กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - บทที่ 18 เหตุการณ์อันตรายที่ท่าเรือ (1)
กลับเป็นเพียงสตรีอ่อนแอนางหนึ่ง แววดูแคลนพาดผ่านดวงตาของชายชุดดำตัวสูง “มีเรื่องต้องการให้องค์หญิงช่วย รบกวนท่านไปกับพวกเราสักหน่อยเถิด” เอ่ยจบ เขาก็ลากนางออกมาจากรถม้าทันที
ซูหลีกรีดร้องเสียงดัง แสร้งทำเป็นขัดขืนด้วยการตีเขา การขัดขืนของนางไม่ได้อยู่นอกเหนือความคาดหมาย คนผู้นั้นจับไหล่นางไม่ยอมปล่อย แต่กลับนึกไม่ถึงขณะไม่ทันตั้งตัวนางกลับเอื้อมมือคว้ามาที่หน้าเขาโดยตรง ด้วยความตกใจจึงรีบปล่อยมือ ถอยห่างทันที ผ้าปิดหน้าสีดำเกือบถูกนางกระชากหลุด เขาทั้งตกใจระคนโมโห ไอสังหารพลันบังเกิด
ซูหลีกรีดร้องตกใจ หมายจะวิ่งหนี สัมผัสได้ว่าฝ่ามือลมปราณซัดมาจากด้านหลัง นางเห็นท่าไม่ดี จึงโน้มกายไปข้างหน้า ฝ่ามือนั้นซัดเข้าที่ต้นคอนาง นางหน้ามืด เท้าอ่อนแรง ก่อนจะแสร้งทำเป็นหมดสติล้มลงไป
ได้ยินเสียงคนตัวสูงกล่าวว่า “มัดนางไว้ เผื่อเกิดปัญหาอะไรตามมาอีก!”
ชายชุดดำตัวเล็กหยิบเชือกออกมา แล้วมัดมือซูหลีอย่างแน่นหนา จากนั้นก็แบกตัวนางพาดไหล่ ทั้งสองวิ่งเข้าไปในป่าทึบข้างถนน แล้วมุ่งหน้าไปยังคูเมือง จากนั้นก็กระโดดขึ้นไปบนเรือลำเล็ก ขณะขึ้นเรือ ดอกหลีสีขาวดอกหนึ่งหล่นจากแขนเสื้อของซูหลีตกลงบนฝั่ง ท่ามกลางความมืด สีดำขาวตัดกัน โดดเด่นสะดุดตา
ล่องเรือไปได้ประมาณครึ่งเค่อ เรือลำเล็กก็หยุดจอด ซูหลีเงี่ยหูฟังอย่างละเอียด ห่างออกไปไม่ไกล เสียงคลื่นน้ำกระทบแผ่นไม้ดังมาอย่างชัดเจน อากาศที่ลอยเข้ามาในจมูก เปียกชื้นกว่าก่อนหน้านี้อย่างเห็นได้ชัด
ชายชุดดำตัวสูงย่อกายขึ้นฝั่ง กวาดมองรอบกายอย่างระมัดระวัง แล้วจึงค่อยเรียกคนชุดดำตัวเล็กขึ้นฝั่ง
ซูหลีลืมตาเล็กน้อย ลอบสังเกตสภาพแวดล้อมรอบด้านผ่านแพขนตาดกดำ ท่ามกลางความมืดอันเลือนราง ท้องฟ้าและสายน้ำเป็นหนึ่งเดียวกัน สองฝั่งของท่าเรือที่คล้ายจัตุรัสขนาดเล็ก มีเรือน้อยใหญ่จอดเทียบท่าอย่างเป็นระเบียบ ที่นี่กลับเป็นท่าเรือที่อยู่ด้านซ้ายของสะพานจินเหมิน
