กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - บทที่ 13 ตงฟางเจ๋อจัดงานเลี้ยงรวมญาติ (5)
ตงฟางเจ๋อเอ่ยว่า “เรื่องดูแลกรมพิธีการ เจ้าพิจารณาให้ดี ข้า จะไม่บังคับเจ้า”
ซูฉุนกล่าวว่า “ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ!”
“ทูลฝ่าบาท ท่านหญิงอวิ๋นฮุ่ยมาขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ” เสียงขันทีรายงานดังมาจากด้านนอกศาลา
ซูหลียังไม่ทันเปิดปาก ตงฟางเจ๋อก็กล่าวว่า “รีบเชิญเข้ามา”
ซูฉุนหันกลับไป เห็นสตรีนางหนึ่งเดินเข้ามาด้วยท่วงท่าแช่มช้อยงดงาม วันนี้ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยสวมชุดกระโปรงสีเขียวอ่อน เรียบหรูสง่างาม นางย่างกรายบนทางเดินไม้เหยียดยาวเหนือผืนน้ำ รอบกายผืนฟ้าจรดผิวน้ำ ขับเน้นให้นางยิ่งดูเหมือนภาพวาด นางมองเห็นซูหลีจากที่ไกลๆ ดวงตาและคิ้วสะท้อนรอยยิ้มอ่อนโยน เมื่ออยู่ภายใต้แสงอาทิตย์ยิ่งดูงดงามเป็นพิเศษ
ไม่รอให้นางค้อมกายทำความเคารพ ซูหลีรีบลุกขึ้นรั้งนาง ยิ้มเล็กน้อยแล้วกล่าวว่า “อวิ๋นฮุ่ยมาได้เวลาพอดี ท่านนี้ก็คือคนที่ข้าเคยเล่าให้เจ้าฟัง พี่ใหญ่ของข้าในจวนอัครเสนาบดีแห่งแคว้นเฉิง ซูฉุน”
ชื่อเสียงของซูฉุนแห่งจวนอัครเสนาบดีแคว้นเฉิง ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยก็เคยได้ยินผ่านหูมาบ้าง นางรีบก้าวเข้าไปค้อมกาย “คารวะคุณชายซู”
ซูหลีหมายจะเอ่ยปาก แต่กลับเห็นสายตาของซูฉุนเต็มไปด้วยความประหลาดใจ คล้ายไม่อาจควบคุมความตื่นเต้นในใจไว้ได้ เขาตะโกนเสียงดัง “เป็นเจ้า!!”
ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยได้ยินก็เงยหน้า ครั้นเห็นใบหน้าซูฉุน นางเองก็ตกตะลึงเช่นกัน “คุณชายจื่อฉุน!”
“พวกท่านรู้จักกันหรือ?” ซูหลีแปลกใจ
ซูฉุนพยักหน้า ก่อนจะหันหน้าไปประสานมือกล่าวขอโทษกับซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยอย่างจริงใจ “ยามนั้นข้าท่องยุทธภพอยู่ข้างนอก เพื่อเลี่ยงปัญหา จึงเปลี่ยนชื่อเป็นจื่อฉุน หวังว่าท่านหญิงจะไม่ถือโทษโกรธข้า”
ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยแย้มยิ้มเล็กน้อย แล้วกล่าวว่า “คุณชายซูเกรงใจเกินไปแล้ว ข้าเองก็ไม่ต่างกับท่านเลย”
ทั้งสองมองหน้ากันด้วยรอยยิ้ม กลับให้ความรู้สึกเหมือนคนรู้ใจกันอย่างบอกไม่ถูก
ซูหลีไม่เคยเห็นสายตาซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยเต็มไปด้วยรัศมีเปล่งประกายเช่นนี้มาก่อน ราวกับเป็นประกายความยินดีที่ออกมาจากใจ ส่วนซูฉุนเองก็ดีใจจนไม่อาจปกปิด เหมือนรอคอยมานานแสนนาน ในที่สุดก็ได้เจอคนที่เฝ้าฝันถึงมาโดยตลอดเสียที ซูหลีพลันตระหนักได้ทันที แอบยินดีกับพวกเขาเงียบๆ
ตงฟางเจ๋อแย้มยิ้ม แล้วเอ่ยว่า “ดูเหมือนล้วนไม่ใช่คนอื่นคนไกล นั่งลงคุยกันเถิด”
หลังจากนั่งลง แล้วถามว่าทั้งสองรู้จักกันได้อย่างไร ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยก็หันไปยิ้มให้ซูหลี แล้วกล่าวว่า “ฝ่าบาทยังทรงจำได้หรือไม่ ปีที่แล้วทิศใต้ประสบปัญหาขาดแคลนน้ำ หม่อมฉันเป็นตัวแทนพระองค์เดินทางลงใต้ไปปลอบขวัญราษฎร แล้วประสบเหตุการณ์วุ่นวายในระหว่างนั้น?”
