กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - บทที่ 22 เหตุการณ์อันตรายที่ท่าเรือ (5)
ซูหลีจึงค่อยเข้าใจในตอนนี้เอง เมื่อครู่นางคิดอย่างไรก็ไม่เข้าใจ ว่าชายชุดเทารู้ได้เช่นไรว่าเซี่ยหมิงหยางคือตัวปลอม ที่แท้ผู้อยู่เบื้องหลังก็ซ่อนตัวอยู่บนเรือ ตอนนั้นทุกคนล้วนพุ่งเป้าความสนใจไปที่จัตุรัสบนท่าเรือ ไม่มีใครสังเกตใบเรือที่ถูกดึงขึ้นของเรือสินค้าเลย
ชายชุดเทาสังเกตอยู่ครู่หนึ่ง เรือด้านหน้าราวกับไม่มีสิ่งมีชีวิตอยู่ เงียบงันจนน่าขนลุก ยามนี้บนผิวน้ำคลื่นลมแรง คลื่นน้ำกระเพื่อมเสียงดังซู่ซ่า
ชายชุดเทาพลันระแวดระวัง ดึงดาบออกมาทันที แล้วค่อยๆ ก้าวเท้าไปที่ขอบเรือ พลางกำชับเสียงเบาว่า “สถานการณ์ผิดปกติ จับตาดูให้ดี! ระวังอย่าตกหลุมพรางเล่า!”
ชายชุดดำตัวสูงและตัวเล็กจุดคบเพลิง แล้วรีบวิ่งไปที่ทั้งสองฝั่งของเรือ จากนั้นก็สอดส่องผิวน้ำรอบๆ ตัวเรืออย่างระมัดระวัง
เกลียวคลื่นพัดผ่าน ปล้องอ้อลำหนึ่งลอยเข้ามา
ชายชุดเทาตกใจจนเหงื่อท่วมตัว เหมือนเขาตระหนักได้ถึงบางอย่าง ผงะถอยหลังไปหลายก้าว แล้วตะโกนเสียงดัง “ระวัง มีคนอยู่ในน้ำ!”
ปลายต้นอ้อสิบกว่าลำพลันผุดขึ้นมาเหนือผิวน้ำรอบๆ และค่อยๆ เคลื่อนเข้ามาใกล้เรือสินค้า
ชายชุดดำตัวสูงและตัวเล็กพลันแตกตื่น ตะโกนด้วยความลนลานทันที “พี่ใหญ่ พวกเราตกหลุมพรางแล้ว!”
ยังไม่ทันสิ้นเสียงพูด ก็มีตะขอเหล็กพุ่งเข้ามาเกี่ยวรั้วเรือ จากนั้นก็มีองครักษ์สองคนกระโดดเข้ามาในเรือ ชายชุดดำทั้งสองตกตะลึง ทำได้เพียงถือดาบพุ่งเข้าไปโจมตี
สถานการณ์เปลี่ยนแปลงกะทันหัน ยามนี้ชายชุดเทาก็ค่อนข้างแตกตื่นเช่นกัน เขาเฝ้าระวังอยู่กลางเรือ สังเกตสถานการณ์ของศัตรูอย่างระแวดระวัง เมื่อใดที่มีตะขอเหล็กเกี่ยวรั้วเรือ เขาก็จะรีบตัดเชือกตะขอขาดทันที!
สายตาของซูหลีสอดส่องไปทั่วเรือ เงาร่างบนเรือสลับซับซ้อน ประกายดาบเงากระบี่พาดผ่าน โกลาหลวุ่นวาย แสงสว่างมีน้อยมาก นางจึงทำได้เพียงแยกแยะจากเงาร่าง นอกจากนางและชายอีกสามคนที่ปิดบังใบหน้า ก็ไม่เห็นแม้แต่เงาวิญญาณ ผู้อยู่เบื้องหลังคนนั้นอยู่ที่ใดกันแน่?
