กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - บทที่ 59 คนเก่าคนแก่พบกัน
ซูหลีผงะถอยหลัง ไข่มุกในมือย้ำเตือนถึงเรื่องราวความรักความแค้นในอดีตระหว่างนางกับเจ้าของของมัน ยามนี้ไข่มุกฝูอวิ๋นกลับปรากฏต่อหน้านางอีกครั้ง นางสะท้านไปทั้งใจ ความรู้สึกมากมายประดังประเดเข้ามา
นางหมุนกายเดินออกไปอย่างรวดเร็ว ทว่าเดินไปไม่ถึงสองก้าว ก็หยุดเดินอีกครั้ง นางก้มหน้ามองไข่มุกฝูอวิ๋นในมือ สายตาสับสนค่อยๆ สงบลง นางเดินกลับไปแล้วเก็บไข่มุกฝูอวิ๋นไว้ที่เดิม จากนั้นก็ออกจากสวนเซียงไปโดยไม่หันกลับมามองอีก
ในขณะที่ซูหลีก้าวเท้าออกจากประตูสวนเซียง เรือเล็กลำหนึ่งก็ลอยเข้ามา และจอดเทียบท่าเรือไม้หน้าเรือน เซียงซืออวี่ลงจากเรือแล้วสาวเท้าไปที่ห้องน้ำชา เด็กรับใช้ชายรีบเดินเข้ามาต้อนรับ “นายน้อย ท่านกลับมาแล้วหรือ! องค์หญิงฉางเล่อมาหาท่าน เพิ่งเสด็จกลับเมื่อครู่เองขอรับ”
เซียงซืออวี่ตะลึงงัน เอ่ยด้วยน้ำเสียงตกใจ “นางมาหาข้า? มีเรื่องใด?”
เด็กรับใช้ชายส่ายหน้า แล้วกล่าวว่า “องค์หญิงไม่ได้บอก ตอนเสด็จมายังดีๆ อยู่ แต่ไม่รู้ทำไม ยามกลับสีหน้าถึงได้ย่ำแย่นัก…ไม่รู้ว่าเป็นเพราะบ่าวต้อนรับไม่ทั่วถึง จึงทำให้องค์หญิงไม่พอพระทัยหรือไม่?”
“สีหน้าย่ำแย่?!” เซียงซืออวี่ตกตะลึง กระชากคอเสื้อเด็กรับใช้ชายแล้วร้องถาม “เจ้าพานางไปที่ใด?”
เด็กรับใช้ชายตกใจ “ข้าน้อยเปล่านะขอรับ องค์หญิงบอกว่าจะรอนายน้อยอยู่ที่นี่ นั่งรอเฉยๆ ก็เบื่อ นางจึง…เดินเล่นไปทั่ว…ข้าน้อยไม่รู้อะไรทั้งนั้นนะขอรับ”
เซียงซืออวี่พลันนึกอะไรได้ สีหน้าพลันเปลี่ยน เขาผลักเด็กรับใช้ออกไป แล้วสาวเท้าเข้าไปในห้องนอนตัวเอง พุ่งตัวเข้าไปที่หัวเตียง ยกหมอนขึ้น กล่องไม้จันทน์ยังคงวางอยู่ที่เดิม ใจเขาสงบลงเล็กน้อย เปิดฝากล่องออกอย่างระมัดระวัง ไข่มุกฝูอวิ๋นสีเขียวใสวางอยู่ในกล่อง สายตาของเขาพลันแปรเปลี่ยนเป็นอ่อนโยน ราวกับกำลังจ้องมองยอดรักในดวงใจ เอื้อมมือออกไปสัมผัสไข่มุกกลมเกลี้ยง ไข่มุกยังคงเหลืออุณหภูมิอุ่นๆ เหมือนยามที่เขาหยิบมาสัมผัสก่อนนอนทุกคืน แล้วนำกลับไปวางไว้ในกล่องเช่นเดิม!
มีคนจับไข่มุกเส้นนี้! เขากำมันไว้แน่น ถ่ายเทอุณหภูมิอุ่นๆ ในร่างกาย…
ใครกัน? จะเป็นใครไปได้อีก!