ซูหลีพยักหน้า ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยเอ่ยด้วยความซาบซึ้ง “ยามนั้นโชคดีที่ได้คุณชายซูยื่นมือเข้ามาช่วย หม่อมฉันจึงหลุดพ้นจากเหตุการณ์วุ่นวายมาได้ แม้แต่กลยุทธ์แก้ไขปัญหาขาดแคลนน้ำ ก็เป็นความคิดของคุณชายซูเพคะ”
ซูหลีหันไปมองซูฉุนด้วยความตกใจ “ที่แท้คุณชายรูปโฉมโดดเด่นที่อวิ๋นฮุ่ยเคยกล่าวถึง กลับเป็นพี่ใหญ่เอง!”
ซูฉุนยิ้มอย่างมีนัยแฝง “ยามนั้นท่องยุทธภพแล้วผ่านทางมาพอดี กลยุทธ์แก้ไขปัญหาขาดแคลนน้ำ ข้าเพียงเสนอความคิดเห็นเล็กน้อย ผู้ที่แก้ไขปัญหาขาดแคลนน้ำได้อย่างแท้จริง ยังคงเป็นท่านหญิงอวิ๋นฮุ่ย! นางมีความรู้รอบด้าน แม้เผชิญหน้ากับเหตุการณ์วุ่นวายก็ไม่แตกตื่น ปฏิบัติตนต่อชาวบ้านที่โกรธแค้นด้วยความเมตตา ใช้เวลาเพียงไม่กี่วัน ไม่เพียงแก้ไขปัญหาขาดแคลนน้ำได้ ยังสามารถปลอบประโลมชาวบ้านที่ประสบภัยให้กลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติอีกครั้ง ช่างน่าเลื่อมใสยิ่งนัก”
ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยกลับกล่าวว่า “คุณชายกล่าวชมเกินไปแล้ว อวิ๋นฮุ่ยได้รับการอบรมสั่งสอนจากท่านพ่อมาตั้งแต่เล็ก รู้ว่าราษฎรมีความสำคัญเพียงใด เพียงเสียดายที่ตนเองไม่ใช่บุรุษ จึงไม่อาจรับใช้ชาติด้วยร่างกายเหมือนที่ท่านพ่อทำ…เดิมทีนึกว่าจะต้องเสียใจไปตลอดชีวิต นึกไม่ถึงฝ่าบาทกลับให้โอกาสอวิ๋นฮุ่ย ทำให้อวิ๋นฮุ่ยเข้าออกราชสำนักได้ด้วยฐานะสตรีเพศ และมีโอกาสได้แสดงความสามารถที่มี…นำสิ่งที่ร่ำเรียนมาตอบแทนบ้านเมือง แบ่งเบาภาระฝ่าบาท รับใช้ราษฎร อวิ๋นฮุ่ยรู้สึกโชคดียิ่งนัก”
ทั้งที่เป็นสตรีอ่อนโยน แต่ในถ้อยคำกลับเต็มไปด้วยความภาคภูมิในตนเอง ดวงตาสดใสสุกสกาว ความรู้สึกขอบคุณและความสุขเปี่ยมล้นออกมาจากใจ ทำให้ดวงหน้าพริ้มเพราอ่อนหวานของนางราวกับมีรัศมีเจิดจรัสแผ่ออกมาจากข้างใน งดงามกระชากวิญญาณผู้พบเห็น
ทุกคนในศาลาที่ได้ยินประโยคนี้ ต่างก็ตะลึงไม่มากก็น้อย ตงฟางเจ๋อเองก็ไม่ยกเว้น ตั้งแต่ที่พบกันครั้งแรกในงานชุมนุมไป่จี๋ เขาก็รู้แล้วว่านางไม่ใช่สตรีธรรมดา ไม่ผิดหวังจริงๆ ที่ตั้งใจเชิญนางมาในวันนี้
ซูหลีเพิ่งเคยได้ยินอวิ๋นฮุ่ยพูดประโยคอย่างนี้เป็นครั้งแรก อดรู้สึกตื้นตันใจไม่ได้ อวิ๋นฮุ่ยเห็นนางเป็นสหายรู้ใจ ในขณะเดียวกันอวิ๋นฮุ่ยเองก็เป็นสหายรู้ใจของนางเช่นกัน! ปีนั้นแคว้นติ้งตกอยู่ในสถานการณ์วุ่นวาย หากไม่ได้อวิ๋นฮุ่ยคอยช่วยเหลืออยู่ข้างๆ และคอยให้กำลังใจทุกวัน นางอาจไม่มีพลังมากพอที่จะค้ำจุนบ้านเมืองนี้ไว้ก็ได้
หากประโยคนั้นของนาง ส่งผลกระทบลึกๆ ในใจของซูหลีกับตงฟางเจ๋อ เช่นนั้นซูฉุนในยามนี้ยิ่งตื่นตะลึงอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ ในวินาทีก่อน เขายังลังเลว่าจะเข้ารับราชการดีหรือไม่ ด้วยกลัวว่าจะต้องตกอยู่ท่ามกลางวงล้อมของการแก่งแย่งชิงดีชิงเด่น ทว่าสตรีนางนี้กลับมุ่งมั่นทำงานเพื่อชาติบ้านเมืองและราษฎรทั้งหัวใจ…
เสียแรงที่เขาท่องยุทธภพมานานหลายปี เมื่อถึงเวลากลับมีน้ำใจและความรู้กว้างขวางมิสู้สตรีนางหนึ่ง!
