กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - บทที่ 15 เจ้าต้องการจากกันด้วยดีกับข้า?! (2)
ณ พระราชวังเฉิง ยามว่าราชการช่วงเช้า เหล่าขุนนางถือแท่งเฉาฮู้[1]ไว้ในมือ ยืนแยกแถวออกเป็นสองฝั่ง สวมชุดเครื่องแบบขุนนางสีดำเข้ม ทำให้ตำหนักเฟิ่งเทียนที่เดิมก็ดูเคร่งขรึม ยิ่งดูน่าเกรงขามกว่าเดิมหลายส่วน
ตงฟางเจ๋อนั่งอยู่บนบัลลังก์มังกรเหนือบันไดศิลาตานปี้เก้าขั้น นั่งฟังเหล่าขุนนางรายงานราชกิจเงียบๆ เหล่มองนอกตำหนักเป็นระยะ คล้ายกำลังรอคอยอะไรบางอย่างอยู่
กระทั่งการรายงานเสร็จสิ้น ‘โจวหลี่’ หัวหน้าขันทีก็ได้เดินเข้ามาเตือนเสียงเบา “ฝ่าบาท จะประกาศราชโองการเลยหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”
เขาถอนหายใจเบาๆ แล้วกล่าวเสียงเข้ม “ประกาศเถิด”
โจวหลี่ก้าวเท้าไปข้างหน้าหนึ่งก้าว มือประคองม้วนพระราชโองการสีเหลืองทอง แล้วประกาศเสียงสูง “ประกาศราชโองการ เรียกตัวเหลียงหรูเยวี่ยให้มาเข้าเฝ้า”
ขันทีสองคนคนหนึ่งอยู่หัวตำหนัก คนหนึ่งอยู่ท้ายตำหนักร่วมกันขับขานส่งต่อคำสั่ง เสียงประกาศราชโองการดังออกไปจนถึงนอกตำหนัก
ผ่านไปไม่นาน เหลียงหรูเยวี่ยก้าวเข้ามาในตำหนัก ดวงหน้าบริสุทธิ์ผุดผ่องของสตรีแลดูสดใสร่าเริง สวมอาภรณ์หรูหรา วางตัวสง่างามเหมาะสมผิดจากยามปกติ นางสาวเท้าเดินเข้ามาใจกลางตำหนักอย่างแช่มช้า ชำเลืองมองทางขวาเล็กน้อย หางตามองเห็น ‘หยวนเซี่ยง’ แม่ทัพทหารม้าเงยหน้ามองมาที่นาง
ไม่เจอกันหลายปี เด็กสา วที่ไร้เดียงสาและร่าเริงแจ่มใสได้เติบโตกลายเป็นโฉมสะคราญ รูปร่างสะโอดสะองถึงเพียงนี้แล้ว หยวนเซี่ยงตะลึงงัน จากนั้นก็รีบก้มหน้า ลึกๆ ในใจบังเกิดความรู้สึกผิดหวัง รู้ทั้งรู้ว่าพระทัยฝ่าบาทมีเพียงคนผู้นั้น นางก็ยังยินยอมที่จะแต่งงานเข้าวังงั้นหรือ?
เหลียงหรูเยวี่ยเม้มปากยิ้มเล็กน้อย ละสายตาออกไป จากนั้นก็เดินเข้าไปค้อมกาย
“ลุกขึ้นได้” ตงฟางเจ๋อกล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “หลายวันมานี้หรูเยวี่ยทำหน้าที่บุตรกตัญญูแทนข้า คัดพระคัมภีร์ให้เสด็จแม่ทุกวัน ลำบากเจ้ายิ่งแล้ว ข้าจะตบรางวัลให้เจ้าอย่างงาม!”
