กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - บทที่ 27 นายน้อยลึกลับ (5)
เซียงซืออวี่หันหลังช้าๆ เห็นเพียงเกี้ยวพระที่นั่งค่อยๆ ลงจอดอย่างมั่นคง ซูหลีกำลังประคองผู้อาวุโสที่คิ้วและดวงตาเต็มไปด้วยความอ่อนโยนทว่ากลับมีบุคลิกน่าเกรงขามผู้หนึ่งลงมาอย่างระมัดระวัง และค่อยๆ เดินมานั่งตรงที่นั่งประธานของงานเลี้ยง
เซียงซืออวี่รีบเดินเข้าไปถวายบังคม
ฮ่องเต้แคว้นติ้งมองพิจารณาเขาอย่างอ่อนโยน เห็นเขาหน้าตาหล่อเหลา กิริยาท่าทางมีมารยาท ท่าทีไม่แข็งกร้าวจนดูเย่อหยิ่ง ไม่ถ่อมตนจนดูต้อยต่ำ ไร้ท่าทางแตกตื่นลนลาน ก็อดยิ้มแล้วกล่าวขึ้นไม่ได้ว่า “เจ้าก็คือเซียงซืออวี่เองหรือ เป็นบุคคลที่มีความสามารถดังคาด! ลุกขึ้นเถิด”
เซียงซืออวี่เอ่ยขอบคุณแล้วลุกขึ้น
นึกไม่ถึงว่าซูหลีเองก็กำลังมองพิจารณาเขาอยู่เช่นกัน ทั้งสองสบตากันโดยบังเอิญ หลังจากชะงักงันไปเล็กน้อยก็ยิ้มให้กัน เซียงซืออวี่ยังคงสวมชุดสีฟ้าอมเทา อาภรณ์เรียบง่าย ดูสุภาพเรียบร้อยและสะอาดตา
ฮ่องเต้แคว้นติ้งกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “เจ้าช่วยองค์รัชทายาทของข้า แล้วยังช่วยองค์หญิงของข้าอีก ข้าต้องขอบคุณเจ้าอย่างดี เจ้าต้องการสิ่งใด ขอเพียงบอกข้ามา”
เซียงซืออวี่เอ่ยเสียงดังฟังชัด “ฝ่าบาททรงกล่าวหนักเกินไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมเพียงแค่ช่วยเหลือไปตามความสามารถ เชื่อว่าผู้ที่มีจิตใจดี ล้วนไม่อาจนิ่งดูดายต่อสถานการณ์ชั่วร้ายได้พ่ะย่ะค่ะ”
สายตาของฮ่องเต้แคว้นติ้งปรากฏแววชื่นชม เขากล่าวชมไม่ขาดปาก “คุณชายเซียงเป็นคนดี ข้าชอบเจ้ายิ่งนัก! ข้าจะมอบจวนกลางเมืองให้เจ้าหนึ่งแห่ง เงินอีกพันชั่ง เจ้าลงหลักปักฐานที่นี่ ร่วมเสพสุขในแคว้นติ้งไปตลอดกาลเป็นอย่างไร?”
เซียงซืออวี่รีบกล่าว “มิได้เด็ดขาดพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาทประทานรางวัลหนักเกินไปแล้ว กระหม่อมมิบังอาจรับไว้! ฝ่าบาทโปรดถอนรับสั่งด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ!”
ท่าทีปฏิเสธของเขาชัดเจนถึงเพียงนี้ กลับทำให้ฮ่องเต้แคว้นติ้งประหลาดใจเล็กน้อย เขาครุ่นคิด แล้วกล่าวว่า “เจ้าช่วยชีวิตคนในยามคับขัน คิดว่าคงมีวรยุทธ์ที่ไม่เลว เช่นนั้นข้าจะมอบตำแหน่งในวังให้เจ้า เพื่อให้เจ้าได้แสดงความสามารถดีหรือไม่?”
เซียงซืออวี่ชะงักงัน เขาคล้ายนึกไม่ถึงว่าฮ่องเต้แคว้นติ้งจะดื้อรั้นเพียงนี้ ยังคงค้อมกายปฏิเสธอย่างนุ่มนวล “กระหม่อมความสามารถอ่อนด้อย ความรู้ไม่ถึงขั้น องค์รัชทายาทและองค์หญิงปลอดภัย ล้วนเป็นเพราะบุญบารมีของฝ่าบาทคอยคุ้มครองทั้งสองพระองค์ พระเมตตาของฝ่าบาท กระหม่อมมิคู่ควร ขอรับไว้ด้วยใจก็เพียงพอพ่ะย่ะค่ะ!”
