กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - บทที่ 53 เจ๋อหลีบังเอิญพบกันอีกครั้ง (2)
เซียงซืออวี่ล้วงของสิ่งหนึ่งออกมาจากอกเสื้อ สายตาพลันแปรเปลี่ยนเป็นอ่อนโยน เขามองซูหลีแล้วกล่าวว่า “บนเกาะฉางหลี เจ้าบอกว่าต้องเอาดอกหลีไปเคลือบไว้เหมือนผลึกอำพัน จึงจะสามารถทำให้ดอกหลีไม่ร่วงโรยตลอดกาล และไม่เปลี่ยนสีกลิ่นไม่จางหาย…” เขาดึงมือนางไป แล้ววางของสิ่งนั้นลงบนมือนางเบาๆ “ได้ยินว่าฉางเล่อเองก็ชอบดอกหลีมาก สิ่งนี้ มอบให้เจ้า!”
ผลึกอำพันสีใสสะอาดเม็ดนั้น มีดอกหลีที่กำลังเบ่งบานถูกเคลือบไว้ตรงกลาง งดงามพิสุทธิ์ สดใสราวกับเพิ่งร่วงลงมาจากกิ่ง
ซูหลีใช้นิ้วมือลูบผิวสัมผัสอันเรียบลื่น อุณหภูมิเย็นๆ ราวกับซาบซ่านไปถึงหัวใจนาง นางเงยหน้าเล็กน้อย ตอนแรกก็ขอหมั้นหมายด้วยวาจาจากใจ ต่อมาก็มอบของแทนใจ สายตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึกอันลึกซึ้ง ราวกับถลำลึกไปกับบทบาทของตนเอง ทุกการกระทำ พาให้ผู้คนยากจะแยกแยะจริงเท็จ ซูหลีอดใจสั่นไม่ได้
เซียงซืออวี่จ้องนางด้วยสายตาอันอ่อนโยนและลึกซึ้ง “เจ้าไม่ชอบหรือ?”
ซูหลีจ้องเขากลับเงียบๆ ซ่อนความตกใจเอาไว้ข้างใน แล้วเอ่ยเสียงราบเรียบ “ชอบ”
เซียงซืออวี่ยิ้มอย่างดีใจ หมายจะกุมมือนาง ซูหลีถอยหลังหลบมือเขาโดยสัญชาตญาณ เซียงซืออวี่เก้อเขิน แต่ไม่นานก็รีบยิ้มแล้วบอกว่า “ข้ารู้ว่าฉางเล่อไม่อาจตอบรับความรู้สึกของข้าได้ในทันที ไม่เป็นไร ข้าเชื่อว่าหากข้าดีกับเจ้าไปเรื่อยๆ สักวัน เจ้าจะยอมรับข้าได้!”
ซูหลีเบือนหน้าหนี แล้วกล่าวว่า “หากข้าไม่มีวันยอมรับท่านได้เล่า?”
เซียงซืออวี่เอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง “นั่นจะต้องเป็นเพราะว่าข้ายังดีกับเจ้าไม่มากพอ! ฉางเล่อ ข้าจะดีกับเจ้าให้มากขึ้นเรื่อยๆ จะไม่มีวันโทษเจ้าที่เจ้าไม่ชอบข้า!”
ฮ่องเต้แคว้นติ้งได้ยินเช่นนั้นดวงตาพลันเป็นประกาย กล่าวด้วยความยินดีว่า “ดี! ไม่เสียแรงที่เป็นราชบุตรเขยที่ข้าเลือก! ฮองเฮา เจ้าให้คนเตรียมการที เรื่องการหมั้นหมายของฉางเล่อ ข้าจะประกาศให้โลกรู้!”
