กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - บทที่ 60.2 มิอาจหันหลังกลับ (2)
ตงฟางจั๋วยกมือปิดตาตนเองแน่น ยามนี้เพิ่งจะมาตระหนักได้ว่าผิดตรงที่ใด ก็สายเกินไปเสียแล้ว ตั้งแต่ต้นจนจบ ล้วนเป็นเขาที่ฝืนชะตา
เขาควบคุมอารมณ์ตนเองไม่ค่อยได้ ซูหลีถอนหายใจ แล้วหันหลังมองออกไปนอกหน้าต่าง “ท่านไปเถิด ไปจากที่นี่ ไปจากแคว้นติ้ง กลับไปเป็นนายน้อยที่เกาะตงหมิงเช่นเดิม อย่าคิดถึงสิ่งที่ไม่มีวันเป็นไปได้อีกเลย”
ตงฟางจั๋วกำผลึกอำพันอันเย็นเยียบในมือไว้แน่น ร่างกายสั่นเทา คล้ายไม่อาจทนรับความเจ็บปวดและความทรมานเหล่านี้ได้อีกต่อไป เขามองสตรีที่ทำได้แค่มอง แต่ไม่อาจเอื้อมตรงหน้า ลึกๆ ข้างในเจ็บปวดร้าวราน พยายามสู้กับตนเองเพื่อตัดขาดกับสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิต สิ่งสำคัญที่ความจริงเขาได้ทำมันหล่นหายไปตั้งนานแล้ว และไม่มีวันได้กลับคืนมาอีก…สายตาของตงฟางจั๋วเลื่อนลอย เขาพึมพำเสียงเบา “ซูซู พวกเรา…”
ในยามนี้เอง เสียงกองทัพกีบเท้าม้าพลันดังสนั่นเลื่อนลั่น ทำลายค่ำคืนอันเงียบสงบ สายตาของตงฟางจั๋วและซูหลีพลันแปรเปลี่ยน ขณะเดียวกัน บนถนนหลวงด้านนอก กองกำลังทหารเรียงแถวเป็นแนวยาวกำลังสาวเท้าเข้ามาด้านหน้าโรงเตี๊ยมอย่างพร้อมเพรียง ม้าอูจุยคำรามเสียงดัง บุรุษบนหลังม้าสวมอาภรณ์สีดำ ราศีน่าเกรงขาม เขาโบกมือไปทางโรงเตี๊ยม กองกำลังทหารที่ยืนอยู่ด้านหลังพลันแบ่งออกเป็นสองแถว และล้อมเข้ามาอย่างรวดเร็ว
แสงสว่างในวงกว้าง สาดส่องผืนฟ้าอันมืดมิดให้สว่างเจิดจ้า
ซูหลีตกตะลึง ตงฟางเจ๋อนัดหมายเสด็จพี่มาพบที่นี่ เดิมทีควรมาเงียบๆ และหารือกันอย่างลับๆ แต่เขากลับพาคนกลุ่มใหญ่เข้ามาล้อมรอบโรงเตี๊ยม เขาคิดจะทำอะไร? นางหันไปมองคนข้างกายทันที สีหน้าตงฟางจั๋วตึงเครียด สองหมัดกำแน่น สายตาไม่วอกแวก จ้องมองคนที่อยู่ด้านล่างเขม็ง ความเคียดแค้นในสายตายังคงรุนแรงเช่นในอดีต หัวใจของซูหลีพลันจมดิ่งสู่ก้นเหว
นอกโรงเตี๊ยม สายตาของตงฟางเจ๋อเย็นชาดุจน้ำแข็ง “ค้นให้ทั่ว จับตัวเขาให้ได้!”
เซิ่งฉินและเซิ่งจินรีบพาคนบุกเข้าไป ประตูโรงเตี๊ยมที่ทำจากทองเหลืองปิดสนิทนานแล้ว แข็งแกร่งทนทาน แทงฟันไม่เข้า เซิ่งฉินกับเซิ่งจินร่วมแรงกับทหารอีกหลายคน ประตูก็ยังไม่สะเทือนแม้แต่น้อย พวกเขาสบตากัน จากนั้นก็กลับไปรายงานเสียงดัง “ทูลฝ่าบาท ประตูโรงเตี๊ยมถูกลงกลอนจากข้างใน กระหม่อมไร้ความสามารถ ฝ่าบาทโปรดมีพระบัญชาด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
ตงฟางเจ๋อไม่พูดอะไร กวาดมองโรงเตี๊ยมที่ดัดแปลงมาจากป้อมปราการตรงหน้าด้วยสายตาเย็นชา กำแพงสีเขียวเทา เหมือนดั่งเหล็กกล้า หากคิดจะใช้กำลังบุกเข้าไป มิใช่เรื่องง่าย
ซูหลีหันไปมองตงฟางจั๋วด้วยความตกใจ “…ลงกลอนประตูใหญ่ ท่านคิดจะทำอะไร?”
ตงฟางจั๋วรีบกล่าว “ไม่ใช่ข้า! ที่นี่ไม่ปลอดภัย เจ้ารีบไปเถิด!”
