กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - บทที่ 11 ตงฟางเจ๋อจัดงานเลี้ยงรวมญาติ (3)
เป็นที่รู้กันว่า ตำหนักเฟิ่งเตี้ยนอยู่ติดกับตำหนักบรรทมของฮ่องเต้แคว้นเฉิง และเป็นที่พักของฮองเฮาและนางสนม สิทธิพิเศษเช่นนี้ ยากที่ผู้ได้ยินข่าวจะไม่ตกตะลึง
ทั้งสามกังวลใจ ต่างมองหน้ากันไปมา จากนั้นก็หันไปมองซูหลีโดยมิได้นัดหมาย ซูหลีเปิดอ่านม้วนฎีกาในมือ ไม่ได้แสดงความเห็นอะไรต่อเรื่องนี้ คล้ายไม่ใส่ใจอยู่แล้ว
ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยบังเกิดความสงสัย เอ่ยอย่างไม่เข้าใจ “ด้วยนิสัยของฮ่องเต้แคว้นเฉิง ไม่มีทางถูกเหล่าขุนนางบังคับได้ ยิ่งไม่ใช่คนไร้จิตใจขาดคุณธรรม จะปล่อยให้เรื่องราวเลยเถิดมาถึงขั้นนี้ได้อย่างไรกัน? เรื่องนี้จะต้องมีเงื่อนงำแน่ๆ! เพราะตอนนั้นเพื่อเปิดโปงแผนการก่อกบฏของจั้นอู๋จี๋ เขาก็เคยสู่ขอหยางเสวียนปลอมๆ!”
หวั่นซินส่ายหน้า แล้วถอนหายใจกล่าวว่า “ปีนั้นหยางเสวียนมีเจตนาร้าย และแรงจูงใจอื่น แต่เหลียงหรูเยวี่ยเป็นคนดีจิตใจบริสุทธิ์ แล้วยังเติบโตมาพร้อมกับฮ่องเต้แคว้นเฉิง สองคนนั้นเรียกได้ว่า…ต่างกันราวฟ้ากับดิน”
โม่เซียงร้อนใจเดินไปเดินมาไม่หยุด ร้องด้วยความกังวล “แย่แล้วๆ! เช่นนั้นก็หมายความว่าหากฮ่องเต้แคว้นเฉิงไม่โปรดปรานคุณหนูเหลียงเป็นพิเศษ จะไปเดินเล่นกับนางอย่างไม่ปิดบังได้อย่างไรกัน? อ๊ะ ใช่แล้ว! คุณหนูเหลียงยังบอกอีกว่าจะให้ฮ่องเต้แคว้นเฉิงแกะสลักไม้ให้นาง! ฮ่องเต้แคว้นเฉิงเหมือนจะ…ไม่ได้ปฏิเสธ?”
มือของซูหลีที่กำลังจับฎีกาพลันชะงัก ภาพไม้ตะโกชิ้นนั้นผุดขึ้นมาในสมอง ในที่สุดเขาก็จะแกะสลักไม้ให้หญิงอื่นแล้ว! นับตั้งแต่นี้ไป นางจะไม่ใช่คนเดียวที่ได้รับน้ำใจนั้นจากเขาอีกต่อไปแล้ว ยามนี้นางควรรู้สึกดีใจแทนเขา แต่เพราะเหตุใดกัน นางกลับรู้สึกแน่นหน้าอก จนไม่อาจหายใจ นางสูดหายใจเบาๆ กำฎีกาในมือแน่นโดยไม่รู้ตัว พยายามสงบสติอารมณ์ แต่กลับอ่านไม่รู้เรื่องเลยสักคำ
ครั้นนึกถึงเหตุการณ์ที่บังเอิญเจอกันวันนั้น ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยก็พลันกลัดกลุ้ม นางเอ่ยอย่างลังเล “บางทีอาจเป็นเพียงสัมพันธ์ฉันพี่น้อง ไม่อย่างนั้นหากจะแต่งตั้งเป็นสนมก็คงไม่รอจนถึงตอนนี้”
หวั่นซินขมวดคิ้ว กล่าวว่า “หากเป็นสัมพันธ์ฉันพี่น้อง เหลียงหรูเยวี่ยจะคัดพระคัมภีร์อยู่ในจวนเหลียงก็ได้ เหตุใดต้องทำการเอิกเกริกด้วยการเข้าวังด้วย?”