เซียงซืออวี่หน้าซีด เขาจับขอบเตียงเสียหลักล้มนั่งลงไป
ซูหลีออกจากสวนเซียง แล้วมุ่งหน้าไปยังตำหนักบูรพา หลางฉ่างไม่อยู่ ฮั่วเสี่ยวหมานเห็นซูหลี ก็เดินเข้ามาหาอย่างดีอกดีใจ “ฉางเล่อ! เจ้ามาพอดีเลย มาคุยเป็นเพื่อนข้าหน่อยเร็ว!”
หลังจากแต่งงาน ฮั่วเสี่ยวหมานก็สนิทกับซูหลีมาก ราวกับเห็นนางเป็นน้องสาวแท้ๆ ของตนเอง นางจูงมือซูหลีมาที่โต๊ะ แล้วหันไปสั่งนางกำนัลพร้อมรอยยิ้ม “ยังไม่รีบไปนำชามาถวายองค์หญิงอีก”
นางกำนัลยิ้มรับ “เพคะ! พระชายา!” จากนั้นก็ปิดปากกลั้นยิ้มแล้วเดินออกไป
แม้ซูหลีจะร้อนใจเพียงใด ก็ดูออกว่ายามนี้มีเรื่องน่ายินดีเกิดขึ้นในตำหนักบูรพา นางรีบเก็บงำเรื่องวุ่นวายในใจ แย้มยิ้มแล้วถามว่า “เรื่องใดทำให้พี่สะใภ้มีความสุขถึงเพียงนี้? เสด็จพี่เล่าเพคะ?”
ฮั่วเสี่ยวหมานดึงนางให้นั่งลง ความสุขอันเปี่ยมล้นบนสีหน้าแทบปิดไม่มิด ดวงหน้าของนางแดงผ่าวเล็กน้อย บิดตัวไปมา แล้วกล่าวอย่างเหนียมอาย “ไม่มีอะไรหรอก เมื่อกี้หมอหลวงเพิ่งมาตรวจชีพจร แล้วบอกว่าข้าตั้งครรภ์ได้หนึ่งเดือนแล้ว!”
เป็นข่าวดีดังคาด เสด็จพี่จะได้เป็นพ่อคนแล้ว! ซูหลีปลื้มใจ กุมมือฮั่วเสี่ยวหมาน แล้วกล่าวอวยพรจากใจ “ยินดีด้วยเพคะพี่สะใภ้! ข่าวดีเช่นนี้ เหตุใดเสด็จพี่จึงไม่อยู่เคียงข้างท่านเล่า?”
ครั้นเอ่ยถึงเรื่องนี้ สีหน้าของฮั่วเสี่ยวหมานแลดูผิดหวังเล็กน้อย แต่ไม่นานก็แย้มยิ้มอย่างมีความสุข แล้วกล่าวว่า “พี่ชายรัชทายาทออกไปแล้ว เรื่องนี้เขายังไม่รู้ ฉางเล่อ หากเจ้าพบเขาก่อน อย่าเพิ่งบอกเขาเป็นอันขาด!” นางหันไปชี้หน้าเหล่านางกำนัล เชิดหน้าแล้วหัวเราะพลางกล่าวว่า “พวกเจ้าเองก็ห้ามบอกเช่นกัน! ได้ยินหรือไม่?”
เหล่านางกำนัลต่างพากันยกมือปิดปากกลั้นยิ้ม “เพคะ! พวกบ่าวทราบแล้วเพคะ!”
ซูหลีเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “พี่สะใภ้ต้องการแจ้งข่าวดีให้เสด็จพี่ทราบด้วยตนเอง ฉางเล่อมีหรือจะกล้าปากมาก!”
ดวงหน้าของฮั่วเสี่ยวหมานสดใสเปล่งประกาย นางยิ้มกว้างกว่าเดิม “ข้ารู้อยู่แล้วว่าฉางเล่อใจดีที่สุด” ครั้นนึกถึงสีหน้าตื่นเต้นดีใจของหลางฉ่างหลังรู้ข่าวดี นางก็แทบทนรอที่จะได้พบหน้าเขาไม่ไหวแล้ว
ซูหลีเห็นสีหน้ามีความสุขและตื่นเต้นของฮั่วเสี่ยวหมาน ลึกๆ ในใจก็อดอิจฉาไม่ได้ นางกับตงฟางเจ๋อเมื่อใดจะได้มีคืนวันอันแสนสุขเช่นนี้บ้าง?
