กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - บทที่ 56.1 นัดหมายของพวกเขา (1)
ซูหลีลอบถอนหายใจ หันไปเห็นสีหน้าที่ไม่ได้แปลกใจแม้แต่น้อยของตงฟางเจ๋อ นางก็พลันสะดุดใจ เอ่ยถามเสียงเบา “ท่านเชิญเสด็จพี่มาหรือ?”
ตงฟางเจ๋อไม่ตอบ เพียงแย้มยิ้มเล็กน้อย แล้วยกนิ้ววางบนกลีบปากนางเบาๆ บ่งบอกว่าไม่ให้ส่งเสียง
ซูหลีลอบถอนหายใจ เขาซ่อนตัวมาหลายวันจนเจอเบาะแสในที่สุด ย่อมต้องเชิญหลางฉ่างมาเพื่ออธิบายความจริง นึกไม่ถึงว่ากลับเป็นการแก้ไขเรื่องฮั่วถิงชวนโดยบังเอิญ
หลางฉ่างเอ่ยเสียงขรึม “ฉางผิงโหวนับวันยิ่งโอหังมากขึ้นเรื่อยๆ แล้ว ยามนี้แม้แต่สิ่งของพระราชทานก็ไม่เห็นอยู่ในสายตาแล้วหรือ?” เขาเป็นคนอ่อนโยนสุขุมมาโดยตลอด ยามนี้ในน้ำเสียงกลับแฝงแววเกรี้ยวโกรธเล็กน้อย
ฮั่วถิงชวนกล่าวอย่างไร้ความเกรงกลัว “กระหม่อมได้รับข่าวว่า ผู้ต้องสงสัยในคดีระเบิดโรงหล่อซ่อนตัวอยู่ในจวนแม่ทัพแห่งนี้ คดีนี้เกี่ยวพันถึงเรื่องใหญ่ ฝ่าบาทมีรับสั่งว่าจะต้องสืบให้กระจ่าง กระหม่อมย่อมมิอาจปล่อยผู้ต้องสงสัยให้เล็ดลอดไปได้แม้แต่คนเดียว หากองค์รัชทายาทมีความเห็นต่าง รอให้กระหม่อมจับตัวผู้ต้องสงสัยได้เมื่อใด กระหม่อมจะไปอธิบายต่อหน้าพระพักตร์แน่นอน!”
หลางฉ่างกล่าวด้วยความเดือดดาลเล็กน้อย “ฉางผิงโหวจะจับคนต้องมีหลักฐาน อาศัยฟังความจากฝ่ายเดียวก็คิดจะค้นจวน เห็นสิ่งของพระราชทานก็ยังกล้าทำเพิกเฉย ฉางผิงโหวคิดจะลบหลู่เบื้องสูงเช่นนั้นหรือ?”
ฮั่วเสี่ยวหมานร้องด้วยความตกใจ “พี่ชายรัชทายาท ท่านพ่อมิได้หมายความเช่นนั้นนะเพคะ เขา เขาเพียงร้อนใจอยากจับตัวคนร้ายเท่านั้น!”
ฮั่วถิงชวนตะโกนเสียงดัง “หมานเอ๋อร์หลีกไป!” เขาแค่นเสียงขึ้นจมูก “องค์รัชทายาทกล้าพูดว่าลบหลู่เบื้องสูง เช่นนั้นพระองค์เคยเห็นกระหม่อมที่เป็นว่าที่พ่อตาฮ่องเต้ในอนาคตอยู่ในสายตาหรือไม่?”