โม่เซียงกระทืบเท้า “ใช่แล้ว! เห็นได้ชัดว่ากำลังป่าวประกาศให้ทุกคนรู้ว่าฮ่องเต้แคว้นเฉิงจะแต่งตั้งสนมไม่ใช่หรืออย่างไร? ไม่ได้การ! ข้าไปสืบข่าวก่อน ดูซิว่าหลังจากคุณหนูเหลียงเข้าวังมาแล้ว พวกเขาทำอะไรกันบ้าง!” ยังเอ่ยไม่ทันจบประโยค นางก็วิ่งออกไปด้วยความเร็วแล้ว
หลายวันหลังจากนั้น ข่าวที่โม่เซียงสืบมา บ้างก็มีฮ่องเต้แคว้นเฉิงโปรดปรานเหลียงหรูเยวี่ยอย่างยิ่ง ตามอกตามใจทุกเรื่อง เหลียงหรูเยวี่ยเข้าออกห้องทรงพระอักษรไม่จำเป็นต้องรายงาน เห็นฮ่องเต้แคว้นเฉิงก็ไม่จำเป็นต้องถวายบังคม ในแต่ละวันนอกจากเข้าบรรทมและออกว่าราชการ รวมถึงสะสางราชกิจต่างๆ แล้ว ก็มีเหลียงหรูเยวี่ยคอยอยู่ข้างๆ เป็นส่วนใหญ่ ลับหลังทุกคนล้วนแอบคาดเดาว่า ถึงแม้คุณหนูเหลียงผู้นี้ไม่มีวาสนาในตำแหน่งฮองเฮา แต่จะต้องถูกแต่งตั้งเป็นกุ้ยเฟยอย่างแน่นอน!
วันเวลาผ่านไปเช่นนี้ครึ่งเดือน หยวนเซี่ยงที่รักษาการณ์อยู่ที่ด่านชายแดนได้รับคำสั่งให้กลับวังมารายงานการปฏิบัติหน้าที่ พระราชโองการแต่งตั้งสนมของฮ่องเต้แคว้นเฉิงยังคงไม่ถูกเขียนขึ้น เขายังคงไม่แสดงท่าทีอันชัดเจนต่อคำร้องขอให้แต่งตั้งสนมของเหล่าขุนนาง
หลังจากว่าราชการช่วงเช้าของวันนี้เสร็จ ซูหลีกำลังหารือเกี่ยวกับเรื่องประสิทธิภาพหลังจากเริ่มใช้ข้อบังคับใหม่กับเหล่าขุนนาง จู่ๆ เฟิงซุ่นก็เข้ามารายงาน “ฝ่าบาท ฮ่องเต้แคว้นเฉิงจัดงานเลี้ยงรวมญาติ เชิญพระองค์เสด็จไปร่วมงานด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
ซูหลีแปลกใจ รวมญาติ?
สายตาของเหล่าขุนนางเป็นประกายขึ้นมาทันที ต่างหันไปจ้องหน้านางตาปริบๆ ราวกับหากนางไป ฮ่องเต้แคว้นเฉิงก็จะล้มเลิกความตั้งใจในการแต่งตั้งสนม
ซูหลีขมวดคิ้วถาม “มีผู้ใดอีกบ้าง?”
ซุ่นเฟิงตอบว่า “ได้ยินว่ามีคุณชายซูจากจวนอัครเสนาบดีด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
ซูฉุนกลับมาแล้ว? ซูหลีดีใจ ไม่เจอกันหลายปี ไม่รู้ว่ายามนี้เขาเป็นอย่างไรบ้าง
ไม่นานหลังจากสะสางราชกิจเสร็จ ซูหลีก็นั่งเกี้ยวไปถึงอุทยานหลวงของพระราชวังเฉิง ‘โจวหลี่’ หัวหน้าขันทีรออยู่นอกสวนแต่แรกแล้ว ครั้นเห็นนาง ก็รีบเดินเข้ามาค้อมกาย ซูหลีโบกมือ สั่งให้ผู้ติดตามทุกคนถอยห่าง จากนั้นก็เดินตามโจวหลี่ไปบนทางเดินเส้นยาว
มองเห็นด้านในศาลาหูซินทางทิศเหนือจากที่ไกลๆ ตงฟางเจ๋อมีสีหน้าจริงจัง กำลังแข่งหมากล้อมกับคนผู้หนึ่งอยู่
บุรุษที่อยู่ตรงกันข้ามสวมชุดฉางผาวลายก้อนเมฆ เขาก็คือ ‘ซูฉุน’ คุณชายแห่งจวนอัครเสนาบดีที่ไม่ได้พบกันมานานหลายปีแล้วนั่นเอง ดวงตาและคิ้วงดงามน่ามอง อ่อนโยนดุจหยกล้ำค่า ยังคงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง ย้อนนึกไปถึงในอดีตตงฟางเจ๋อเป็นแขกในจวนอัครเสนาบดี ซูฉุนกลับหาข้ออ้างหลบหน้า ไม่ยอมมีปฏิสัมพันธ์กับเขาแม้แต่น้อย แต่ยามนี้หลังกลับจากเดินทางท่องยุทธภพ กลับสามารถนั่งแข่งหมากล้อมกับตงฟางเจ๋ออย่างใจเย็น เดาว่าประสบการณ์ในหลายปีที่ผ่านมา คงทำให้เขาเปลี่ยนแปลงไปมาก