คล้ายสัมผัสได้ถึงความเศร้าหมองของซูหลี ฮั่วเสี่ยวหมานกุมมือนาง ยิ้มแล้วกล่าวว่า “ฉางเล่อเองก็ใกล้จะแต่งงานแล้ว อนาคตจะต้องมีลูกของตนเองแน่นอน”
ซูหลีฝืนยิ้ม แล้วเอ่ยว่า “พี่สะใภ้อย่ามาหยอกหม่อมฉันเล่นดีกว่า ใช่แล้ว ก่อนออกไปเสด็จพี่ได้บอกพี่สะใภ้หรือไม่ ว่าจะไปที่ใด? หม่อมฉันมีธุระจะหารือกับเขาสักหน่อย”
ฮั่วเสี่ยวหมานย้อนนึกด้วยสีหน้าจริงจัง “พี่ชายรัชทายาท…บอกว่าสืบอะไรบางอย่างได้แล้ว ฮ่องเต้แคว้นเฉิงนัดเขาไปพบที่เมืองหลินซี…อ้อ ใช่สิ เขายังบอกว่า เรื่องที่สืบได้เกี่ยวข้องกับเจ้าด้วยนะ ฉางเล่อ!”
เกี่ยวกับนาง! จะเป็นเรื่องใดกัน? ซูหลีพลันสะท้านไปทั้งใจ หรือว่า เรื่องที่พวกเขาสืบได้กับเรื่องที่นางอยากบอกเขา เป็นเรื่องเดียวกัน? ถ้าหากเป็นเช่นนั้นจริง เช่นนั้นตงฟางเจ๋อจะจัดการเรื่องนี้อย่างไร?
ซูหลีไม่กล้าคิดไปมากกว่านั้น นางรีบลุกขึ้นแล้วบอกฮั่วเสี่ยวหมานว่า “ยามนี้พี่สะใภ้ตั้งครรภ์ ควรพักผ่อนให้มากๆ ฉางเล่อยังมีเรื่องสำคัญต้องไปสะสาง วันหลังจะมาเยี่ยมพี่สะใภ้อีก วันนี้ฉางเล่อต้องขอตัวก่อนแล้วเพคะ”
ฮั่วเสี่ยวหมานร้อง “อ้าว” นางลุกขึ้นกุมมือซูหลี แล้วเอ่ยอย่างเสียดาย “ก็ได้ ในเมื่อเจ้ามีธุระ เช่นนั้นก็ไปเถิด หากเจ้าสะสางธุระเสร็จแล้วอย่าลืมมาหาข้าเล่า!”
ซูหลียิ้มแล้วรับคำ จากนั้นก็รีบเดินออกไป ฮั่วเสี่ยวหมานยืนมองเงาร่างนางจากข้างหลัง ไม่รู้ทำไม จู่ๆ ก็รู้สึกไม่สบายใจอย่างบอกไม่ถูก นางหมุนกาย แล้วกล่าวด้วยความสงสัย “พี่ชายรัชทายาทเพิ่งออกไปแค่วันเดียวเองหรือ? เหตุใดข้าจึงรู้สึกว่าเขาออกไปนานมากแล้วเล่า!” นางหันไปมองนางกำนัลนามว่าจิ่นอวิ๋น “เจ้าว่า วันนี้เขาจะกลับมาหรือไม่?”
จิ่นอวิ๋นรีบประคองนางให้นั่งลง แล้วเอ่ยอย่างปลอบใจ “พระชายาทรงคิดถึงองค์รัชทายาทเกินไปแล้ว! วางใจเถิดเพคะ คืนนี้พระองค์ต้องเสด็จกลับมาอย่างแน่นอน!”