ใบหน้าของฮ่องเต้แคว้นติ้งขรึมลง เขาไม่เคยเห็นคนหัวรั้นถึงเพียงนี้มาก่อน และการที่อีกฝ่ายเอาแต่ปฏิเสธท่าเดียวก็ทำให้เขากระอักกระอ่วนใจ
หลางฉ่างเห็นเช่นนั้นก็ยิ้ม แล้วกล่าวว่า “คุณชายเซียงไม่ต้องการชื่อเสียงเงินทอง มีปณิธานท่องไปทั่วยุทธภพ รางวัลของเสด็จพ่อ เหมือนจะไม่ค่อยเหมาะสมกับเขานักพ่ะย่ะค่ะ”
ซูหลีเองก็แย้มยิ้ม แล้วเอ่ยว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ มิสู้เสด็จพ่อลองถามว่าคุณชายมีความปรารถนาใด จะได้ช่วยให้เขาสมหวัง ไม่ว่าแก้วแหวนเงินทอง ยศถาบรรดาศักดิ์ ล้วนไม่มีค่าเท่าน้ำใจของเสด็จพ่อ”
ฮ่องเต้แย้มยิ้ม “ฉางเล่อกล่าวถูกต้องแล้ว เซียงซืออวี่ เช่นนั้นเจ้ามีความปรารถนาใดที่ยังไม่สมหวัง ข้าจะช่วยเจ้าอย่างสุดความสามารถ”
เซียงซืออวี่ครุ่นคิดอยู่ครู่ใหญ่ สีหน้าดูเจ็บปวดและสับสนเล็กน้อย ผ่านไปครู่หนึ่งจึงค่อยพูดอย่างแช่มช้าว่า “ฝ่าบาทยังไม่ทรงทราบ กระหม่อมมีโรคประหลาดติดตัวมาแต่เด็ก ท่านพ่อกับท่านแม่เป็นห่วงกระหม่อมมาก ตอนเจ็ดขวบท่านแม่จากโลกนี้ไป เหลือเพียงท่านพ่อคนเดียว ที่ช่วยกระหม่อมตามหายาวิเศษไปทั่วทิศ ปีที่แล้วในที่สุดกระหม่อมก็รักษาโรคประหลาดหาย แต่เขากลับ…จากกระหม่อมไปอย่างไม่มีวันหวนกลับ ฝ่าบาททรงถามว่ากระหม่อมมีความปรารถนาใด เซียงซืออวี่เพียงหวังว่าท่านพ่อกับท่านแม่จะฟื้นคืนชีพ เพื่อกลับมาอยู่กันอย่างพร้อมหน้าอีกครั้ง”
น้ำเสียงของเขาราบเรียบทว่ากลับหนักอึ้งเกินบรรยาย แต่ละวาจาล้วนหนักแน่นดั่งขุนเขา กดทับและบีบคั้นหัวใจผู้คน จนทำให้หายใจแทบไม่ออก
หัวใจของซูหลีสะท้านเล็กน้อย นางอดไม่ได้ที่จะหันไปมองบุรุษผู้นี้อีกครั้ง ท่ามกลางศาลาอวิ๋นไหลอันกว้างใหญ่ ใบหน้าของเซียงซืออวี่อ้างว้างเดียวดาย เขายืนอยู่ตรงกลาง แสงไฟอันสวยงามสาดส่องบนกายเขา เกิดเป็นเงาสีดำยาวๆ ทาบทับบนพื้น ยิ่งขับเน้นให้ดูโดดเดี่ยวเดียวดาย ดูแตกต่างกับสามพ่อลูกที่ยืนอยู่เบื้องหน้าอย่างชัดเจน
บุตรอยากเลี้ยงดูพ่อแม่ แต่พ่อแม่กลับจากไปเสียแล้ว นี่เป็นเรื่องที่น่าเศร้าที่สุดในชีวิตคนเรา ซูหลีเคยสูญเสียคนในครอบครัว เข้าใจดีว่ามันเป็นความเจ็บปวดที่ไม่อาจบรรยายได้ ยามนี้นางจึงยิ่งหวงแหนความรักในครอบครัวที่นางได้มาอย่างยากลำบาก นางอดหันไปมองบิดาที่อยู่ข้างกายไม่ได้ สายตาของฮ่องเต้แคว้นติ้งดูเจ็บปวด เขากุมมือธิดาอันเป็นที่รักไว้แน่น