ซูหลีจ้องหน้าเขาเขม็ง สายตาไม่วอกแวก ไม่รู้ทำไม จู่ๆ นางก็รู้สึกสังหรณ์ใจอย่างรุนแรง นางก้าวเข้ามา ถามเสียงขรึม “ท่านยังมีเรื่องใดปิดบังข้าอยู่อีกหรือไม่?”
สายตาของตงฟางจั๋วไหวระริกเล็กน้อย ไม่รู้ว่าควรอธิบายเช่นไร ได้แต่เร่งเร้านาง “ไม่มีเวลาอธิบายแล้ว เอาเป็นว่าเจ้ารีบไปจากที่นี่ ที่นี่มี…”
“เซียงซืออวี่!” น้ำเสียงเย็นชาของตงฟางเจ๋อดังก้องขึ้นตัดบทคำพูดของเขา “เจ้าวางแผนชั่วบ่อนทำลายความสัมพันธ์ของสองแคว้น ฉวยโอกาสแย่งคนรักผู้อื่น ถือเป็นพฤติกรรมเลวทรามต่ำช้า ออกมามาคุยกันให้รู้เรื่อง!”
สายตาของตงฟางจั๋วแปรเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียด เดิมหมายจะตะโกนโต้กลับสักสองสามประโยคแต่ก็หุบปากไปก่อน เขาแสยะยิ้มเย็นชาแล้วหันไปมองด้านนอก
ตงฟางเจ๋อกวาดมองหน้าต่างมากมายบนเรือนมังกรล้อม เห็นหน้าต่างแต่ละบานคับแคบและมืดมิด เห็นเพียงหน้าต่างบานสองบานเท่านั้นที่คล้ายมีเงาคนเคลื่อนไหวรางๆ ยากจะแยกแยะว่าเป็นผู้ใด ก็อดแค่นหัวเราะไม่ได้ “เซียงซืออวี่ เจ้าเลิกซ่อนตัวได้แล้ว ข้ารู้แล้วว่าเจ้าเป็นใคร เหตุการณ์เพลิงไหม้ในปีนั้นไม่อาจคร่าชีวิตเจ้าได้ ยามนี้เจ้าเปลี่ยนใบหน้าใหม่ สลับตัวตน กลายเป็นนายน้อยแห่งเกาะตงหมิง! คนที่เจ้าซ่อนไว้บนเกาะ ข้าพาตัวมาให้เจ้าแล้ว พี่รอง จะไม่ออกมาพบหน้าหน่อยหรือ?”
คำว่า ‘พี่รอง’ ราวกับดึงทุกอย่างให้ย้อนกลับไปในอดีต ยามนั้นเขาเป็นพระโอรสองค์โตของฮองเฮา จิ้งอันอ๋องตงฟางจั๋ว ได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้ ส่วนคนผู้นั้นเป็นโอรสที่ถือกำเนิดจากพระสนมกุ้ยเฟย เจิ้นหนิงอ๋องตงฟางเจ๋อ มีจิตใจทะเยอทะยาน คิดจะฮุบตำแหน่งรัชทายาท ในอดีตพวกเขามีทุกอย่างสูสีกัน ปะทะกันครั้งแล้วครั้งเล่า ยามนี้กลับมีฐานะต่างกันราวฟ้ากับเหว เขากลายเป็นกบฏหลบหนี ที่จำต้องเปลี่ยนโฉมใหม่ หวังกลับมาตั้งตนเป็นใหญ่อีกครั้ง ส่วนคนผู้นั้นกลายเป็นฮ่องเต้แห่งแคว้นเฉิง มีบารมีเรืองรอง หวังครองโลกทั้งใบ เวลาค่อยๆ หมุนเวียนเปลี่ยนผัน ถึงแม้พวกเขาเป็นพี่น้องสายเลือดเดียวกัน แต่กลับไม่อาจหลีกเลี่ยงชะตากรรมที่ต้องห้ำหั่นกันได้
ซูหลีมองตงฟางจั๋ว “เขารู้ตัวตนของท่านแล้ว รีบหนีไปเถิด!”
เซียงซืออวี่ไม่ขยับ ดวงตาเต็มไปด้วยความแค้น กลับแค่นหัวเราะ “หนี? ข้ายังหนีไปไหนได้อีก?”
หัวใจของซูหลีบีบรัด นางมองออกไปนอกหน้าต่าง
เซิ่งเซียวพาชายชราคนหนึ่งเดินออกมายืนกลางลานกว้าง ชายชราคนนั้นรูปร่างเล็กมาก สูงครึ่งเดียวของคนทั่วไปเท่านั้น ยามนี้ใบหน้าเขาแก่ชราและผ่ายผอม ผมเผ้ายุ่งเหยิง ถูกเซิ่งเซียวหิ้วคอเสื้อจากด้านหลัง เท้าลอยเหนือพื้น เขาเปล่งเสียงฟังไม่ได้ศัพท์ คล้ายคนสติไม่ดี แต่ดวงตาของชายเสียสติคนนี้กลับเป็นประกาย เขาจ้องเข้าไปในหน้าต่างอันมืดมิด คล้ายกำลังค้นหาใบหน้าอันคุ้นเคย
ตงฟางจั๋วเห็นเขา นัยน์ตาพลันแปรเปลี่ยนเล็กน้อย ซูหลีเอ่ยถามด้วยความสงสัย “เขาเป็นใคร?”