จากเมืองหลวงแคว้นติ้งไปเมืองหลินซีเป็นถนนหลวงทางตรงสายเดียวที่พาดผ่านภูเขาอันสูงตระหง่าน ซูหลีเร่งเดินทางเร็วกว่าเดิม มุ่งหน้าไปยังโรงเตี๊ยมหงหลงในเมืองหลินซี โรงเตี๊ยมอยู่ไม่ไกลจากถนนหลวง ตั้งอยู่บนเนินเขาที่สูงกว่าแห่งหนึ่ง ทอดมองจากที่ไกลๆ เรือนมังกรล้อม[1]สีเขียวเทาหลังหนึ่งตั้งโดดเดี่ยวอยู่ใต้ผืนฟ้าอันมืดมิด ดุจมังกรสีเขียวกำลังขดตัวอำพรางกาย ซุกซ่อนพลังอันตรายที่พร้อมจู่โจมทุกเมื่อ
ซูหลีเร่งม้าให้วิ่งเข้าไป หน้าเรือนมีพื้นที่โล่งอยู่ผืนหนึ่ง ม้าของแขกที่มาเข้าพักหลายตัวถูกผูกไว้ในคอกม้าที่อยู่ด้านข้าง
ซูหลีดึงบังเหียนม้า เห็นป้ายชื่อสีดำที่อยู่เหนือประตูเรือนมังกรล้อม มีอักษรเขียนไว้ว่า ‘โรงเตี๊ยมหงหลง’ โรงเตี๊ยมแห่งนี้หน้าต่างคับแคบกำแพงแข็งแรง ไม่เหมือนโรงเตี๊ยมทั่วไป กลับเหมือนหอคอยป้อมปราการอันแข็งแกร่งที่ยากจะโจมตีเสียมากกว่า
ซูหลีกระโดดลงจากหลังม้า เดินเข้าไปเคาะประตู เด็กหนุ่มที่แต่งตัวเหมือนเสี่ยวเอ้อร์[2]ชะโงกหน้าออกมา ครั้นเห็นซูหลี ก็ตกตะลึงในความงามของนาง ยิ้มแล้วถามว่า “แม่นางท่านนี้แวะมาพักกินข้าว หรือเข้าพัก?”
ซูหลีครุ่นคิด แล้วถามว่า “เสี่ยวเอ้อร์ เคยเห็นคุณชายสองท่าน อายุยี่สิบต้นๆ ท่านหนึ่งสวมรัดเกล้าหยกอาภรณ์ขาว อีกท่านสวมอาภรณ์สีดำรัดเกล้าทอง…”
เสี่ยวเอ้อร์ส่ายหน้า “ไม่เคยเห็นขอรับ แม่นางมาตามหาคนหรือ?”
ซูหลีพยักหน้า “เกรงว่ายังมาไม่ถึง มีห้องส่วนตัวที่เงียบสงบหน่อยหรือไม่ มองเห็นทิวทัศน์ข้างนอกได้ยิ่งดี”
เสี่ยวเอ้อร์ยิ้มแล้วกล่าวว่า “มีขอรับๆๆ! แม่นาง เชิญข้างบนขอรับ!”
ซูหลีก้าวเท้าเข้าไปข้างใน กวาดมองห้องโถงในโรงเตี๊ยม ด้านในเปิดโล่ง แสงไฟสว่างเจิดจ้า นางเดินไปพลาง กวาดมองรอบๆ ไปพลาง ในห้องโถงมีแขกไม่มาก มีแขกนั่งประปรายอยู่เพียงไม่กี่โต๊ะ ครั้นเห็นซูหลีเดินเข้ามา พวกเขาต่างหันมามองนางโดยไม่ได้นัดหมาย บ้างก็แต่งตัวเหมือนจอมยุทธ์ บ้างก็แต่งตัวเหมือนพ่อค้าเร่ ล้วนเหมือนดาบซ่อนคม ที่มีวรยุทธ์เก่งกาจ
