กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - บทที่ 60.1 มิอาจหันหลังกลับ (1)
เซียงซืออวี่ตะลึงงัน ใบหน้าซีดเผือด เขาวางไข่มุกฝูอวิ๋นลงบนโต๊ะเบาๆ แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือและขมขื่น “เจ้ารู้หมดแล้วหรือ” ครั้นเห็นซูหลีมองเขาเงียบๆ ด้วยสายตาเรียบเฉยเย็นชา เขาก้าวเท้าไปข้างหน้าอย่างลืมตัว รีบร้อนอธิบายทันที “ข้าไม่ได้ตั้งใจโกหกเจ้า! ข้าไม่รู้ว่าเจ้ายังมีชีวิตอยู่…ซูซู…”
ทุกคนต่างก็บอกว่าท่านหญิงหมิงซีซูหลีแห่งแคว้นเฉิง กระโดดแม่น้ำฆ่าตัวตายในวันที่องค์รัชทายาทตงฟางเจ๋ออภิเษกสมรส!
ซูหลีเบือนหน้าไปอีกทาง ทำใจแข็งกล่าวว่า “ข้าเองก็นึกไม่ถึงว่าท่านจะยังมีชีวิตอยู่เช่นกัน เหตุการณ์เพลิงไหม้ครั้งใหญ่ในสวนหลีครั้งนั้น ทุกคนล้วนคิดว่าท่านสิ้นใจอยู่ท่ามกลางทะเลเพลิงไปแล้ว…ท่านหนีออกไปได้อย่างไร?” ยามนั้นเมืองหลวงแคว้นเฉิงบังคับใช้กฎอัยการศึก รักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวด แม้เขาจะรอดชีวิตมาจากทะเลเพลิง แต่หนีออกจากเมืองหลวงของแคว้นเฉิงไปได้เช่นไรกัน?
ตงฟางจั๋วนั่งลงบนเก้าอี้ หวนนึกถึงความทรงจำในอดีต เขาก่อกบฏล้มเหลว หลังจากถูกช่วยชีวิตจากการพยายามฆ่าตัวตาย ร่างกายก็ถูกไฟลวกทั้งตัว ไม่เหลือสภาพเดิมอีก…เขาถูกบังคับให้ต้องซ่อนตัวอยู่ในถ้ำน้ำแข็งที่ไม่เห็นแสงตะวัน เหมือนลูกสุนัขจรจัดตัวหนึ่ง…ทว่าชีวิตช่วงนั้น กลับยังไม่ใช่ช่วงที่เขาลำบากที่สุด เขาก้มหน้ากล่าวว่า “พี่ใหญ่ของเจ้า…ช่วยข้าไว้”
ซูฉุน?! ซูหลีตกตะลึง นางนึกถึงกล่องขนาดใหญ่ที่ถูกมัดไว้ด้านหลังรถม้าของซูฉุนยามออกจากเมืองหลวงแคว้นเฉิงทันที นางยังจำได้ว่าตอนนั้นที่นางส่งเขาออกจากเมือง ตงฟางเจ๋อก็นั่งอยู่ในรถม้าของนางด้วย ทหารที่ทำหน้าที่เฝ้าประตูเมืองทำหน้าที่อย่างเคร่งครัด ยืนยันจะเปิดกล่องตรวจสอบให้ได้ หากวันนั้นตงฟางเจ๋อไม่อยู่ในรถนาง หรือหากเขาไม่ออกมาขัดขวางทหารรักษาประตูเมือง แล้วจับได้ว่าตงฟางจั๋วซ่อนตัวอยู่ในกล่อง ซูฉุนจะพบกับจุดจบเช่นไรกันนะ? ลักลอบซ่อนตัวและช่วยเหลือกบฏหลบหนี เกรงว่าทั้งจวนอัครเสนาบดีคงต้องรับโทษประหารเก้าชั่วโคตร ซูหลีนึกย้อนไปในยามนี้ ก็พลันเสียวสันหลังวาบ เหงื่อซึมเต็มฝ่ามือ
นางทั้งตกใจระคนโกรธเกรี้ยว “ท่านหลอกใช้พี่ใหญ่ของข้าหรือ?!”