ถ้อยคำของซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยเหมือนไม้ที่ตีแสกหน้า ซูฉุนประสานมือคารวะด้วยความจริงใจ อวิ๋นฮุ่ยตกใจ “คุณชายซูทำอะไร?”
ซูฉุนกล่าวอย่างละอายใจ “ฟังวาจาของท่านหญิงแล้ว ฉุน…รู้สึกละอายใจเป็นอย่างยิ่ง! ท่านหญิงเป็นสตรียังมีปณิธานอันตั้งมั่นถึงเพียงนี้ ฉุนในฐานะชายชาตรี ร่ำเรียนวิชามาตั้งแต่เด็ก กลับคิดแต่อยากจะอยู่ห่างราชสำนัก เอาแต่ท่องยุทธภพ ช่างน่าละอายใจนัก!”
ซูหลีแย้มยิ้มเล็กน้อย “พี่ใหญ่เองก็ไม่จำเป็นต้องกล่าวโทษตนเอง ท่านมีพรสวรรค์ โอกาสอยู่ตรงหน้า ขอเพียงพี่ใหญ่ยินยอม ย่อมมีโอกาสรับใช้บ้านเมือง”
ซูฉุนพยักหน้า เดิมทีก็มิใช่ไม่อยากทำงานรับใช้บ้านเมือง เพียงแต่เบื่อหน่ายกับการแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นที่เคยเกิดขึ้นในอดีต แต่หลายปีมานี้เขาได้ยินมาว่าตงฟางเจ๋อปกครองราชสำนักแคว้นเฉิงด้วยวิธีที่แตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง
ซูฉุนหมุนกาย หันไปคุกเข่าค้อมศีรษะให้ตงฟางเจ๋อ แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ฝ่าบาททรงไม่ทอดทิ้งซูฉุน ซูฉุนเต็มใจรับตำแหน่งในกรมพิธีการ และจะทุ่มเทพัฒนาความร่วมมือของสองแคว้นอย่างสุดกำลังพ่ะย่ะค่ะ”
ตงฟางเจ๋อชำเลืองมองซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยเล็กน้อย แล้วยิ้มอย่างมีความหมายแฝง “ยังคงเป็นท่านหญิงที่ร้ายกาจ เพียงเอ่ยวาจาไม่กี่ประโยคก็ทำให้ซูฉุนเปลี่ยนใจได้ ดี! โจวหลี่ ประกาศราชโองการ”
โจวหลี่เดินไปยังริมรั้วศาลา จากนั้นก็เลื่อนกระดานหมากที่เมื่อครู่ตงฟางเจ๋อกับซูฉุนใช้เดินหมากแข่งกันออกอย่างระมัดระวัง ด้านในมีช่องลับหนึ่งช่อง ในช่องลับมีพระราชโองการสีเหลืองอยู่หนึ่งม้วน
โจวหลี่ประคองพระราชโองการด้วยสองมือ แล้วกล่าวเสียงดัง “ซูฉุนรับราชโองการ!”
ซูฉุนรีบค้อมศีรษะ
“…ด้วยโองการแห่งฟ้า ฮ่องเต้จึงมีรับสั่ง ให้ ‘ซูฉุน’ บุตรชายแห่งจวนอัครเสนาบดี ผู้ซึ่งเปี่ยมไปด้วยพรสวรรค์ และคุณธรรมอันเพียบพร้อม ท่องยุทธภพมานานหลายปี มีผลงานแก้ไขบทประพันธ์ ‘หยาซ่งแห่งแคว้นเฉิง’ ได้รับความไว้วางใจจากข้า นับตั้งแต่วันนี้ให้กลับมาทำหน้าที่ในราชสำนัก รับตำแหน่งเสนาบดีกรมพิธีการ จบราชโองการ!”