หลางฉ่างเอ่ยด้วยน้ำเสียงข่มกลั้นความโกรธ “ข้านับถือสกุลฮั่วที่ทำงานรับใช้ชาติมานาน ทั้งยังภักดีต่อเสด็จพ่อ เหน็ดเหนื่อยตรากตรำและมีผลงานใหญ่หลวง จึงยอมโอนอ่อนให้เสมอ ยามนี้ฉางผิงโหวมีตำแหน่งสำคัญ ไม่คิดแบ่งเบาภาระผู้เป็นนาย ตรงกันข้ามกลับยิ่งกำเริบเสิบสาน ไม่เห็นข้าอยู่ในสายตาแม้แต่น้อย ฉางผิงโหวโปรดอย่าลืม ข้าเป็นว่าที่ฮ่องเต้ บุตรสาวของท่านก็เป็นว่าที่มารดาของแผ่นดิน และท่านในฐานะพ่อตาฮ่องเต้ ยิ่งมิอาจใช้อำนาจในทางมิชอบ ลบหลู่เบื้องสูง!” เอ่ยถึงประโยคสุดท้าย น้ำเสียงของเขาแปรเปลี่ยนเป็นคมปลาบเล็กน้อย
ฮั่วถิงชวนกลับหัวเราะด้วยความเดือดดาล “ดี ดีเหลือเกิน! วันนี้พระองค์ขัดขวางทุกวิถีทางเพื่อไม่ให้กระหม่อมจับตัวผู้ต้องสงสัย กระหม่อมกลับอยากรู้นัก ว่ารับสั่งของฝ่าบาทสำคัญกว่า หรือฐานะขององค์รัชทายาทจะสำคัญกว่า! ทหาร ค้นให้ทั่ว!”
“ฮั่วถิงชวน! ท่าน!” หลางฉ่างกล่าวด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวโกรธ “ทหาร! ผู้ใดกล้าล่วงเกิน ข้าจะไม่มีวันปล่อยไปแน่นอน!”
ความขุ่นเคืองที่สะสมมาเนิ่นนานถูกระบายออกมาในคราวเดียว สถานการณ์ตึงเครียด พร้อมปะทุได้ทุกเมื่อ
ซูหลีลอบขมวดคิ้วเล็กน้อย ฮั่วถิงชวนกำเริบเสิบสานถึงเพียงนี้ แม้แต่เสด็จพี่ก็ยังไม่เห็นอยู่ในสายตา หากเกิดการปะทะกัน เกรงว่าจะยิ่งอธิบายกับเสด็จพ่อลำบากกว่าเดิม นางลุกขึ้นหมายจะเปิดประตู ตงฟางเจ๋อกลับกอดนางไว้แน่น ยิ้มแล้วกล่าวว่า “เจ้าจะรีบไปไหน? กลัวว่าเสด็จพี่ของเจ้าจะขวางเขาไม่อยู่หรือ?”
ซูหลีถมึงตาจ้องหน้าเขา “นี่มันเวลาไหนแล้ว ท่านยังมีอารมณ์พูดเล่นอีก?”
ตงฟางเจ๋อถอนหายใจ กล่าวว่า “หลางฉ่างเป็นว่าที่ฮ่องเต้ หากฮั่วถิงชวนคนเดียวยังกำราบไม่ได้ แล้วเขาจะเป็นเจ้าแผ่นดินได้เช่นไร?”
ได้ยินเพียงหลางฉ่างออกคำสั่งด้วยเสียงดังกังวาน “ฮั่วถิงชวนลบหลู่เบื้องสูง โทษหนักไม่อาจอภัย ทหาร จับตัวคนผู้นี้ไว้!”
ทหารรีบปรี่เข้าไปหมายจะจับกุม ฮั่วเสี่ยวหมานหน้าซีดเผือด ร้องด้วยความตกใจ “ไม่นะ!” จากนั้นร่างกายพลันไร้เรี่ยวแรง ล้มลงไปทันที
หลางฉ่างกับฮั่วถิงชวนตกตะลึง ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยรีบพุ่งตัวเข้าไปประคองนาง และตะโกนด้วยความร้อนรน “อย่ามัวโต้เถียงกันอีกเลย รีบไปตามหมอมาดูอาการหมานเอ๋อร์เร็วเข้า!”