ฮองเฮายิ้มแล้วกล่าวว่า “หม่อมฉันจะไปจัดการเดี๋ยวนี้เพคะ”
ซูหลีสะท้านไปทั้งใจ รีบรั้งฮองเฮา แล้วหันไปเอ่ยกับฮ่องเต้แคว้นติ้งว่า “เสด็จพ่อช้าก่อนเพคะ! งานแต่งของเสด็จพี่ใกล้มาถึงแล้ว จะต้องมีเรื่องราวให้จัดการมากมายแน่นอน เสด็จแม่ยุ่งมากพอแล้ว รอให้ผ่านช่วงนี้ไปค่อยประกาศก็ยังไม่สายนะเพคะ”
ฮ่องเต้แคว้นติ้งชะงักเล็กน้อย ถอนหายใจแล้วกล่าวว่า “ฉางเล่อ เจ้ายังคงตัดใจจากเขาไม่ได้! เรื่องนี้ ช้าเร็วอย่างไรเขาก็ต้องรู้”
ซูหลีเม้มปาก ดึงมือฮ่องเต้แคว้นติ้งมากุม แล้วเอ่ยอย่างอ้อนวอน “เสด็จพ่อวางใจเถิด เรื่องที่ลูกรับปากท่าน จะไม่มีทางคืนคำแน่นอน แต่ระหว่างลูกกับคนผู้นั้น ก็จำต้องตัดขาดอย่างชัดเจน ลูกขอเวลาอีกสักหน่อย เสด็จพ่อเองก็คงไม่อยากเร่งรัดให้ลูกรีบแต่งงาน จนไม่มีความสุขในอนาคตใช่หรือไม่เพคะ?”
ฮ่องเต้แคว้นติ้งใจอ่อน รู้ดีว่าหัวใจนางเป็นของผู้ใด แต่กลับหวังอยากให้นางแต่งงานกับผู้อื่น นี่เป็นความเห็นแก่ตัวของคนเป็นบิดาเช่นเขา ที่อยากให้นางมีความสุขและใช้ชีวิตอย่างมั่นคงไปตลอดชีวิต ถ้าหากสุดท้ายผลลัพธ์ที่ได้กลับตรงกันข้าม ย่อมไม่ใช่สิ่งที่เขาอยากเห็น ฮ่องเต้แคว้นติ้งกุมมือธิดาอันเป็นที่รัก แล้วกล่าวว่า “ได้ ฉางเล่อของข้า จะต้องจัดการทุกอย่างได้ดีอย่างแน่นอน พ่อเองก็จะรอจนถึงวันที่เจ้าแต่งงานอย่างมีความสุขเช่นกัน!”
ซูหลีพยักหน้าทั้งน้ำตา
ขณะออกจากตำหนักชิ่งอัน สายตาที่เต็มไปด้วยความคาดหวังของฮ่องเต้แคว้นติ้ง เสมือนก้อนหินขนาดใหญ่ที่กดทับหัวใจของซูหลี ทำให้นางแทบหายใจไม่ออก หลังจากกล่าวลากับเซียงซืออวี่ หัวใจนางเต็มไปด้วยความเศร้า กลับเดินไปที่ตำหนักชิงหยางของซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยโดยไม่รู้ตัว ครั้นเดินมาถึงครึ่งทาง จึงค่อยนึกขึ้นได้ว่าหลายวันนี้อวิ๋นฮุ่ยกลับจวนไปเซ่นไหว้วิญญาณบิดาของนาง ซูหลีไม่รู้จะระบายความในใจให้ผู้ใดฟัง ยามนี้มีเพียงอวิ๋นฮุ่ยเท่านั้นที่จะเข้าใจนาง ฉะนั้นจึงขี่ม้ามุ่งหน้าไปยังจวนแม่ทัพซั่งกวนที่อยู่นอกเมืองทันที
ม้าวิ่งด้วยความเร็วตลอดเส้นทาง เสียงลมหวีดหวิวกรีดพัดผ่านใบหู เหมือนความทุกข์ในใจที่ไร้ที่ระบายในยามนี้ของนาง