ในตอนนั้นเอง ชายชุดเทาที่ยืนอยู่กลางเรือรีบหันมองไปทางท้ายเรือ ทว่าหางตาเหลือบเห็นตรงหัวเรือมีองครักษ์กระโดดขึ้นมาอีกคนหนึ่ง ในใจก็พลันตื่นตระหนก เขากัดฟันหันหน้ากลับมา แล้วพุ่งตัวเข้าไปเปิดฉากต่อสู้นองเลือดทันที
ซูหลีสะดุดใจ การกระทำเมื่อครู่ของชายชุดเทาอยู่ในครรลองสายตาของซูหลี หรือเขากำลังรอคำสั่งของผู้อยู่เบื้องหลัง? นางรีบตะเกียกตะกายลุกขึ้นยืน หมายจะเดินไปตรวจสอบที่ท้ายเรือ แต่ในตอนนั้นเองกลับมีคลื่นลมแรงพัดเข้ามา เรือสินค้าสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง นางเดินลื่นโดยไม่ทันระวังตัว ร่างกายเอียงล้มไปกระแทกกับกล่องสินค้าที่อยู่ด้านข้างทันที นางกัดฟัน รอให้เรือสงบนิ่งเล็กน้อย แล้วค่อยเดินไปที่ท้ายเรืออีกครั้ง
เพิ่งจะก้าวเท้าไปไม่กี่ก้าว พลันนั้นก็มีเสียงกรีดร้องดังมาจากด้านหน้าเรือ ซูหลีตกตะลึง รีบหันไปมอง ก็เห็นชายชุดดำตัวสูงและตัวเล็กสองคนนั้นนอนจมอยู่ในกองเลือด!
ชายชุดเทาตวัดสายตามองมาที่ซูหลี สายตาเหี้ยมเกรียมเหลือประมาณ เขาดึงคบเพลิงขึ้นมาอย่างรวดเร็ว แล้วขว้างมาที่ซูหลีทันที ซูหลีรีบเบี่ยงตัวหลบ คบเพลิงกลิ้งหลุนบนพื้นไปจนถึงข้างกองสินค้า พลันนั้นกล่องไม้ก็ถูกเผาไหม้ทันที!
องครักษ์ชุดดำสองคนถือกระบี่พุ่งตรงเข้ามาหาชายชุดเทา เขาคำรามเสียงดังก้อง ไม่มีเวลาสนใจนางอีก หมุนกายหันกลับไปรับมือการโจมตีทันควัน
ลมพายุพัดเข้ามาอย่างรุนแรงอีกครั้ง ตัวเรือขยับขึ้นลง โยกซ้ายโยกขวาตามแรงกระเพื่อมของคลื่น ซูหลียืนอย่างมั่นคง ไม่กล้าใจร้อนวู่วาม เพียงชั่วพริบตา เปลวไฟแผดเผากองสินค้าทั้งหมดอย่างรวดเร็ว! เมื่อลมพัดเปลวไฟยิ่งลุกลามใหญ่โต ทั้งใบเรือและเสากระโดงล้วนไม่มีข้อยกเว้น
กลิ่นฉุนประหลาดกลิ่นหนึ่งลอยเข้ามากับอากาศ ซูหลีสะท้านไปทั้งใจ เป็นดินประสิว!
เสียง ‘เปรี๊ยะๆ’ ดังออกมาจากข้างในกล่องเบาๆ หัวใจนางจมดิ่งสู่ก้นเหว ดินประสิวติดไฟแล้ว! และอาจระเบิดในอีกไม่ช้า! เหตุการณ์อันตรายใกล้เข้ามา ซูหลีไม่ลังเลอีก นางขับเคลื่อนลมปราณ เพื่อจะทำลายเชือกที่มัดมือนางไว้ แต่นึกไม่ถึงว่าเชือกนี้กลับแข็งแกร่งกว่าเชือกสายป่านทั่วไปมาก
เปลวเพลิงขนาดใหญ่ย้อมผืนฟ้าซีกหนึ่งให้กลายเป็นสีแดงเพลิง เงาร่างอันคุ้นเคยโฉบออกมาจากหัวเรือลำที่อยู่ฝั่งตรงข้าม นางจำได้ตั้งแต่แวบแรกว่านั่นคือตงฟางเจ๋อ! นางตกใจ รีบตะโกนด้วยความร้อนใจ “อันตราย อย่าเข้ามา” ท่ามกลางความมืด ดวงหน้างดงามของนางถูกเปลวเพลิงส่องสว่าง ในดวงตาหงส์กลับไร้ซึ่งแววแตกตื่นลนลาน มีก็แต่เพียงความห่วงใยอันชัดเจน
เสียงปะทุของดินประสิวในกล่องไม้ดังขึ้นเรื่อยๆ ซูหลีเห็นท่าไม่ดี หมายจะกระโดดลงจากเรือเพื่อหนี พลันนั้นสะเก็ดไฟตกลงมาจากด้านบนศีรษะ นางเงยหน้าโดยสัญชาตญาณ เห็นเพียงเสากระโดงเรือที่ห่อหุ้มไว้ด้วยใบเรือถูกเผาไหม้จนหักครึ่ง เหมือนดั่งตึกขนาดใหญ่ที่ล้มมาหานางอย่างรวดเร็ว!
“ซูซู!”
เสียงขานเรียกนี้ดังออกมาจากปากของตงฟางเจ๋ออย่างแน่นอน นางหันหน้าไปมอง เห็นเงาร่างของเขาพุ่งเข้ามาด้วยความเร็วดุจลูกธนู! นางตื่นตะลึง อดเบิกตากว้างไม่ได้ ตะโกนออกไปเสียงดัง “ไม่นะ!”