ฮั่วเสี่ยวหมานกุมมือซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ย แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงปวดใจ “ไม่ ข้าไม่อยากได้หมอ ข้าอยากกลับบ้าน…”
ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยชะงักเล็กน้อย คล้ายตระหนักได้ นางหันไปมองหลางฉ่างอย่างลังเล
หลางฉ่างจ้องฮั่วเสี่ยวหมานในอ้อมแขนนาง สีหน้าสับสน แต่กลับไม่พูดอะไร
ฮั่วถิงชวนสองจิตสองใจ กลับไม่บันดาลโทสะอย่างที่คาดไว้
ฮั่วเสี่ยวหมานพยายามลุกขึ้นยืน ค่อยๆ เดินไปหาหลางฉ่าง แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงร้อนรน “พี่ชายรัชทายาท ท่านพ่อแค่เป็นคนใจร้อน แต่จงรักภักดีไม่เคยคิดเป็นอื่น ท่านอย่าโกรธเลย อย่าโกรธเลย…”
ใบหน้าหลางฉ่างคร่ำเคร่ง ยังคงมองหน้านางแต่ไม่พูดอะไร ในสายตากลับเต็มไปด้วยอารมณ์อันหลากหลาย
ฮั่วเสี่ยวหมานหันไปหาฮั่วถิงชวน แล้วเกลี้ยกล่อมด้วยน้ำเสียงลนลาน “ท่านพ่อ พี่สาวอวิ๋นฮุ่ยเป็นพี่สาวที่แสนดีของหมานเอ๋อร์ นางไม่มีทางซ่อนตัวคนร้ายไว้อย่างแน่นอน ท่านพ่อยอมรามือเถิดนะเจ้าคะ! อีกสามวัน หมานเอ๋อร์กับพี่ชายรัชทายาทจะแต่งงานกันแล้ว ท่านพ่ออยากให้ทุกอย่างสายเกินแก้จริงหรือเจ้าคะ?” เอ่ยถึงประโยคสุดท้าย ขอบตาของนางเริ่มรื้นไปด้วยน้ำใสๆ
ฮั่วถิงชวนเห็นใบหน้าเจ็บปวดของบุตรสาว ท่าทางโอหังอวดดีพลันอ่อนลง ผ่านไปครู่หนึ่ง เขาก็เป็นฝ่ายยอมถอยก่อน “เมื่อครู่เป็นกระหม่อมที่เลอะเลือนเสียมารยาทเอง องค์รัชทายาทโปรดอภัยให้กระหม่อมด้วยพ่ะย่ะค่ะ!”
ใบหน้าของหลางฉ่างก็อ่อนลงเช่นกัน เขากล่าวเสียงเรียบ “ในเมื่อฉางผิงโหวสำนึกผิด ข้าก็จะไม่สืบสาวเอาความอีก หมานเอ๋อร์ไม่สบาย ท่านโหวรีบพานางกลับจวนแล้วเรียกหมอมาดูอาการเถิด เพื่อไม่ให้กระทบถึงวันแต่งงาน”
ฮั่วถิงชวนถอนหายใจ ประคองฮั่วเสี่ยวหมาน แล้วโบกมือด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความกังวล เหล่าทหารถอยทัพออกจากจวนแม่ทัพอย่างรวดเร็ว
หลางฉ่างเองก็สั่งให้ทหารออกไปรอฟังคำสั่งนอกจวนเช่นกัน ไม่นานภายในลานสวนก็เงียบสงบอย่างรวดเร็ว
ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยนำกระบี่ล้ำค่าไปแขวนคืนที่ตำแหน่งเดิม ก่อนจะหมุนกายหันกลับมาเอ่ยเสียงเบา “หมานเอ๋อร์เปลี่ยนไปจากแต่ก่อนมากจริงๆ สถานการณ์เมื่อครู่ นางกลับคิดหาทางแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าได้ทันเวลา มิเช่นนั้นเรื่องในวันนี้ยังไม่รู้จะจบลงเช่นไร สิ่งที่ล้ำค่าที่สุดก็คือนางมีหัวใจอันมั่นคงต่อองค์รัชทายาท ภายหน้าจะต้องเป็นศรีภรรยาที่ดีได้อย่างแน่นอนเพคะ!”
หลางฉ่างถอนหายใจ ก่อนจะกล่าวว่า “นับตั้งแต่ที่เสด็จพ่อพระราชทานการหมั้นหมายให้ ฉางผิงโหวก็ยิ่งไร้ความยำเกรง เสี่ยวหมานเองก็ยิ่งเอาแต่ใจ ข้าคิดเสมอมาว่านางมิอาจรับหน้าที่มารดาของแผ่นดินได้ จึงเสนอถอนหมั้นกับเสด็จพ่อหลายครั้งหลายครา แต่จนใจที่เสด็จพ่อ…ไม่ยอมรับปาก!”
ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยเอ่ยด้วยความตกตะลึง “องค์รัชทายาทเหตุใดจึงคิดเช่นนี้เล่าเพคะ? หมานเอ๋อร์มั่นคงต่อท่านมาตั้งแต่เด็ก ไม่เคยคิดเป็นอื่น แม้นางจะเอาแต่ใจไปบ้าง แต่ธาตุแท้เป็นคนจิตใจงาม รู้จักแยกแยะผิดชอบชั่วดี นางเป็นคนดีมากนะเพคะ”
หลางฉ่างแย้มยิ้มเล็กน้อย รอยยิ้มของเขาดูขมขื่น “ข้าคิดมาโดยตลอดว่า พระชายาของข้า ว่าที่ฮองเฮาของแคว้นติ้ง จะต้องเหมือนเสด็จแม่ ที่อ่อนโยนมีคุณธรรม วางตัวเหมาะสม เหมือนกับอวิ๋นฮุ่ย ที่มีความรู้กว้างไกล ปราดเปรื่องเกินคน…” สายตาที่เขาทอดมองนาง แฝงไว้ด้วยแววเสน่หาอย่างที่ยากจะอธิบาย
ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยก้มหน้า ตัดบทเขาเสียงเบา “องค์รัชทายาทชมเกินไปแล้ว อวิ๋นฮุ่ยมิบังอาจรับไว้!”
หลางฉ่างค่อยๆ เดินมาหานาง แล้วกล่าวเสียงเบาว่า “ทุกคนในวังล้วนรู้ดี ท่านหญิงอวิ๋นฮุ่ยเป็นสตรีที่มีจิตใจดีงาม ฉลาดปราดเปรื่อง อวิ๋นฮุ่ยไยต้องถ่อมตน? พวกเราสามคนเติบโตมาด้วยกัน นิสัยของพวกเจ้าสองคนเป็นเช่นไร ข้าย่อมรู้ดี ที่จริงแล้ว…ข้าเคยคุยกับเสด็จแม่ ว่าอยากจะสู่ขอเจ้า…”
ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยเงยหน้าด้วยความตกตะลึง นางรีบตัดบท “องค์รัชทายาท ไม่ได้เด็ดขาดนะเพคะ!”
สายตาหลางฉ่างไหวระริกเล็กน้อย เขาถามเสียงอ่อนโยน “ทำไมเล่า?”
ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยถอนหายใจ “พระองค์รู้หรือไม่ ว่าวันนี้หมานเอ๋อร์มาที่จวนหม่อมฉันด้วยเรื่องใด?”
หลางฉ่างกระดกคิ้วเล็กน้อย สายตาสะท้อนแววสงสัย
ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยแย้มยิ้มเล็กน้อย แล้วกล่าวว่า “หมานเอ๋อร์รู้ใจองค์รัชทายาทนานแล้ว นางจึงตั้งใจมาเกลี้ยกล่อมหม่อมฉัน ให้เป็นชายารองของพระองค์”
หลางฉ่างตะลึงงัน คำตอบนี้อยู่เหนือความคาดหมายของเขามาก เขาคิดมาตลอดว่า ฮั่วเสี่ยวหมานเอาแต่ใจและเย่อหยิ่ง ไม่มีทางยอมให้เขามีหญิงอื่นง่ายๆ แน่นอน นึกไม่ถึงว่านาง…ความรู้สึกมากมายประดังประเดเข้ามา หันมองออกไปนอกห้องหนังสืออย่างไม่ตั้งใจ ประกายระยิบระยับใต้แสงอาทิตย์ดึงดูดสายตาเขาทันที เขาเดินออกไปเพ่งมองอย่างละเอียด พบว่าเป็นต่างหูไข่มุกงดงามข้างหนึ่ง หลางฉ่างถอนหายใจเบาๆ
ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยเองก็เดินเข้าไปดู นางอดกล่าวด้วยความประหลาดใจไม่ได้ “นี่เป็นของหมานเอ๋อร์ เมื่อครู่นางคงทำตกไว้ ข้าจำได้ว่าตอนที่เสี่ยวหมานอายุสิบห้าปี พระองค์มอบให้นางเป็นของขวัญวันเกิด นางชอบใส่ต่างหูคู่นี้เป็นที่สุด ปกติมักไม่เคยถอด”