ซูฉุนรับราชโองการอย่างสำนึกในพระกรุณาธิคุณ ตงฟางเจ๋อประคองเขาด้วยตนเอง
ซูหลีกล่าว “เป็นเช่นนี้ก็ดี ข้าเองก็คิดอยากจะให้อวิ๋นฮุ่ยดูแลเรื่องการร่วมมือระหว่างสองแคว้น ภายหน้าพวกท่านทั้งสองคงต้องพบหน้ากันบ่อยครั้งอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง ทั้งสองสามารถเรียนรู้ซึ่งกันและกันได้ จะต้องทำงานร่วมกันได้อย่างปรองดอง และสงบสุขแน่นอน เช่นนี้ข้าก็จะได้ไม่ต้องปวดหัวกับเรื่องนี้อีก”
ซูฉุนดวงตาเป็นประกาย หันไปค้อมศีรษะให้ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ย “เมื่อถึงยามนั้น หวังว่าท่านหญิงจะให้คำชี้แนะ!”
ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยเม้มปากยิ้ม แล้วค้อมศีรษะตอบเล็กน้อย “ใต้เท้าซูเกรงใจแล้ว”
ทั้งสองต่างกล่าวเกรงอกเกรงใจซึ่งกันและกัน เรื่องนี้ถือว่าจบลงด้วยดีทุกฝ่าย ทั้งแก้ไขปัญหาการร่วมมือของสองแคว้นได้ แล้วยังเป็นไปดังที่ใจซูหลีคิดไว้อีกด้วย เห็นพวกเขาสองคนต่างแอบชำเลืองมองกันบ่อยๆ สายตาเต็มไปด้วยความชื่นชมและความรู้สึกดีๆ อย่างปิดไม่มิด บางทีอาจกลายเป็นตำนานอันงดงามตำนานหนึ่งก็ยังมิรู้ได้ ครั้นนึกถึงตรงนี้ ซูหลีก็แอบคาดหวังลึกๆ ไม่ได้ นางหันไปมองตงฟางเจ๋อ นึกไม่ถึงว่าเขาเองก็หันมามองนางเช่นกัน คล้ายกำลังไตร่ตรองบางอย่าง นางรีบหลุบตาต่ำโดยไม่พูดอะไร
“พี่ชาย! ข้าหาเจอแล้ว!” เสียงเล็กแหลมและสดใสดั่งนกขมิ้นทองดังมาจากริมฝั่งน้ำ
ซูหลีหันมองตามเสียง เห็นเพียงเหลียงหรูเยวี่ยกำลังยิ้มอย่างสดใสร่าเริง งดงามตราตรึง นางวิ่งเข้ามาด้วยความรีบเร่ง ชุดกระโปรงสีเหลืองพลิ้วสะบัด ดุจปีกผีเสื้ออันอ่อนช้อย นางถือถุงผ้าเล็กๆ ไว้ในมือ หมายจะยื่นให้ตงฟางเจ๋อ หันมาเห็นซูหลี ก็แลบลิ้นด้วยความเหนียมอาย ก่อนจะเดินเข้ามาย่อกายทำความเคารพ
ซูหลีถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “คุณหนูเหลียงมีเรื่องใดจึงได้เบิกบานถึงเพียงนี้?”
มือของเหลียงหรูเยวี่ยที่ถือถุงผ้ารีบขยับซ่อนไปด้านหลัง ดวงตากลมโตกลับกลอกไปมา ส่ายหน้าแล้วยิ้มตอบว่า “…เปล่า เปล่าเพคะ เป็นของเล่นชิ้นเล็กๆ เท่านั้น…”
“เอามาให้ข้าดูหน่อย” ตงฟางเจ๋อยื่นมือไปทางเหลียงหรูเยวี่ยด้วยใบหน้าอมยิ้ม
เหลียงหรูเยวี่ยรีบวิ่งไปหาเขา พร้อมกับกระซิบข้างหูเขาเบาๆ “สีแดง”
ซูหลีได้ยินสองคำนั้น ไม่เข้าใจว่าหมายถึงอะไร จึงอดหันไปมองตงฟางเจ๋อไม่ได้
ตงฟางเจ๋อเปิดถุงผ้าออกดู จากนั้นก็รีบเก็บทันที คิ้วเข้มยกยิ้มด้วยความดีใจ “ทำดีมาก! โจวหลี่ กลับไปสั่งให้คนนำเครื่องบรรณาการของปีก่อนส่งไปที่ตำหนักเฟิ่งเตี้ยนทั้งหมด นางชอบอะไรก็ให้นางเลือกได้ตามใจ”
โจวหลี่รีบรับคำสั่ง
“ขอบคุณพี่ชาย!” ดวงตาของเหลียงหรูเยวี่ยเป็นประกายเจิดจ้า แหงนหน้ากอดแขนเขา แล้วกระโดดด้วยความดีใจ
——————————————