เสากระโดงเรือเหนือศีรษะล้มครืนลงมา ซูหลีเหลือบเห็นกระบี่คมเล่มหนึ่งปักอยู่บนพื้นเรือ นางพลันบังเกิดความคิด รีบกลิ้งตัวไปกับพื้น ยื่นมือเข้าไปใกล้แล้วออกแรงเฉือน เชือกถูกตัดขาดทันที ขณะเดียวกัน เสากระโดงเรือที่ล้มลงมาครึ่งทางก็พลันถูกฝ่ามือลมปราณซัดจนแหลกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยร่วงตกลงในน้ำ
กล่องไม้ส่งเสียงราวกับใกล้ระเบิดเต็มที ควันสีขาวลอยคลุ้งออกมา ซูหลีรีบลุกขึ้นอย่างไม่ชักช้า ท่ามกลางความมืดที่ท้ายเรือ กลับมีเงาร่างสีดำสายหนึ่งพุ่งออกมาอย่างรวดเร็ว และกอดนางไว้แน่น จากนั้นก็กระโดดลงไปในน้ำทันที
เสี้ยววินาทีที่ตกลงไปในน้ำ เสียงระเบิดที่ดังสนั่นหวั่นไหวแทบทำให้แก้วหูซูหลีทะลุ หัวของนางถูกคนผู้นั้นกอดไว้ในอ้อมอก เขาใช้ร่างกายคุ้มกันนางด้วยเรี่ยวแรงที่มหาศาลจนน่าตกใจ
ผิวน้ำกระเพื่อมอย่างรุนแรง จนไม่อาจต้านทาน เขากอดนาง ปล่อยตัวให้ลอยไปตามคลื่นอยู่ใต้น้ำ เสียงระเบิดรุนแรงดังสะท้อนอยู่กลางอากาศอย่างต่อเนื่อง พลันนั้น นางสัมผัสได้ว่าร่างกายเขาแข็งทื่อ จึงลืมตาและเอียงคอเล็กน้อย ผ่านผิวน้ำที่กระเพื่อมไหวอย่างต่อเนื่อง นางมองเห็นรางๆ ว่าเรือสินค้าที่นางอยู่เมื่อครู่ขาดเป็นสองท่อนแล้ว ภายใต้การโจมตีอันรุนแรง เรือสินค้าที่ผ่านคลื่นลมมาหลายลูก ยามนี้เหมือนดั่งกำแพงที่ทรุดโทรมหักพัง พื้นเรือแตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยลอยอยู่เหนือผิวน้ำ
ซูหลีกลั้นหายใจจนแน่นหน้าอกไปหมด ลมหายใจในปอดใกล้หมดแล้ว นางอดผลักคนข้างหน้าไม่ได้
มือที่กอดนางไว้ไม่ยอมคลายออกแม้แต่น้อย เขาแหงนหน้ามอง สะเก็ดไฟที่กระเด็นไปทั่วทิศเริ่มน้อยลง จึงค่อยกอดนางแล้วว่ายขึ้นเหนือผิวน้ำ
‘พรวด’ ทั้งสองโผล่พ้นผิวน้ำพร้อมกัน ซูหลีหอบหายใจอย่างหนักหน่วง ยกมือเช็ดน้ำบนใบหน้า มองดูใบหน้าที่อยู่ใกล้แค่เอื้อม พลันตะลึงงันไปทันที
เบื้องหน้าคือใบหน้าของบุรุษผู้หนึ่ง ที่เยาว์วัยกว่าที่คาดไว้ อายุราวยี่สิบต้นๆ เครื่องหน้าทั้งห้าหล่อเหลาสุขุม สีหน้ากลับซีดขาวไปทั้งดวง ยามนี้เขากำลังเบิกตากว้างจ้องหน้านาง สายตาที่สับสนเต็มไปด้วยความตื่นตะลึง จนถึงกับพูดไม่ออก หน้าอกกระเพื่อมขึ้นลงอย่างรุนแรง ราวกับยังไม่อาจตั้งสติจากเหตุการณ์อันตรายเมื่อครู่ได้
คนผู้นี้ปรากฏตัวกะทันหันมาก แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าเขาช่วยชีวิตนางไว้ในวินาทีที่อันตรายที่สุด คำถามมากมายผุดขึ้นมาในใจ ซูหลีเปิดปากอย่างลังเล “เจ้า…”
ครั้นได้ยินเสียงของนาง เขาก็ตะลึงงันเล็กน้อย ไม่นานก็ปรับสีหน้าเป็นปรกติ แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงแหบพร่า “ข้าคือตง…”
………