ท่าเรือแห่งนี้เป็นจุดเชื่อมต่อสำคัญระหว่างเมืองหลวงแคว้นติ้งกับการขนส่งสินค้าจากต่างแคว้น สร้างขึ้นจากไม้ทั้งหมด ตรงกลางเป็นพื้นที่ว่าง เหมือนจัตุรัสขนาดเล็ก นักท่องเที่ยวมักขึ้นลงเรือที่นี่ ด้านซ้ายเป็นจุดขนถ่ายสินค้าโดยเฉพาะ มีทางเดินทั้งหมดสิบสายที่เชื่อมถึงจัตุรัสท่าเรือ เรือทุกลำที่ขนส่งสินค้าเข้าออก ล้วนจอดเทียบเพื่อขนถ่ายสินค้า ณ จุดนี้ ด้านขวาของจัตุรัสมีคลังเก็บสินค้าถูกสร้างไว้ นอกจากนี้ยังมีสะพานไม้ให้นักท่องเที่ยวได้เพลิดเพลินกับทิวทัศน์ ทิวทัศน์ยามอาทิตย์ขึ้นและยามอาทิตย์ตกของคลองติ้งชวน เป็นหนึ่งในทิวทัศน์ที่งดงามที่สุดในเมืองหลวงแคว้นติ้ง ฉะนั้นจึงดึงดูดนักท่องเที่ยวและนักธุรกิจเข้ามามากมาย
ท่าเรือในยามวิกาล ไม่เหลือความคึกคักเหมือนยามกลางวัน ไม่มีนักธุรกิจสัญจรพลุกพล่าน ไม่มีคนงานพายเรือและขนสินค้า เหมือนสัตว์ขนาดมหึมาที่กำลังนอนหมอบอยู่ข้างสะพานจินเหมิน และคอยจ้องมองทุกอย่างอย่างเงียบเชียบ
เสียงตีฆ้องดังมาแต่ไกล ทั้งสองซ่อนตัวด้านหลังชั้นวางสินค้าอย่างระมัดระวัง รอให้ยามเดินผ่านไปอย่างอดทน แล้วจึงค่อยแบกซูหลีเดินลัดเขตสินค้าไปขึ้นเรือลำที่อยู่ใกล้ท่าเรือมากที่สุด รอบข้างเงียบผิดปกติ เดาว่าคนงานเรือคงไม่พักบนเรือเวลากลางคืน ทั้งสองเดินตรงลงไปใต้ท้องเรือ คนชุดดำตัวเล็กโยนร่างซูหลีลงบนพื้นแรงๆ
ครั้นร่างกายกระแทกกับพื้นแข็งๆ ก็รู้สึกเจ็บแปลบที่ข้อศอกขึ้นมา ซูหลีอดกลั้น นางอดขมวดคิ้วไม่ได้ คนผู้นี้รุนแรงนัก ไม่รู้จักถนอมบุปผาเสียบ้างเลย
ได้ยินคนชุดดำตัวสูงกล่าวเสียงเบาว่า “ข้าจะไปหาพี่ใหญ่ก่อน เจ้าเฝ้านางอยู่ที่นี่ดีๆ ล่ะ” จากนั้นก็หมุนกายเดินออกไป
“ฟื้นสิ ฟื้นเร็ว!” คนชุดดำตัวเล็กตำหนินาง แล้วยังใช้เท้าเตะนางอีกด้วย
ซูหลีขมวดคิ้ว นางค่อยๆ ลืมตา แสร้งทำเหมือนเพิ่งตื่น นางหรี่ตาหันซ้ายหันขวา ครั้นมองเห็นเงาดำตรงหน้าอย่างชัดเจน นางก็กรีดร้องด้วยความตกใจ ลุกขึ้นนั่ง แล้วตะโกนด้วยความหวาดกลัว “เจ้า…พวกเจ้าเป็นใคร?” นางพูดพลางกวาดมองรอบกาย ในห้องนี้ แสงไฟมืดสลัว ทั้งสี่ด้านล้วนเป็นกำแพงที่ทำจากไม้ ในห้องมีกล่องกองซ้อนกันมากมาย น่าจะเป็นห้องเก็บสินค้าในเรือ
“หุบปาก! ถ้ายังกล้าตะโกนอีก ข้าจะฆ่าเจ้าเสีย! ถ้าอยากมีชีวิตอยู่ก็ให้ความร่วมมือเสียดีๆ!” มีดคมกริบถูกแกว่งไปแกว่งมาตรงหน้านาง ชายชุดดำตัวเล็กข่มขู่ด้วยน้ำเสียงชั่วร้าย
ซูหลีตัวแข็งทื่อ นางกะพริบตาปริบๆ คล้ายตกใจจนใกล้จะร้องไห้ออกมาแล้ว นางกล่าวเสียงสั่นเครือ “เจ้า เจ้าจับตัวข้ามา เพราะอยากได้แก้วแหวนเงินทองไม่ใช่หรือ ข้าจะไปทูลเสด็จพ่อให้…อย่าทำอะไรข้าเลย”
ชายชุดดำตัวเล็กเดินไปนั่งเก้าที่อยู่ด้านหนึ่ง ชำเลืองมองนางด้วยหางตาอย่างดูแคลน แล้วแค่นเสียงเย็นชา “อวดรู้นัก!”