ทุกคนเงียบงันไปชั่วขณะ รอบด้านเงียบกริบผิดปกติ
ครั้นเห็นว่าเนิ่นนานก็ยังไร้คำตอบ เซียงซืออวี่พลันได้สติขึ้นมา เขารีบปรับสีหน้าให้เป็นปกติ แล้วกล่าวเสียงเบาว่า “กระหม่อมเสียมารยาทแล้ว ฝ่าบาทโปรดประทานอภัยด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้แคว้นติ้งกล่าวด้วยน้ำเสียงปวดใจ “นึกไม่ถึงว่าเจ้ายังเป็นบุตรกตัญญูรู้คุณด้วย! เพียงแต่ ความปรารถนานี้ของเจ้า ข้าเองก็ไม่อาจช่วยให้สมหวังได้”
เซียงซืออวี่เอ่ยเสียงเบา “เป็นกระหม่อมที่เสียมารยาทเองพ่ะย่ะค่ะ ไม่รู้ทำไม ครั้นเห็นฝ่าบาทกับองค์รัชทายาท และองค์หญิงทรงรักใคร่ปรองดอง กระหม่อมก็อดนึกถึงท่านพ่อและความทรงจำที่มีร่วมกันไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ”
หลางฉ่างเดินไปยืนข้างกายเซียงซืออวี่ แล้วตบไหล่เขาเบาๆ “คนตายไม่อาจฟื้นคืน คุณชายเซียงควรเป็นห่วงสุขภาพตนเองก่อน อย่าได้โศกเศร้าจนเกินไป”
เซียงซืออวี่ยิ้มอย่างอ้างว้าง “องค์รัชทายาททรงกล่าวถูกต้อง กระหม่อมเข้าใจดีพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้แคว้นติ้งจ้องหน้าเขาครู่หนึ่ง แล้วก็พลันกล่าวเสียงเข้ม “ในเมื่อเจ้าไม่แสวงหาชื่อเสียงและผลประโยชน์ เช่นนั้นข้าจะมอบป้ายผ่านทางให้เจ้าหนึ่งป้าย ช่วงที่อยู่แคว้นติ้ง เจ้าเข้าออกวังเพื่อมาพบข้าได้ตลอดเวลา ข้าตระหนักได้ถึงความรักที่เจ้ามีต่อครอบครัว ถือว่าตอบแทนเจ้าที่ช่วยลูกๆ ของข้า”
เซียงซืออวี่ตกตะลึง ราวกับไม่อยากเชื่อ
หลางฉ่างเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม “คราวนี้คุณชายคงไม่มีเหตุผลให้ปฏิเสธแล้ว”
เซียงซืออวี่ตื้นตัน รีบก้าวเข้าไปคุกเข้าหมอบกายกล่าวขอบคุณ “ขอบพระทัยในพระมหากรุณาธิคุณของฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ!”
ฮ่องเต้แคว้นติ้งหัวเราะเสียงดัง แล้วกล่าวว่า “ดี เด็กๆ ยกเก้าอี้เข้ามา!”
ในงานเลี้ยงทุกคนนั่งประจำที่ แบ่งออกเป็นสองแถว หลางฉ่างกับซูหลีนั่งที่แถวซ้าย นางกำนัลนำทางเซียงซืออวี่ไปยังเก้าอี้ตัวแรกฝั่งขวา เซียงซืออวี่ลังเล ไม่ยอมเข้าไปนั่ง เขามองหลางฉ่างแล้วกล่าวเสียงเบา “กระหม่อมฐานะต่ำต้อย นั่งด้านหลังก็พอ เก้าอี้ตัวนี้เก็บไว้ให้ฮ่องเต้แคว้นเฉิงดีกว่าพ่ะย่ะค่ะ” เอ่ยจบ เขาก็เดินไปนั่งเก้าอี้ตัวหลัง
ครั้นวาจานี้หลุดออกไป ใบหน้าของฮ่องเต้แคว้นติ้งก็ขรึมลง เขาถามด้วยความไม่พอใจ “ตงฟางเจ๋อยังไม่มาอีกหรือ?”