ตงฟางจั๋วรีบกล่าว “ไม่ ไม่ ไม่ใช่นะ ตอนนั้นข้าบาดเจ็บหนักจนหมดสติ เป็นซูฉุนที่ช่วยชีวิตข้า และส่งตัวข้าออกจากเมืองหลวง…ข้าสะลึมสะลือ ไม่มีสติสัมปชัญญะแม้แต่น้อย หลายครั้งที่อยากเกลี้ยกล่อมให้ซูฉุนล้มเลิกเสีย แต่จนใจเขากลับตำหนิข้ายกใหญ่…”
ซูหลีจ้องหน้าเขา ครั้นนึกถึงนิสัยจงรักภักดีของซูฉุน ไฟโทสะในอกก็มอดลงหลายส่วน นางถอนหายใจแล้วกล่าวว่า “ในเมื่อหนีออกมาได้แล้ว ท่านกลายเป็นนายน้อยแห่งเกาะตงหมิงได้เช่นไรอีก?”
สีหน้าของตงฟางจั๋วดูเจ็บปวดยิ่งกว่าเดิม หลังจากแยกกับซูฉุน เขาจับพลัดจับผลูไปอยู่ที่เกาะตงหมิง แล้วพบกับคนบ้าคนหนึ่งเข้า คนผู้นั้นจับเขามัดติดเตียงโดยอ้างว่าจะรักษาเขา แต่แท้จริงแล้วคนผู้นั้นต้องการฝึกทักษะการแปลงโฉมใบหน้าตามความฝัน ระหว่างที่การฝึกล้มเหลวและสำเร็จครั้งแล้วครั้งเล่า เขาต้องเผชิญหน้ากับความทรมานอันแสนสาหัสที่ไร้ซึ่งมนุษยธรรม จนกระทั่งในที่สุด เขาก็ได้กลายเป็นอีกคน! เรื่องเหล่านี้มิใช่ความทรงจำที่ดี เขาไม่อยากเล่าให้นางฟัง แล้วตอนนี้ก็ไม่ใช่เวลาที่จะมาพูดเรื่องพวกนี้ด้วย เขาลุกขึ้น แล้วมองหน้าซูหลี “เรื่องนี้พูดแล้วยาว วันหลังหากมีเวลาข้าจะค่อยๆ เล่าให้เจ้าฟัง ตอนนี้ไปจากที่นี่ก่อนเถิด…”
เขาจูงมือนางหมายจะเดินออกจากห้อง ซูหลีกลับสะบัดมือเขาออก จ้องตาเขานิ่งๆ แล้วถามด้วยสายตาคมปลาบ “ท่านมาทำอะไรที่แคว้นติ้ง?”
สายตาของตงฟางจั๋วไหวระริก แววตาเจ็บปวดพลันแปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย เขาดูร้อนรน “ข้า…ข้ามาเที่ยวงานชุมนุมไป่จี๋…นึกไม่ถึงว่าจะได้พบเจ้า สวรรค์คงสงสารข้า จึงได้มอบโอกาสให้ข้าได้กลับมายืนข้างกายเจ้าอีกครั้ง! ซูซู…”
เขาหมายจะกุมมือนางอีกครั้ง ซูหลีเบี่ยงตัวหลบสัมผัสจากเขา จ้องหน้าเขาด้วยสายตาเย็นชา “ท่านเห็นข้าโง่เขลาหรืออย่างไร? ก่อกบฏล้มเหลว วางเพลิงฆ่าตัวตาย รอดชีวิตจากทะเลเพลิง หนึ่งปีให้หลัง กลับมาปรากฏตัวต่อหน้าชาวโลกอีกครั้ง ด้วยใบหน้าที่เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง! ใครจะเชื่อว่าท่านไม่มีความแค้น? หากท่านคิดจะแก้แค้น เหตุใดไม่ไปที่แคว้นเฉิง แต่กลับมายังแคว้นติ้ง?”
ตงฟางจั๋วหอบหายใจหนักหน่วง แต่กลับพูดอะไรไม่ออก
ผ่านไปครู่หนึ่ง ซูหลีถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ตอนที่เสด็จพี่ถูกลอบโจมตีที่เขตชายแดน ท่านช่วยเขาไว้จริงหรือ?”
