั่วบริเวณ ชวนให้รู้สึกเหมือนหลุดเข้าไปในแดนสวรรค์
ซูหลีอ้าปากด้วยความตกตะลึง แทบพูดอะไรไม่ออก
มืออบอุ่นของตงฟางเจ๋อยื่นเข้ามากุมมือนางเงียบๆ “ชอบหรือไม่?”
ขอบตาของซูหลีร้อนผ่าว นางหันกลับไปมองเขา “ชอบ”
ดวงตาของตงฟางเจ๋อเต็มไปด้วยความรัก เขาแย้มยิ้มแล้วกล่าวว่า “หายากนักที่เจ้าจะชอบเช่นนี้ แต่ว่า นี่ไม่ใช่ของขวัญที่ข้าจะให้”
ซูหลีตะลึงงัน “ท่าน ท่านจะทำอะไรกันแน่?”
ตงฟางเจ๋อปล่อยมือนาง ถอยหลังหนึ่งก้าว แล้วยกข้อมือขึ้น ประกายกระบี่อันคุ้นเคยพุ่งแหวกอากาศเข้ามาอีกครั้ง ซูหลีตกใจเล็กน้อย กระบี่ประกายแสงที่อยู่ในมือมือ พลันเริงระบำพลิ้วไหว ดุจหงส์กระพือปีก
ดวงตาตงฟางเจ๋อแฝงไว้ด้วยรอยยิ้ม ตวัดเพลงกระบี่รอบกายด้วยท่าทางผ่อนคลาย ซูหลีตอบโต้กลับไปทุกกระบวนท่า ในที่สุดก็มองเห็นอย่างชัดเจนว่าในมือเขาถือกระบี่สั้นกระทัดรัดไว้เล่มหนึ่ง กระบี่สั้นเล่มนั้น…นางเผลอไปเพียงแวบเดียว เงากระบี่พาดซ้อนกัน พลังขุมหนึ่งสั่นสะเทือน เงามากมายร่วงหล่นลงมาดุจหิมะ ลอยล่องโปรยปรายไปทั่วบริเวณ
สายตาของตงฟางเจ๋อไหวระริกเล็กน้อย เขาขยับพลิกข้อมือเบาๆ ดีดนิ้วไปที่กระบี่ประกายแสง ซูหลีรู้ใจเขา ประกายกระบี่หมุนพลิ้ว ทั้งสองพุ่งกายตัดผ่าน กระบี่เปลี่ยนมือในพริบตา
ตงฟางเจ๋อถือกระบี่ประกายแสง มองนางด้วยรอยยิ้มอบอุ่น “ลองดูว่าของขวัญพอดีมือหรือไม่?”
ซูหลียกกระบี่สั้นขึ้นมาเพ่งพินิจ กระบี่ยาวประมาณหนึ่งฉื่อ กว้างสามนิ้ว ฝักดาบดำเข้ม พู่ห้อยสีเหลืองสว่างกระเพื่อมไหวไปตามสายลมยามราตรี ตัวกระบี่ที่ใกล้ด้ามจับสลักอักษร ‘ซูซู’ เอาไว้ เป็นลายมือของเขาอย่างเห็นได้ชัด นิ้วเรียวไล้ผ่าน แววชื่นชอบพาดผ่านดวงตา นางรู้สึกซาบซึ้งใจ
ตงฟางเจ๋อเหินเหาะตวัดกระบี่ ประกายแสงเริงระบำ ดอกหลีในยามราตรี ทะเลสาบใสดุจกระจก สะท้อนท่วงท่าอันงดงาม ซูหลีแย้มยิ้มเบิกบาน กระบี่สั้นพาดผ่านเหนือผิวน้ำ พุ่งปะทะสายลมเข้าไป สองกระบี่ต่างรูปแบบตอบโต้ไปมา เคลื่อนไหวรวดเร็ว อารมณ์พลุ่งพล่าน
ภาพความทรงจำในอดีตผุดขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง ความรักและความแค้นในอดีตที่ทำให้เจ็บปวดรวดร้าว ปมความรักที่ไม่อาจบรรยาย ราวกับถูกระบายออกมาจนหมดพร้อมกับประกายกระบี่ในยามนี้
สรรพสิ่งบนโลกใบนี้เลือนหายไปตามกาลเวลา ไม่ว่าสายลมหรือก้อนเมฆจะเปลี่ยนผัน ยอดเขาถล่มแผ่นดินทลาย ก็ไม่สำคัญเท่าคนตรงหน้า
ในหัวใจเขามีเพียงนาง ในสายตานางมีเพียงเขา
ท่ามกลางอากาศ คล้ายมีเสียงที่เบาจนแทบไม่ได้ยินดังอยู่ เหมือนดังเสียงกระดิ่งเงินที่ห้อยบนเส้นด้ายกำลังสั่นไหวเบาๆ
ทั้งสองสีหน้าเปลี่ยนไปทันที ทิ้งตัวลงบนพื้นกระดาน แล้วมองหน้ากันด้วยความประหลาดใจ “มีเสียงกระบี่ขับขาน!”
กระบี่ไร้เทียมทานสองเล่มประสานกัน เสียงขับขานดังอย่างต่อเนื่อง เสียงกระจ่างใสชัดเจน เสนาะหูยิ่งนัก
ทั้งสองกลั้นหายใจ เงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจ เสียงนั้นดังอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะค่อยๆ เงียบหายไป
ตงฟางเจ๋อยกกระบี่ประกายแสงขึ้นมาดู แล้วกล่าวด้วยความสงสัย “นี่คือความลับที่ว่า ‘ประกายแสงพลิ้วไหวดุจสายน้ำ’ หรือ? หากกระบี่สองเล่มประสานเข้าด้วยกันจะทำให้เกิดเสียงขับขานของกระบี่ เหตุใดตอนแรกมันไม่มีเสียงเล่า?”
ซูหลีเองก็ยกกระบี่สั้นขึ้นพิจารณาอย่างละเอียด “ดุจสายน้ำ?! มันชื่อว่าดุจสายน้ำ?”
“ประกายแสงดุจสายน้ำ เดิมมีเป็นคู่อยู่แล้ว กระบี่สองเล่มมาจากสำนักกระบี่เหล็กเหมือนกัน จากบันทึกในสำนัก ตอนก่อตั้งสำนัก คู่รักคู่หนึ่งร่วมกันสร้างมันขึ้นมา และถูกขนานนามว่าเป็นสมบัติล้ำค่าแห่งสำนักกระบี่เหล็ก ต่อมาไม่รู้เพราะสาเหตุใด กระบี่ประกายแสงหลุดออกมาในยุทธภพ ข้าได้มันมาครองด้วยความบังเอิญ เหลือเพียงกระบี่ดุจสายน้ำที่ตกทอดกันมารุ่นต่อรุ่นในสำนักกระบี่เหล็ก กระทั่งหลังจากที่สำนักล่มสลาย เซี่ยอวิ๋นเซวียนจึงนำกระบี่หลบหนีไปด้วย” ตงฟางเจ๋อกล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำและไพเราะข้างหูนาง “ประกายแสงดุจสายน้ำ เหมือนดั่งคู่แท้ที่สวรรค์สรรค์สร้าง!”
ซูหลีเงยหน้ามองเขา ใบหน้าฉายแววอ่อนหวานอย่างปิดไม่มิด “ท่านพูดจาเอาใจคนเก่งกว่าเดิมแล้ว”
ตงฟางเจ๋อโอบกอดนางแล้วยิ้ม “ทั่วทั้งแผ่นดิน ข้าชอบเอาใจเจ้าเพียงผู้เดียว”
………………………………………