ครั้นมาถึงหน้าจวน ซูหลีกระโดดลงจากม้า พ่อบ้านเดินเข้ามาทำความเคารพ แล้วกล่าวอย่างสุภาพนอบน้อม “องค์หญิงโปรดตามกระหม่อมมา ยามนี้ท่านหญิงอยู่ที่ห้องหนังสือ กำชับเป็นพิเศษว่าไม่ให้ผู้ใดเข้าไปรบกวน”
ซูหลีพยักหน้า “ขอบคุณมาก”
พ่อบ้านนำทางซูหลีมาถึงห้องหนังสือ เขาเคาะประตูเบาๆ แล้วรายงาน “ทูลท่านหญิง องค์หญิงฉางเล่อเสด็จมาพ่ะย่ะค่ะ”
“ฉางเล่อ?” เงียบงันไปครู่หนึ่ง เสียงของซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยก็ดังออกมาจากข้างใน กลับแฝงไว้ด้วยแววลนลานอย่างปิดไม่มิด
ซูหลีกระดกคิ้วด้วยความประหลาดใจ
ผ่านไปครู่หนึ่ง เสียงฝีเท้าแผ่วเบาก็ดังมาจากข้างใน มาจนถึงหน้าประตู ประตูห้องถูกเปิดออกเสียงดัง ‘แอ๊ด’ ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยแย้มยิ้มเหมือนปกติ “ฉางเล่อมาเยี่ยมถึงเรือน ถือเป็นเกียรติโดยแท้ รีบเข้ามาเร็ว ลุงหลี่ รบกวนท่านนำชามาที” พ่อบ้านหลี่รับคำแล้วจากไป
ซูหลีก้าวเข้าไปในห้องหนังสือ กวาดสายตามองไปรอบๆ ด้านบนชั้นวางหนังสือด้านซ้ายเต็มไปด้วยตำรามากมาย สี่คัมภีร์แห่งจักรพรรดิ ทฤษฎีทางสายกลาง ตำราพิชัยยุทธ์สงคราม บทกวีเพลงกลอน ขอบข่ายความรู้กว้างขวาง ตรงกลางคือโต๊ะหนังสือขนาดใหญ่ บนกำแพงด้านหลังมีธนูยาวเก่าๆ คันหนึ่งแขวนไว้ รวมถึงกระบี่เล่มหนึ่ง คงเป็นของที่ระลึกของแม่ทัพซั่งกวน ฝั่งซ้ายมีห้องด้านในห้องหนึ่ง ยามนี้กลับปิดประตูสนิท ด้านล่างหน้าต่างมีหมากกระดานหนึ่งวางไว้ หมากสีขาวดำวางสลับเรียงราย เห็นได้ชัดว่ายังเล่นไม่จบ
ซูหลีละสายตาออกมา แย้มยิ้มเล็กน้อย “อวิ๋นฮุ่ยหลงใหลในการเดินหมากมากจริงๆ อยู่ลำพังก็ยังต้องฝึกซ้อม”
ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยหลุบตา ถอนหายใจแล้วกล่าวว่า “ก็แค่เล่นฆ่าเวลาไปอย่างนั้นเอง”
พ่อบ้านหลี่นำชามาถวาย หญิงสาวทั้งสองแยกกันนั่งคนละด้าน ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยเอ่ยถามพลางแย้มยิ้ม “จู่ๆ วันนี้ฉางเล่อก็มาเยี่ยม มีเรื่องด่วนใดหรือไม่?” รอยยิ้มนางยังคงเหมือนปกติ สายตากลับแฝงแววหยั่งเชิงเล็กน้อย
ซูหลีส่ายหน้า เงียบไปครู่หนึ่ง แล้วเอ่ยเสียงเบาว่า “ข้าเพียงแต่…รู้สึกสับสนยิ่งนัก อยากมาพูดคุยกับเจ้าสักหน่อย วันนี้…เซียงซืออวี่ขอข้าแต่งงานต่อหน้าเสด็จพ่อ หลังงานแต่งงานของเสด็จพี่ ก็จะประกาศเรื่องนี้ให้โลกรู้”
ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยหน้าเปลี่ยนสีไปทันที “หมั้นหมายงั้นหรือ? ฝ่าบาททรงอนุญาตแล้ว?” ครั้นหลุดวาจานี้ออกไป นางยกมือทาบอกอย่างลืมตัว ความกังวลพลันบังเกิด เหลือบมองประตูห้องด้านหลังที่ปิดสนิทด้วยหางตา
ซูหลีขมวดคิ้ว มัวแต่กลัดกลุ้มใจ จึงไม่ทันสังเกตเห็นพฤติกรรมแปลกๆ ของนาง เพียงกล่าวด้วยน้ำเสียงขมขื่น “เสด็จพ่อมีอคติกับเขามาก คิดแต่อยากได้เซียงซืออวี่มาเป็นราชบุตรเขย สถานการณ์ในตอนนี้ บีบบังคับให้ข้าไม่อาจขัดพระทัยเสด็จพ่อได้แม้แต่น้อย…”
ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยเดินมาหานาง แล้วเอ่ยด้วยความเป็นห่วง “ฝ่าบาททำเพราะหวังดีกับฉางเล่อ แต่กลับลืมไปว่าหากบังคับให้เจ้าแต่งงานกับคนที่ไม่ได้ชอบ เจ้าจะมีความสุขได้เช่นไร”
ซูหลีถอนหายใจเล็กน้อย ท่ามกลางความจนใจเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า “ข้ากับเซียงซืออวี่ตกลงกันแล้วว่า การหมั้นหมายเป็นเพียงแผนรับหน้าชั่วคราว”
ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยชะงักงัน ไม่นานก็เข้าใจความหมายในวาจานาง อดถอนหายใจไม่ได้ นางกล่าวว่า “ดูท่าแล้ว ความรู้สึกที่เซียงซืออวี่ผู้นี้มีต่อเจ้าก็ไม่ใช่ของปลอม”
ซูหลีฝืนยิ้ม “คราวที่แล้วที่เจอกันบนเกาะฉางหลี ข้าบอกกับเขาชัดเจนแล้ว แต่เขากลับยังยอมช่วยข้าปลอบขวัญเสด็จพ่อ”
ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยเองก็พูดไม่ออกไปชั่วขณะ ผ่านไปครู่หนึ่งก็ถอนหายใจยาวๆ แล้วกล่าวอย่างห่วงใย “เหตุการณ์ระเบิดที่โรงหล่อยังไม่ได้เบาะแสอีกหรือ?”
ซูหลีส่ายหน้าเบาๆ แล้วเอ่ยอย่างเศร้าโศก “เรื่องนี้รับมือยากมาก สืบมานานถึงเพียงนี้แล้ว กลับไม่พบเบาะแสอะไรเลย เสด็จพ่อและเสด็จพี่คิดว่าตงฟางเจ๋อมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ข้ากลับรู้สึกว่าเรื่องราวไม่ได้มีแค่ที่เห็นภายนอก แต่ว่า หากสืบหาความจริงไม่ได้ เกรงว่าสายสัมพันธ์ระหว่างสองแคว้นจะสั่นคลอน นั่นเป็นเรื่องที่ข้าไม่อยากให้เกิดขึ้นมากที่สุด”
ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยรีบเอ่ยปลอบใจนาง “เจ้าอย่าเพิ่งร้อนใจไป ในเมื่อมีคนคิดจะยุแยงสองแคว้นให้แตกคอกัน ช้าเร็วอย่างไรก็ต้องเผยร่องรอย พอถึงตอนนั้นต้องได้เบาะแสอะไรบ้างแน่นอน!”