ตงฟางจั๋วพยักหน้า “ใช่”
ซูหลีถามอีกว่า “ในงานชุมนุมไป่จี๋ เขาถูกลักพาตัว จากนั้นข้าก็ถูกจับตัวไปอีก ทุกอย่างล้วนเกี่ยวกับท่านใช่หรือไม่? เซี่ยอวิ๋นเซวียนฉวยโอกาสลอบสังหารตงฟางเจ๋อตอนเขาขับพิษ ก็เป็นฝีมือท่านบอกข่าวให้เขารู้ใช่หรือไม่? ท่านร้ายกาจยิ่งนัก! หากมิใช่ท่านดื่มสุราในงานแต่งของเสด็จพี่จนเมามาย แล้วเผยพิรุธให้ข้าเห็น ไม่ว่าอย่างไรข้าก็ไม่มีทางคาดคิดว่าทั้งหมดนี้เป็นฝีมือของท่าน!”
ตงฟางจั๋วหน้าเปลี่ยนสี แววตาสำนึกผิดเด่นชัดบนใบหน้า เขาก้มหน้า พูดไม่ออก
แววเจ็บปวดพาดผ่านดวงตาของซูหลี นางเม้มปาก กล่าวว่า “เหตุใดทุกครั้งที่ข้าเริ่มให้อภัยท่าน ยอมรับท่าน และคิดว่าท่านเป็นเพื่อนแท้ของข้า ท่านต้องบ่อนทำลายเรื่องราวดีๆ ทำลายความสงบสุขทั้งหมด และทำให้ทุกอย่างกลายเป็นเพียงภาพลวงตาด้วย? ท่านคิดจะทำอะไรกันแน่? ลักพาตัวเสด็จพี่เพื่อจุดประสงค์ใด? จับตัวข้าไป แต่กลับพยายามเปลี่ยนตัวข้ากับเซี่ยหมิงหยาง เช่นนั้นหากเปลี่ยนตัวไม่สำเร็จ ก็คิดจะฆ่าข้าด้วยงั้นหรือ?”
คำถามที่ออกมาจากปากนางอย่างต่อเนื่อง ทำลายความเข้มแข็งของเขา ทำให้เขารู้สึกเจ็บปวดจนเหมือนตายทั้งเป็น เขามองหน้านาง แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “ซูซู นั่นไม่ใช่ความคิดของข้า ข้า ข้า ข้า…” เขาพูดคำว่าข้าซ้ำกันถึงสามครั้ง แต่กลับพูดอะไรไม่ออกอีก เขาหลับตาแน่น ภาพเหตุการณ์ไฟไหม้บนเรือสินค้าผุดขึ้นมาในสมองอีกครั้ง วันนั้น เขาไม่รู้ว่านางคือองค์หญิงแห่งแคว้นติ้ง เขาสั่งให้คนจับตัวนางเป็นเรื่องจริง ทำให้นางบาดเจ็บที่แขนก็เป็นเรื่องจริง เหตุการณ์ระเบิดบนเรือสินค้าที่ทำให้นางมีอันตรายถึงชีวิต ก็เป็นเรื่องจริงเช่นกัน…ทุกอย่างล้วนเป็นความผิดพลาดของเขา เขาไม่มีข้อโต้แย้งใดทั้งสิ้น
ซูหลีจ้องหน้าเขานิ่งๆ สายตาของนางผิดหวังถึงเพียงนั้น ทำให้เขาเจ็บปวดแสนสาหัส เขาหอบหายใจ แล้วกล่าวว่า “ซูซู ไม่ว่าก่อนหน้านั้นข้าต้องการทำอะไร ตอนนี้ข้าได้ล้มเลิกไปหมดแล้ว เพื่อเจ้า ข้ายอมหยุดแก้แค้นตงฟางเจ๋อ และยอมละทิ้งตัวตนเดิมของข้า ข้าไม่สนใจกระทั่งว่าข้าจะมีชีวิตอยู่ได้อีกนานเท่าใด…” จู่ๆ เขาก็ก้าวไปข้างหน้า กุมมือทั้งสองข้างของนางแน่นๆ แล้วอ้อนวอนด้วยสายตาเจ็บปวด “ขอเพียงได้อยู่ข้างกายเจ้า ข้ายอมทำเพื่อเจ้าได้ทุกอย่าง!”
หัวใจของซูหลีพลันจมดิ่งสู่ก้นเหว นางสะบัดมือเขาออก แล้วเอ่ยด้วยสายตาเย็นชาหนักแน่น “ท่านยังคงไม่เข้าใจอะไรเลย ท่านทำมากมายขนาดนี้ เพื่ออะไรกันแน่?”
ตงฟางจั๋วกล่าว “ข้าไม่อยากให้เจ้าแต่งงานกับตงฟางเจ๋อ เขาไม่คู่ควร!”