ซูหลีละสายตาออกมา เสี่ยวเอ้อร์ถือโคมไฟ เดินนำทางนางขึ้นข้างบน บันไดเบื้องหน้าคับแคบและสูงชัน เดินได้ทีละคนเท่านั้น ซูหลีเดินตามหลังเสี่ยวเอ้อร์ ท่ามกลางแสงสลัว เสี่ยวเอ้อร์ก้าวเดินอย่างมั่นคง ราวกับเดินอยู่บนพื้นราบ นางตะลึงเล็กน้อย โรงเตี๊ยมที่ตั้งโดดเดี่ยวอยู่ท่ามกลางป่าเขาเช่นนี้ แม้แต่เสี่ยวเอ้อร์ก็ยังเป็นยอดฝีมือ เห็นได้ชัดว่าโรงเตี๊ยมแห่งนี้ไม่ธรรมดา นางพลันหวาดระแวงขึ้นมาหลายส่วน
ยิ่งเดินขึ้นไป แสงสว่างก็ยิ่งมืดสลัว เมื่อมาถึงชั้นสอง ก็แทบมืดสนิทไปทุกทิศ ไม่มีทางเดินหรือห้องเหมือนที่คาดไว้ ด้านหน้ามีประตูที่ปิดสนิทอยู่บานหนึ่ง ซูหลีสะดุดใจ หมายจะเอ่ยถาม เสี่ยวเอ้อร์ก็หันกลับมายิ้มให้นาง แล้วเปิดประตูบานนั้น
เบื้องหน้าพลันสว่างโร่ มองเข้าไปข้างใน เห็นประตูหน้าต่างในเรือนมังกรล้อมล้วนเปิดอ้า แสงไฟเจิดจ้าทั้งด้านนอกและด้านใน ราวกับเป็นโลกคนละใบ บันไดหินทรงโค้งทอดตรงไปยังลานกว้างด้านใน ชายคาสีดำเหนือศีรษะห้อมล้อมโดยรอบ ทำให้เห็นผืนฟ้าทรงกลมอยู่ด้านบน พื้นที่ตรงนี้ราวกับชานบ้านที่มองเห็นท้องฟ้าขนาดใหญ่ และท่ามกลางชานบ้านแห่งนี้ เรือนอาคารสามชั้นที่ดูต่างจากโรงเตี๊ยมทั่วไปทอดตัวยาวขึ้นไปข้างบนท่ามกลางแสงสว่างจากโคมไฟรอบด้าน…
ซูหลีตะลึงงัน นึกไม่ถึงว่าด้านในจะเป็นอย่างนี้ ครั้นเข้าไปในห้อง แสงสว่างมืดสลัวลงอีกครั้ง ซูหลีอดสงสัยไม่ได้ นางรู้สึกว่าแสงไฟในโรงเตี๊ยมแห่งนี้ มีไว้เพื่อให้ความสว่างแก่เรือนมังกรล้อมที่อยู่ตรงกลางเท่านั้น เสี่ยวเอ้อร์ยกชามาบริการ ซูหลีเอ่ยด้วยรอยยิ้ม“เรือนมังกรล้อมของพวกเจ้าช่างน่าสนใจยิ่งนัก ข้าเพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก”
เสี่ยวเอ้อร์ยิ้มแล้วบอกว่า “แม่นางอาจไม่ทราบ โรงเตี๊ยมของเราเคยเป็นป้อมปราการและฐานทัพของทหารมาก่อน แต่เดิมมีไว้เพื่อป้องกันข้าศึกรุกราน”
ซูหลีประหลาดใจ “เช่นนั้นเหตุใดจึงกลายเป็นโรงเตี๊ยมได้เล่า?”