ไม่ได้ต้องการเงิน? ซูหลีครุ่นคิด นางรวบรวมความกล้า แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงหวาดกลัว “เช่นนั้น…เช่นนั้นพวกเจ้าต้องการอะไร?”
ชายชุดดำตัวเล็กลังเลเล็กน้อย มองนางแวบหนึ่ง แล้วจึงค่อยกล่าวว่า “เจ้ารู้จักเซี่ยหมิงหยางหรือไม่?”
สีหน้าของซูหลีไม่เปลี่ยนแปลง ลึกๆ ในใจกลับสะดุ้งเล็กน้อย คำตอบนี้อยู่นอกเหนือความคาดหมายของนาง เรื่องที่หลางฉ่างมีส่วนเกี่ยวข้องกับเซี่ยหมิงหยางเป็นความลับสุดยอด นอกจากตงฟางเจ๋อ แม้กระทั่งเซี่ยอวิ๋นเซวียนก็อาจยังไม่รู้เรื่องด้วยซ้ำ แล้วพวกเขาไปรู้มาจากที่ใดกัน? ยามนี้เรื่องเดียวที่มั่นใจได้ก็คือ คนที่ลักพาตัวหลางฉ่างในงานชุมนุมไป่จี๋ก็คือพวกเขา เพียงแต่น่าเสียดายที่ภารกิจล้มเหลว พวกเขาจึงได้เปลี่ยนเป้าหมายมาเป็นนาง
หากนางคาดเดาไม่ผิด อีกฝ่ายน่าจะต้องการใช้นางมาบีบบังคับให้หลางฉ่างมอบตัวเซี่ยหมิงหยาง ยามนี้มีใครบ้างในเมืองหลวงแคว้นติ้งที่ไม่รู้ว่าองค์หญิงฉางเล่อเป็นที่รักของฮ่องเต้แคว้นติ้งและองค์รัชทายาทมากมายขนาดไหน แต่เรื่องที่นางไม่เข้าใจยิ่งกว่าก็คือ อีกฝ่ายไม่รู้จักตัวตนขององค์หญิงอย่างแท้จริง แต่กลับรู้เรื่องของเซี่ยหมิงหยาง คนผู้นี้คือใครกันแน่?
คำถามมากมายผุดขึ้นมาเต็มไปหมด แต่กลับจับจุดไม่ถูก เห็นได้ชัดว่าสองคนนี้เป็นเพียงลูกน้อง เมื่อครู่ลูกพี่ที่คนตัวสูงพูดถึง คงเป็นผู้อยู่เบื้องหลังตัวจริง ต้องทำอย่างไรจึงจะหลอกล่อคนคนนั้นออกมาได้นะ?
สายตานางไหวระริก นางแสร้งทำเป็นครุ่นคิด แล้วพูดขึ้นอย่างระมัดระวังว่า “ชื่อนี้…ค่อนข้าง…คุ้นหูอยู่บ้าง เหมือน…เคยได้ยินจากที่ไหน…”
แววดีใจพาดผ่านดวงตาของชายตัวเล็ก เขาพุ่งตัวเข้ามาหานาง แล้วถามต่อ “ที่ไหน?”
ซูหลีเอ่ยพลางมองเขาอย่างหวาดระแวง “หากอยากรู้จริงๆ ก็ให้หัวหน้าของพวกเจ้ามาคุยกับข้าดีกว่า”
ชายตัวเล็กตกตะลึง เขาย่อกายลง แววเหี้ยมเกรียมพาดผ่านดวงตา ตัวมีดเย็นเฉียบฟาดใส่ใบหน้าซูหลีอย่างไร้ความปรานี เขาด่ากราดด้วยความเดือดดาล “บอกให้เจ้าพูดเจ้าก็พูด กล้าต่อปากต่อคำกับข้า ข้าจะทำให้เจ้าได้ไปเจอยมบาลเดี๋ยวนี้! ข้าไม่สนว่าเจ้าจะเป็นองค์หญิงหรืออะไรทั้งสิ้น!”