ซูหลีกล่าวด้วยน้ำเสียงหดหู่ “แต่ไม่รู้ว่าต้องรอไปจนถึงเมื่อไหร่ หากข้าไม่อาจสืบหาความจริงได้โดยเร็ว ทุกคนก็ไม่อาจสบายใจได้เสียที! อวิ๋นฮุ่ย…เป็นเพราะข้าโลภเกินไปหรือไม่ ที่อยากสมปรารถนาทุกเรื่อง จนสุดท้ายทำให้ทุกอย่างออกมาตรงกันข้ามเช่นนี้?”
สายตาของนางแฝงแววเจ็บปวด แววสับสนและขัดแย้งชัดเจนถึงเพียงนั้น ทำให้ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยปวดใจ นางขยับเข้าไปใกล้ แล้วโอบไหล่ซูหลีเบาๆ กล่าวอย่างห่วงใยว่า “ฉางเล่อ นี่ไม่ใช่ความผิดของเจ้า! เจ้าไม่จำเป็นต้องโทษตนเอง!”
เรือนร่างอรชรราวกับมีพลังที่สามารถปลอบประโลมใจคนได้ ซูหลีเอนกายซบนาง รู้สึกเพียงอ้อมแขนของนางช่างอบอุ่นและอ่อนโยนเหลือเกิน ความคิดถึงและเรื่องกลัดกลุ้มที่สะสมอยู่ในใจมาหลายวัน พลันมลายหายไปทันที นางพึมพำเสียงเบา “แต่ก่อนข้ามักรู้สึกว่าตงฟางเจ๋อฉลาดเกินไป เอาแต่คิดคำนวณอยู่ตลอดเวลา แต่ยามนี้พอเป็นเรื่องความรัก เขากลับยึดมั่นในรักเดียว โง่เขลาจนทำให้ข้ารู้สึกปวดใจ ร่างกายถูกพิษเย็นแต่กลับปกปิดไม่ยอมบอกข้าสักคำ! ตอนที่เขาไป พิษในร่างยังขับออกไม่หมด บาดแผลก็ยังไม่หายดี ตอนนี้ไม่รู้ว่าจะดีขึ้นบ้างหรือยัง…อวิ๋นฮุ่ย…ข้ากับเขา ผ่านเรื่องราวความรักความแค้นกันมามากมาย ร่วมเป็นร่วมตายกันมานับครั้งไม่ถ้วน มาถึงตอนนี้ เหตุใดจึงไม่อาจอยู่เคียงข้างกันได้…ต้องรอไปจนถึงเมื่อใดกัน…” เอ่ยถึงประโยคสุดท้าย นางเริ่มสะอื้นเล็กน้อย เสียงแผ่วเบาเสียงหนึ่งคล้ายเสียงกระดิ่งห้อยเส้นด้ายก็พลันดังขึ้นเลือนราง จนแทบไม่ได้ยิน
เสียงขับขานของกระบี่ประกายแสงดุจสายน้ำ
สายตาของซูหลีตื่นตะลึง แทบไม่อยากเชื่อ นางลุกขึ้นยืน ผละออกจากอ้อมแขนของซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ย แล้วมองไปรอบห้อง
ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยตกใจ รีบถามด้วยความประหลาดใจ “ฉางเล่อ เจ้าเป็นอะไรไป เกิดอะไรขึ้นหรือ?”
ซูหลีจ้องประตูห้องที่ปิดสนิทบานนั้น ค่อยๆ สาวเท้าเข้าไปทีละก้าวๆ เสียงขับขานของกระบี่ดังชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ มือของนางที่จับกระบี่ดุจสายน้ำตรงเอวสั่นเทาอย่างไม่อาจควบคุม
ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยที่อยู่ข้างหลัง ขานเรียกด้วยน้ำเสียงสั่นๆ “ฉางเล่อ เจ้า”
ซูหลีจ้องมองประตูบานนั้น สีหน้าแสดงออกถึงความสับสนและประหลาดใจ เสียงขับขานแหลมใสของกระบี่ ราวกับดังก้องอยู่ในสมอง นางทนไม่ไหวอีกต่อไป ยกฝ่ามือซัดออกไป บานประตูเปิดออกทันใด
————————————