เสี่ยวเอ้อร์กล่าวว่า “นับแต่แคว้นเฉิงและแคว้นติ้งมีสายสัมพันธ์อันดีงาม เกือบหนึ่งร้อยปีมานี้มีสงครามเกิดขึ้นน้อยครั้งมาก ต่อมาสองแคว้นเริ่มทำการค้าขายแลกเปลี่ยนกัน สถานที่แห่งนี้จึงกลายเป็นจุดศูนย์กลางการค้าขาย เป็นจุดที่พ่อค้าจากสองแคว้นต้องผ่าน องค์รัชทายาทมีรับสั่งให้ย้ายฐานทัพไปยังทิศใต้ยี่สิบลี้ สถานที่แห่งนี้จึงถูกทิ้งร้าง เถ้าแก่ของพวกเราถูกใจสถานที่แห่งนี้ จึงซื้อมาดัดแปลงเป็นโรงเตี๊ยม และตั้งชื่อให้ว่าหงหลงขอรับ”
ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ ซูหลีมองเรือนไม้ขนาดสามชั้นที่ถูกห้อมล้อมไปด้วยแสงไฟ ยิ้มแล้วกล่าวว่า “เรือนมังกรล้อมหลังนั้นดูค่อนข้างพิเศษ…”
เสี่ยวเอ้อร์รีบกล่าว “เรือนนั้นน่ะหรือ เรือนหลังนั้นถูกดัดแปลงมาจากหอคอยสังเกตการณ์ขอรับ ข้างบนสามารถเห็นทิวทัศน์ข้างนอกได้โดยรอบเลยนะขอรับ! แต่ว่า เรือนมังกรล้อมหลังนั้นถูกแขกคนอื่นจองไว้แล้ว หากแม่นางอยากไปชมทิวทัศน์ข้างบน เกรงว่าคงต้องมาใหม่วันหลัง”
เสี่ยวเอ้อร์พูดจบก็ค้อมกายเดินถอยหลังออกไป ซูหลีถือถ้วยชา ยืนอยู่เบื้องหน้าบานหน้าต่างแคบๆ มองดูพื้นที่โล่งกว้างที่อยู่ด้านนอกโรงเตี๊ยม กลัวว่าจะคลาดกับหลางฉ่างและตงฟางเจ๋อ
ม้าเร็วตัวหนึ่งพุ่งทะยานเข้ามาหยุดตรงหน้าประตู ผู้ขี่ม้าลงจากม้าและเคาะประตู ไม่รู้ว่าเขาพูดอะไรกับเสี่ยวเอ้อร์บ้าง พูดจบก็รีบเดินเข้าไปในโรงเตี๊ยมอย่างเร่งรีบ ซูหลีเพ่งมองเงาร่างสายนั้น คิ้วงามขมวดทันที คนที่นางรอยังมาไม่ถึงสักคน แต่คนที่นางไม่อยากพบที่สุด กลับมาถึงก่อน
ซูหลีถอนหายใจยาวๆ เสียงเคาะประตูดังมา ประตูบานนั้นไม่ได้ปิดไว้แต่แรก นางเอ่ยปากโดยไม่หันไปมอง “เข้ามา”
เสียงฝีเท้าแช่มช้าก้าวเข้ามาในห้อง คล้ายเป็นฝีเท้าที่หนักหน่วงยิ่งนัก กลิ่นหอมของชาลอยอบอวล กระชากเปลือกนอกที่แสร้งทำเป็นสุขุมเยือกเย็นของเขาออก เขาหยุดยืนข้างหลังนาง จ้องมองแผ่นหลังบอบบางของนางนิ่งๆ เส้นผมสีดำนุ่มสลวยทิ้งตัวลงบนแผ่นหลัง นางยืนหันหลังให้เขา ไม่หันกลับมามองเขาสักนิด เซียงซืออวี่หลับตาอย่างเจ็บปวด ก้มหน้ามองมือที่ยกขึ้นของตนเอง หมัดที่กำเข้าหากันแน่นค่อยๆ คลายออก เขารีบมาที่นี่พร้อมกับไข่มุกฝูอวิ๋น เดิมมีคำพูดมากมายอยากจะพูดกับนาง แต่ยามนี้กลับพูดไม่ออกแม้แต่คำเดียว
ในที่สุดซูหลีก็หันกลับมา ครั้นเห็นไข่มุกฝูอวิ๋นในมือเขา นางก็กระจ่างแจ้งแก่ใจ เซียงซืออวี่…ไม่สิ ควรเรียกเขาว่าตงฟางจั๋วมากกว่า! ชื่ออันคุ้ยเคยที่เลือนหายจากความทรงจำไปเนิ่นนานกลับมาเด่นชัดในสมองอีกครั้ง ลึกๆ ในใจสับสนวุ่นวายจนบอกไม่ถูกว่ารู้สึกเช่นไรกันแน่ นางกล่าวด้วยสายตาไร้อารมณ์ “หากท่านมาเพื่อสารภาพทุกอย่าง เช่นนั้นก็นั่งเถิด แต่หากไม่ใช่ มิสู้รีบกลับไปเสียดีกว่า”
——————————–