ซูหลีน้ำตารื้น นางตกใจกลัวเหมือนเด็กตัวเล็กๆ ผ่านไปครู่หนึ่งจึงส่งเสียงร้องไห้เล็กน้อย นางลอบขมวดคิ้ว คนผู้นี้กิริยาท่าทางหยาบกระด้าง เป็นคนหัวรั้น เจรจาต่อรองด้วยไม่ได้
ในตอนนั้นเอง เสียงประตูเรือดังขึ้น นางเงยหน้ามอง ชายตัวสูงกลับมาแล้ว แต่กลับไม่เห็นใครอื่นมาด้วย เขากลับมาเร็วขนาดนี้ แสดงว่าหัวหน้าคนนั้นต้องอยู่แถวๆ นี้แน่นอน แต่ทำไมถึงไม่มาด้วยกันเล่า?
ชายตัวสูงขมวดคิ้วถาม “เจ้าทำอะไรอยู่น่ะ?”
ชายตัวเล็กคำราม “นางบอกว่าเคยเห็นเซี่ยหมิงหยาง! ข้าถามว่าที่ไหนนางก็ไม่ยอมบอก!”
ชายตัวสูงด่าเขา “เหลวไหล เจ้าถามอย่างนี้นางก็ต้องไม่บอกอยู่แล้ว!” เขาครุ่นคิด แววเจ้าเล่ห์พาดผ่านดวงตา เขาเดินมาหาซูหลี แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง “เจ้าบอกว่าเคยเห็นเซี่ยหมิงหยาง เช่นนั้นเจ้าบอกมา ว่าเขารูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไร?”
แย่แล้ว! ซูหลีตกใจ พวกเขากลับเคยเห็นเซี่ยหมิงหยางด้วยหรือ? นางไม่อาจยืนยันได้ในเวลานี้ จึงทำได้เพียงก้มหน้า แล้วพูดเสียงติดๆ ขัดๆ “เขา…เขา…”
“กล้าโกหกข้าหรือ!” ชายตัวเล็กบันดาลโทสะ เงื้อมือหมายจะใช้กำลัง ซูหลีกรีดร้องตกใจ หลับตาแน่น ขดตัวถอยกรูดไปข้างหลังทันที
ชายตัวสูงห้ามไว้ แล้วตำหนิ “เจ้าตีนางแล้วจะมีประโยชน์อะไร ทำเรื่องสำคัญก่อน!” เอ่ยจบ เขาก็ลากตัวชายตัวเล็กไปด้านหนึ่ง ทั้งสองกระซิบกระซาบกันเสียงเบา พลางเหลือบมองมาที่นางเป็นระยะ
ซูหลีขดตัวก้มหน้าก้มตาอยู่ด้านหนึ่ง แสร้งสะอื้นเหมือนเด็กน้อย แท้จริงแล้วกำลังเพ่งสมาธิฟังบทสนทนาของพวกเขาอย่างตั้งใจ นางได้ยินคำว่า ‘แลกเปลี่ยน’ รางๆ ก็พลันกระจ่าง นางเดาไม่ผิด อีกฝ่ายต้องการใช้นางเป็นตัวประกัน เพื่อแลกเปลี่ยนกับหลางฉ่างจริงๆ เซี่ยหมิงหยางเป็นคนสำคัญ หากคิดจะพาคนสำคัญขนาดนี้ฝ่าวงล้อมของหลางฉ่างออกไป อาศัยเพียงสองคนนี้คงทำสำเร็จได้ยาก ตามหลักแล้วผู้อยู่เบื้องหลังคนนั้นจะต้องปรากฏตัวอย่างแน่นอน นางเพียงต้องอดทนรอ จะต้องมีโอกาสพบคนคนนั้นแน่นอน
หลังจากคุยกันเสร็จ สองคนนั้นก็ไม่สนใจนางอีก เพียงเดินตรงออกจากห้องไป เสี้ยววินาทีที่ประตูเปิดและปิดลง ลมแรงระลอกหนึ่งพัดเข้ามาในห้อง พาเอาหยาดฝนหนาวเย็นเม็ดเล็กๆ เข้ามาด้วย สายอสนีบาตดุจอสรพิษสีเงินพาดผ่านท้องฟ้าอันมืดมิด พายุฝนกำลังจะมาเยือน ครั้นคำนวณเวลา ก็ใกล้เวลาเที่ยงคืนแล้ว ซูหลีลอบคิด ไม่รู้ว่าตอนนี้ตงฟางเจ๋อกับเสด็จพี่จะรู้เรื่องที่นางถูกลักพาตัวหรือยัง?
…………………………