เหลียงหรูเยวี่ยยิ้มอย่างอ่อนหวาน นางรับคำอย่างอ่อนน้อม “ได้รับเกียรติให้คัดพระคัมภีร์และสวดภาวนาให้ไทเฮา ถือเป็นบุญของหรูเยวี่ย หรูเยวี่ยมิบังอาจรับรางวัลเพคะ”
“ดี เจ้ารู้ความดังคาด ทั้งยังมีจิตใจรู้คุณ เด็กๆ!” ตงฟางเจ๋อเอ่ยชม จากนั้นก็ขานเรียก ขันทีสองคนรีบนำเครื่องยศสตรีสีแดงชุดหนึ่งเข้ามา กลับเป็นชุดแต่งงานขั้นหนึ่ง เขากล่าวด้วยน้ำเสียงก้องกังวาน “นี่เป็นชุดที่ข้ามอบให้เจ้า เอาไว้ใช้ในวันแต่งงาน”
ดวงตาของเหลียงหรูเยวี่ยเป็นประกาย นางค้อมกายคารวะอีกครั้ง “หรูเยวี่ยขอบพระทัยในพระมหากรุณาธิคุณของฝ่าบาทเพคะ”
เหล่าขุนนางที่สนับสนุนให้ฮ่องเต้แคว้นเฉิงแต่งตั้งสนม ครั้นเห็นเช่นนั้นก็แสดงสีหน้าดีอกดีใจ เห็นได้ชัดว่าการเกลี้ยกล่อมในหลายวันที่ผ่านมา ทำให้ฝ่าบาทเปลี่ยนพระทัยได้ในที่สุด เหล่าขุนนางต่างก้าวเท้าออกมากล่าวสรรเสริญ “ฝ่าบาททรงพระปรีชา!”
ซูเซียงหรู หยวนเซี่ยง และซูฉุนกลับไม่ได้ก้าวออกมาด้วย พวกเขาเพียงยืนอยู่ที่เดิม ด้วยสีหน้าที่แตกต่างกันออกไป ต่างคนต่างมีเรื่องในใจ ส่วนเหลียงสือชูบิดาของเหลียงหรูเยวี่ยผู้ที่วางแผนเพื่อเรื่องนี้มาเนิ่นนาน ครั้นข่าวดีใกล้มาถึง กลับยืนนิ่งอยู่ที่เดิมไม่ยอมขยับ เขาสุขุมเยือกเย็นจนน่าตกใจ ซูเซียงหรูอดหันไปมองเขาอย่างประหลาดใจไม่ได้
ซูฉุนลอบขมวดคิ้ว หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็ก้าวออกจากแถว แล้วกล่าวว่า “ฝ่าบาททรงมอบชุดแต่งงานขั้นหนึ่งให้คุณหนูเหลียง ใช่ตัดสินพระทัยแต่งตั้งสนมหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ? หากเป็นจริงดังนั้น ใช่สมควรแจ้งให้ฮ่องเต้แคว้นติ้งทราบข่าวก่อนดีหรือไม่ เพื่อเลี่ยงไม่ให้เกิดความเข้าใจผิด จนเป็นเหตุให้กระทบต่อสายสัมพันธ์ของสองแคว้น!”
ตงฟางเจ๋อมองเขาด้วยสายตาเรียบเฉย ไม่พูดอะไร เหล่าขุนนางหมายจะคัดค้าน พลันนั้น เสียงประกาศก็ดังมาจากด้านนอกตำหนัก
“ฮ่องเต้แคว้นติ้งเสด็จ!”
เหล่าขุนนางตกใจกันถ้วนหน้า ต่างหันหลังกลับไปมองอย่างไม่ได้นัดหมาย
หลังสิ้นสุดเสียงประกาศ ซูหลีเดินเข้ามาในตำหนัก ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยและหวั่นซินเดินตามหลังมา สายตาสงสัยทอดมองมาจากสองข้างทาง ซูหลีแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น ค่อยๆ ก้าวเข้ามายืนอย่างมั่นคงกลางตำหนัก แล้วจึงค่อยหันหลังกลับไปกวาดมอง นัยน์ตาเรียบเฉยไร้อารมณ์แต่กลับน่าเกรงขามจนไม่กล้าสบตาตรงๆ เหล่าขุนนางบุ๋นบู๊ต่างสะท้านไปทั้งใจ พากันก้มหน้าก้มตา ลอบคิดในใจว่าท่าไม่ดีเสียแล้ว หรือการแต่งตั้งสนมในวันนี้จะมีอุปสรรคเกิดขึ้นอีก?!