พวกเขากำลังแข่งหมากล้อมกันอย่างดุเดือด ซูหลีเองก็ไม่ส่งเสียงรบกวน ยืนมองไกลๆ จากนอกศาลา ในบางมุม บุคลิกอ่อนโยนสง่างามของซูฉุนดูคล้ายกับหลางฉ่างอยู่หลายส่วน พวกเขาต่างปฏิบัติตนกับผู้อื่นอย่างอ่อนโยนเสมอ เพียงแต่หลางฉ่างเกิดในราชวงศ์ จึงทำให้มีราศีสูงส่งที่คนธรรมดาทั่วไปไม่มี ซูฉุนแม้เกิดในจวนอัครเสนาบดี แต่กลับเดินทางท่องไปทั่วยุทธภพ มีปฏิสัมพันธ์กับผู้คนทั้งฐานะสูงและต่ำปะปนกันไป ด้วยเหตุนี้จึงเป็นคนที่เข้าถึงง่ายแตกต่างจากคุณชายจากตระกูลผู้ดีทั่วไป
“ข้ารู้แต่แรกแล้วว่าฝีมือการเดินหมากของเจ้าไม่ธรรมดา พบกันวันนี้ ฝีมือเก่งกาจกว่าเดิมดังคาด” แม้แข่งแพ้ ตงฟางเจ๋อกลับถอนหายใจอย่างจนใจ ไม่รู้สึกเคืองขุ่นเลยแม้แต่น้อย เขาเงยหน้าเล็กน้อย รู้สึกได้ว่าซูหลีกำลังเดินเข้ามาในศาลา สายตาไหวระริกเล็กน้อย แต่กลับไม่พูดอะไร
ครั้นสัมผัสได้ว่าบรรยากาศเปลี่ยนไป ซูฉุนรีบหันกลับไป ใบหน้าแปรเปลี่ยนเป็นยินดี รีบลุกขึ้น แล้วขานเรียกด้วยรอยยิ้ม “ซูซู! อ้อไม่ใช่สิ ยามนี้ควรกล่าวว่า ถวายบังคมฮ่องเต้หญิงแล้วสินะ!” เอ่ยจบ เขายังหมายจะเดินเข้ามาทำความเคารพตามพิธี
ซูหลีรีบห้ามปรามเขา แย้มยิ้มแล้วกล่าวว่า “พี่ใหญ่ไม่จำเป็นต้องมากพิธี! หากเป็นผู้อื่นก็ว่าไปอย่าง ท่านกับข้าเป็นพี่น้องกัน ไม่ได้เจอกันหลายปี อย่าทำตัวห่างเหินเช่นนี้เลยเจ้าค่ะ!”
สายตาของซูฉุนแปรเปลี่ยนเป็นอ่อนโยน จ้องพิจารณาอย่างละเอียด ไม่เจอกันหลายปี นางยังคงงดงามไม่เปลี่ยนแปลง แต่บุคลิกกลับเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง ทุกการเคลื่อนไหว ทุกการกระทำ ล้วนสะท้อนให้เห็นถึงความหนักแน่นและความน่าเกรงขามของประมุขแห่งแคว้น เขาอดกล่าวอย่างทอดถอนใจไม่ได้ “แม้เป็นพี่น้อง แต่เจ้าเป็นถึงฮ่องเต้หญิง สมควรได้รับการคารวะจากซูฉุน” เอ่ยจบยังทำท่าจะเดินเข้าไปทำความเคารพ แต่กลับถูกตงฟางเจ๋อกระตุกให้นั่งลง เขาตะลึงงันเล็กน้อย
ตงฟางเจ๋อกล่าวด้วยสายตาราบเรียบ “ในเมื่อเป็นงานเลี้ยงรวมญาติ ก็ไม่จำเป็นต้องมากพิธี ทำตัวตามสบายกันเถิด” เอ่ยจบก็หันไปมองซูหลีแวบหนึ่ง แล้วนั่งลงเงียบๆ
โจวหลี่สั่งให้นำอาหารมาถวาย อาหารเลิศรสมากมายถูกนำมาวางบนโต๊ะ
ซูหลีนั่งข้างซูฉุน ไม่ได้เจอกันนาน แววยินดีที่หาดูได้ยากปรากฏชัดในดวงตานาง นางยกแก้วแล้วกล่าวอย่างทอดถอนใจ “ภาพที่ต้องส่งพี่ใหญ่ออกจากเมืองไปในปีนั้นยังคงชัดเจนเหมือนเพิ่งเกิดขึ้น พริบตาเดียวก็ผ่านไปแล้วถึงห้าปี! พี่ใหญ่ หลายปีมานี้ ท่านสบายดีหรือไม่?”