หลางฉ่างขมวดคิ้วเล็กน้อย หันไปมองซูหลีด้วยสายตาสอบถาม
ซูหลีแย้มยิ้มเล็กน้อย กล่าวว่า “น่าจะใกล้ถึงแล้ว เสด็จพี่ อย่างไรเปิดงานก่อนเถิดเพคะ อย่าปล่อยให้คุณชายรอนานเลย”
เซียงซืออวี่ยิ้มพลางเอ่ยว่า “กระหม่อมไม่เป็นไรพ่ะย่ะค่ะ แต่ไม่ควรปล่อยให้ฝ่าบาทรอนานเกินไปจึงจะดี องค์หญิงเองก็ไม่ต้องเป็นห่วงมาก ฮ่องเต้แคว้นเฉิงมีราชกิจติดพัน บางทีอาจมีเรื่องทำให้เสียเวลาไปเล็กน้อย”
ซูหลีแย้มยิ้มแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรอีก
ฮ่องเต้แคว้นติ้งแค่นเสียงเย็นชา เขาวางถ้วยชาในมือแรงๆ “ในเมื่อเขารับปากว่าจะมางานเลี้ยง ก็ควรมาให้ตรงเวลา! ดูท่าข่าวลือคงเป็นความจริง คนผู้นี้โอหังหยิ่งยโส ไม่เห็นสิ่งใดอยู่ในสายตาทั้งสิ้น!”
ซูหลีตกใจ หมายจะเอ่ยปากพูดอะไรบางอย่าง เซียงซืออวี่กลับชิงเอ่ยปากก่อน เขายิ้มแล้วกล่าวว่า “ได้ยินมานานว่าฮ่องเต้แคว้นติ้งทรงพระปรีชาสามารถ ชำนาญทั้งพิณ หมาก การเขียนอักษร และวาดภาพพู่กัน กระหม่อมเลื่อมใสมานาน ไม่ทราบจะขอคำชี้แนะจากฝ่าบาทได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”
สีหน้าของฮ่องเต้แคว้นติ้งอ่อนลง “คุณชายเซียงก็ชื่นชอบศาสตร์เหล่านี้หรือ?”
เซียงซืออวี่ลุกขึ้นชูถ้วยสุรา กล่าวเสียงดังฟังชัด “กระหม่อมมักอยู่ลำพัง ถึงแม้ชื่นชอบแต่กลับมีโอกาสร่ำเรียนน้อย หากฝ่าบาทให้คำชี้แนะได้ กระหม่อมจะซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณอย่างยิ่ง กระหม่อมขอคารวะฝ่าบาทหนึ่งจอกพ่ะย่ะค่ะ!” เอ่ยจบ ก็ดื่มสุราหมดในรวดเดียว ฮ่องเต้แคว้นติ้งเองก็ดื่มตามเช่นกัน
เซียงซืออวี่ถามเกี่ยวกับการเขียนอักษรและการวาดภาพหลายคำถาม เบี่ยงเบนความสนใจของฮ่องเต้แคว้นติ้งออกไปอย่างแนบเนียน ทั้งสองพูดคุยและหัวเราะอย่างเบิกบาน แม้แต่หลางฉ่างที่ยืนอยู่ด้านหนึ่ง ก็ยังทำได้เพียงพูดแทรกเป็นครั้งคราวเท่านั้น บรรยากาศในงานเลี้ยงรื่นเริงสงบสุข
อาหารเลิศรสถูกนำมาวางตรงหน้า เพียบพร้อมทั้งรูปรสและกลิ่นสี กลิ่นหอมลอยโชยไปทั่วทิศ กระตุ้นต่อมอยากอาหารของทุกคน ซูหลีกลับไม่มีใจอยากลิ้มรส นางคีบอาหารเพียงไม่กี่คำก็วางลง ท้องฟ้ายามราตรีแผ่ปกคลุมนอกหน้าต่าง งานเลี้ยงดำเนินไปกว่าครึ่งแล้ว ตงฟางเจ๋อรู้ทั้งรู้ว่างานเลี้ยงในวันนี้มีความสำคัญมาก เขาไม่มีทางไม่มาร่วมอย่างไร้สาเหตุแน่นอน ลางสังหรณ์บางอย่างผุดขึ้นมาในใจนาง นางเรียกหวั่นซินมา แล้วกำชับเสียงเบา “ไปดูหน่อยเถิดว่าเกิดอะไรขึ้น”
หวั่นซินรับคำสั่งแล้วออกไป
ในตอนนั้น เซียงซืออวี่ชำเลืองมองซูหลีคล้ายไม่ตั้งใจ ในดวงตากลับมีความอ่อนโยนแฝงอยู่อย่างบอกไม่ถูก
………….