ตงฟางจั๋วหมุนกายเอาหลังแนบกำแพง กำแพงอันหนาวเย็นทำให้เขาตัวสั่นงันงก เขากล่าวด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ “คนที่เปลี่ยนโฉมให้ข้า”
ซูหลีประหลาดใจ “หมอที่รักษาท่าน?”
ตงฟางจั๋วกัดฟันกล่าวว่า “ข้าควรฆ่าเขาเสียตั้งแต่แรก!”
ดูจากสายตาเขา เต็มไปด้วยความเคียดแค้นอย่างเห็นได้ชัด ซูหลีอดกล่าวด้วยความตกตะลึงไม่ได้ “ท่านเหมือนเกลียดแค้นเขามาก? เขาช่วยท่านไว้ไม่ใช่หรือ?”
ตงฟางจั๋วปิดหน้าด้วยนิ้วมืออันสั่นเทา “ตอนแรกข้าก็คิดว่าเขาต้องการช่วยเหลือข้าด้วยความจริงใจ แต่นึกไม่ถึงว่าเขากลับเห็นข้าเป็นเครื่องมือทดลองเท่านั้น! ใบหน้านี้…ผ่านการเปลี่ยนแปลงมาถึงเจ็ดครั้ง หากข้าไม่ฉวยโอกาสตอนเขาเผลอแล้วหนีออกมา เกรงว่าตอนนี้ข้าคงถูกเขาเปลี่ยนโฉมไปตั้งแต่หัวจรดเท้าแล้ว”
ซูหลีตื่นตะลึง “เหตุใดเขาต้องทำเช่นนี้ด้วย?”
น้ำตาไหลอาบหน้าตงฟางจั๋ว เขาตวาดเสียงต่ำ “เขาเป็นคนเสียสติ! คนบ้า! ไม่มีความเป็นคน!”
คนบ้าที่มีทักษะทางการแพทย์ยอดเยี่ยม แต่กลับไม่มีจรรยาบรรณของความเป็นแพทย์ ใช้คนเป็นมาเป็นตัวทดลอง โหดร้ายเกินไปจริงๆ ซูหลีถอนหายใจเบาๆ “แต่สุดท้ายท่านก็ไม่ได้ฆ่าเขา…”
ตงฟางจั๋วเงียบงันไม่พูดจา ความเจ็บปวดทรมานสะท้อนชัดในดวงตา
ด้านล่างโรงเตี๊ยม ตงฟางเจ๋อแสยะยิ้มแล้วหันไปกล่าวกับชายชรา “ดูเหมือนเขาไม่คิดจะลงมาช่วยเจ้า เซิ่งเซียว ฆ่าเขาเสีย”
เซิ่งเซียวชูดาบขึ้น ชายชราผู้นั้นหน้าเปลี่ยนสี รีบโบกมือไปมา “อย่านะ! อย่าฆ่าข้า เขายังต้องการให้ข้าช่วยชีวิตเขาอยู่ เขาไม่มีทางไม่ช่วยชีวิตข้า!” เขาโบกมือไปทางเรือนล้อมมังกร แล้วตะโกนเสียงดัง “เซียงซืออวี่ ยาหุยซินที่เจ้าต้องการข้าทำเสร็จแล้ว หากเจ้าไม่ช่วยข้า เจ้าก็มีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นานเช่นกัน”
ซูหลีขมวดคิ้ว “เขาหมายความว่าเช่นไร?”
เซียงซืออวี่กล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “เขาเปิดช่องท้องแล้วเปลี่ยนถ่ายอวัยวะข้าไปสองชิ้น ต้องกินยาจึงจะใช้ชีวิตปกติต่อไปได้”
ซูหลีตกใจ สายตาที่มองเขาสะท้อนแววเห็นใจ นึกไม่ถึงว่าเขารอดชีวิตมาจากทะเลเพลิงแล้ว กลับต้องเผชิญหน้ากับความทุกข์ทรมานที่คนทั่วไปไม่อาจจินตนาการได้มามากมายถึงเพียงนี้ นางอดไม่ได้ที่จะก้าวเข้าไปหาเขา “ตงฟางจั๋ว กลับตัวตอนนี้ยังไม่สายไป ข้าจะออกไปพร้อมกับท่าน ข้าช่วยท่านได้…”
ตงฟางจั๋วส่ายหน้าอย่างขมขื่น “ไม่ต้องหรอก ผืนฟ้ากว้างใหญ่ แต่ไร้ที่ให้ข้ายืน ซูซู…เจ้าไม่ต้องห่วงข้า เจ้าไปเถิด”
——————-