ซูหลียิ้มเย็น “เขาไม่คู่ควร แล้วท่านคู่ควรหรือ? ตงฟางจั๋ว นับตั้งแต่วันแต่งงานของเรา สวรรค์ก็ได้กำหนดแล้วว่าชาตินี้เรื่องราวระหว่างท่านกับข้าเป็นไปไม่ได้อีกแล้ว ไม่ว่าท่าจะเป็น หรือตาย หรือฟื้นคืนจากความตาย ข้าหลีซู ไม่มีวันแต่งงานกับตงฟางจั๋วอีก และยิ่งไม่อาจแต่งงานกับเซียงซืออวี่!”
วาจาไร้เยื่อใยของนาง ทำลายความหวังสุดท้ายของเขาอย่างไร้ความปรานี แสงไฟสว่างไสวด้านหลังสาดส่องเข้ามา เงาร่างผ่ายผอมของเขาราวกับใบไม้ที่ร่วงโรยกลางสายลม ไร้ซึ่งชีวิตชีวา เขาผงะถอยหลังไปสองก้าว ดวงตาเต็มไปด้วยความสิ้นหวังและแหลกสลาย เขาหลับตา แสงสว่างที่มีกลับกลายเป็นความมืดมิด ไม่มีแสงนำทางใดสามารถสาดส่องเข้าไปในใจเขาได้อีกแล้ว และการมีชีวิตอยู่ ก็ได้กลายเป็นเรื่องน่าขำที่สุดของเขา
ซูหลีล้วงผลึกอำพันที่เขามอบให้ออกมาจากอกเสื้อ แล้วโยนลงบนโต๊ะ กล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “สิ่งนี้คืนให้ท่าน ต่อไปอย่าได้ทำสิ่งใดเพื่อข้าอีก ข้าไม่ต้องการ”
สายตาของตงฟางจั๋วแปรเปลี่ยนเป็นเจ็บปวด เขาก้มหน้ามองสิ่งที่อยู่บนโต๊ะ ไข่มุกฝูอวิ๋นแม้ประณีตงดงาม แต่กลับเสียหายไม่สมบูรณ์ นั่นคือความผิดพลาดและความเสียใจในอดีตของเขา ส่วนผลึกอำพันอันสุกสกาวสดใส ที่มีดอกหลีสีขาวบริสุทธิ์เป็นจี้อยู่ตรงกลางนั้น เคยเต็มไปด้วยความสุขและความหวังของเขาในปัจจุบัน เดิมทีมันเคยเป็นสิ่งของที่มีความหมายสำหรับเขามากที่สุด ยามนี้กลับกำลังหัวเราะเยาะความปรารถนาที่เขามีตลอดมา!
เขาพลันแสบร้อนจมูก น้ำใสๆ หลั่งรินออกจากดวงตา เขามิอาจควบคุมตนเองได้ คว้าเอาไข่มุกฝูอวิ๋นและผลึกอำพันบนโต๊ะ แล้วหันหลังหัวเราะอย่างเจ็บปวด “ข้าเข้าใจแล้ว! เจ้าไม่มีวันแต่งงานกับข้า และไม่มีวันชอบข้าอีก…เจ้าไม่ต้องการให้ข้าทำอะไรเพื่อเจ้า ทุกอย่างที่ข้าทำล้วนเป็นความหมกมุ่นของข้าแต่เพียงฝ่ายเดียว!”
ชอบหลีซู จึงไปขอพระราชทานงานแต่งจากเสด็จพ่อ อยากได้ซูหลี จึงพยายามตามตอแยอย่างสุดกำลัง เมื่อต้องการขัดขวางไม่ให้นางแต่งงานกับตงฟางเจ๋อ ก็ตัดสินใจก่อกบฏ…ทุกอย่างที่เขาทำ ล้วนเป็นเพียงแค่ความต้องการของเขา! ก็เหมือนกับผลึกอำพันเม็ดนี้ นางบอกว่าวิธีนี้สามารถเก็บถนอมกลิ่นหอมของดอกหลีไว้ได้ แม้ว่าเขาจะทำทุกวิถีทางเพื่อรักษาดอกหลีไว้ได้ แต่กลับไม่อาจรั้งหัวใจนางไว้ ทุกอย่างที่เคยเป็นของเขา ล้วนถูกเขาทำลายจนสิ้น ตั้งแต่วันแต่งงานของเขาแล้ว
————————-