ซูฉุนพยักหน้าพร้อมรอยยิ้ม “ข้าสบายดี”
เขาจ้องหน้านางด้วยสายตาลึกซึ้ง เดิมทีนึกว่าซูหลีก่อนที่เขาจะจากเมืองหลวงไปก็งดงามสะดุดตามากพอแล้ว แต่ทว่ารัศมีอันเรืองรองนั่นมากสุดก็เป็นตำแหน่งฮองเฮา ไม่เคยคาดคิดว่าจากกันหลายปี นางกลับกลายเป็นฮ่องเต้หญิงไปแล้ว?! ยืนเคียงบ่ากับบุรุษที่ตนเองชอบ โดยไม่จำเป็นต้องซ่อนตัวอยู่ในวังหลัง รอคอยบุรุษให้มาโปรดปราน! เขารู้สึกดีใจแทนนางจริงๆ ดวงหน้าตรงหน้าแม้ยังคงงดงามเช่นวันวาน แต่หางตากลับมีร่องรอยของความเหนื่อยล้าปรากฏอย่างชัดเจน ลึกๆ ในดวงตาสะท้อนแววแข็งกร้าวไม่แพ้บุรุษเพศ นั่นกลับทำให้ซูฉุนรู้สึกปวดใจขึ้นมา
เขาท่องยุทธภพอยู่ข้างนอกหลายปี ได้ยินข่าวลือมากมายเกี่ยวกับนาง ซูฉุนอดละอายใจไม่ได้ เขาเอ่ยด้วยความห่วงใย “เจ้าเป็นสตรี กลับต้องดูแลความเป็นอยู่ของบ้านเมือง หลายปีมานี้ต้องลำบากมากแน่ๆ ถึงแม้เจ้าจะเรียกข้าว่าพี่ใหญ่ แต่กลับไม่อาจแบ่งเบาภาระเจ้าได้ ข้าละอายใจต่อเจ้ายิ่งนัก!”
ซูหลีส่ายหน้า แล้วเอ่ยอย่างใจเย็น “พี่ใหญ่กล่าวหนักไปแล้ว เส้นทางที่ข้าเดินเป็นเส้นทางที่ข้าเลือก ไม่ว่าจะสุขหรือทุกข์เพียงใดก็ควรแบกรับไว้อย่างสุดกำลัง ยิ่งไปกว่านั้น ข้ายังมีอวิ๋นฮุ่ยเป็นผู้ช่วยมือดี นางคอยช่วยเหลือข้าอยู่เสมอ”
ท่านหญิงอวิ๋นฮุ่ยแห่งแคว้นติ้ง ซูฉุนเองก็เคยได้ยินมาบ้างเช่นกัน ได้ยินว่าตั้งแต่ซูหลีขึ้นครองราชย์ สตรีผู้นี้ก็เข้าวังมาช่วยเหลือนางทันที ความสามารถรอบด้าน ผลงานโดดเด่น เป็นสตรีที่มากความสามารถผู้หนึ่ง และความสามารถในการเลือกใช้คนของซูหลี ก็เป็นที่เลื่องลือไปทั่วเช่นกัน
ซูฉุนกล่าวอย่างทอดถอนใจ “ซูซู เจ้าแข็งแกร่งและกล้าหาญกว่าที่พี่ใหญ่คิดไว้มาก เจ้าโดดเด่นถึงเพียงนี้ ช่างทำให้พี่ใหญ่เช่นข้าละอายใจยิ่งนัก”
ซูหลีแย้มยิ้ม ก้มหน้าเล็กน้อย เบื้องหลังที่ดูแข็งแกร่งและกล้าหาญ ต้องทุ่มเทอะไรไปบ้าง มีเพียงนางเท่านั้นที่รู้ดีที่สุด
แม้จะพยายามปกปิดอย่างสุดความสามารถ แต่คนข้างกายกลับยังคงจับสังเกตการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์อันละเอียดอ่อนของนางได้อย่างรวดเร็ว สายตาของตงฟางเจ๋อไหวระริก รีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนา เขายิ้มเล็กน้อย แล้วเอ่ยว่า “หลายปีมานี้ซูฉุนท่องยุทธภพอยู่ข้างนอก คงได้พบเห็นอะไรแปลกใหม่มากมาย?”
————————————-