คนที่เดิมทีคิดว่าจะไม่มีทางปรากฏตัว กลับมายืนอยู่ตรงหน้าอย่างกะทันหัน แววยินดีพาดผ่านดวงตาของตงฟางเจ๋อ เขาก้าวเท้าลงจากบัลลังก์ แล้วเดินไปหานาง ยิ้มแล้วกล่าวคล้ายไม่ใส่ใจ “เจ้ามาที่นี่มีเรื่องใดงั้นหรือ?”
สายตาของซูหลีจับจ้องไปที่ชุดแต่งงานสีแดงสะดุดตาชุดนั้น ชุดเครื่องแบบขั้นหนึ่งที่ใช้ได้เฉพาะสนมขั้นกุ้ยเฟย ดูท่าการแต่งตั้งสนมคงจะต้องดำเนินต่อไปอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ นางเก็บซ่อนความเศร้าในใจ มองหน้าบุรุษตรงหน้าด้วยสายตาลึกซึ้ง กลีบปากขยับยิ้มเล็กน้อย “เด็กๆ!”
มีคนยกกล่องไม้สีแดงขนาดใหญ่สองกล่องเข้ามาวางกลางตำหนัก ครั้นเปิดฝากล่องออก กลับเป็นเยียนหลัวสองผืน เนื้อผ้าค่อยๆ ถูกกางออก ประกายแสงงดงามแผ่กำจายออกมา ทุกคนเพ่งมอง ผืนหนึ่งเป็นลวดลายมังกรและนกเพลิงนำพาความเจริญ อีกผืนเป็นลวดลายกิเลนมาเยือน ยามนี้ แสงตะวันจากด้านนอกตำหนักสาดกระทบผ้าไหมงาม ยิ่งขับเน้นให้ลวดลายบนผืนผ้าโดดเด่นราวกับมีชีวิต เปล่งประกายดึงดูดสายตาผู้คน
เหล่าขุนนางตกตะลึง หนึ่งคือไม่รู้ว่าซูหลีทำอย่างนี้เพื่ออะไรกันแน่ สองคือผ้าไหมเยียนหลัวเป็นของล้ำค่าหายาก เดิมทีก็มีไม่มากอยู่แล้ว จึงมีคนเคยพบเห็นน้อยมาก ผ้าไหมสองผืนที่อยู่ตรงหน้าลวดลายงดงามตระการตา เรียกได้ว่าฝีมือการเย็บปักยอดเยี่ยมไร้ที่ติ ไม่เหมือนผ้าไหมเยียนหลัวที่ถูกส่งมาเป็นเครื่องบรรณาการในอดีต เกรงว่าจะไม่อาจประเมินค่าได้เลยทีเดียว
ซูหลีแย้มยิ้ม “ได้ยินว่าวันนี้ฮ่องเต้แคว้นเฉิงจะแต่งตั้งสนม ข้าจึงตั้งใจมาแสดงความยินดี ผ้าเยียนหลัวเป็นสมบัติล้ำค่าที่ถูกเก็บไว้ในวังมาเป็นเวลานาน ข้าสั่งให้คนเลือกสองผืนที่ดีที่สุดมา เพื่อแสดงความยินดีกับการอภิเษกสมรสครั้งใหม่ของฮ่องเต้แคว้นเฉิง!”
เหล่าขุนนางมองหน้ากันอย่างเหนือความคาดหมาย เดิมทีนึกว่านางมาเพื่อตำหนิความผิดของเขา นึกไม่ถึงว่าจะมาแสดงความยินดี! สองฮ่องเต้เพิ่งจะแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ได้เพียงไม่กี่เดือน ฮ่องเต้แคว้นเฉิงแต่งตั้งสนม ไม่ว่าจะต่อหน้าหรือลับหลัง ฮ่องเต้แคว้นติ้งก็สมควรขัดขวางด้วยความไม่พอใจ เหตุใดกลับมอบผ้าเยียนหลัวที่มีค่ามหาศาลเป็นของขวัญแสดงความยินดี? การกระทำเช่นนี้ของนางทำให้ผู้คนไม่อาจคาดเดาความคิดได้จริงๆ
ใบหน้าของตงฟางเจ๋ออึ้งค้าง จ้องหน้านางไม่ละสายตา ผ่านไปครู่หนึ่งจึงค่อยหันไปมองผ้าไหมงดงามประณีตสองผืนนั้น
มังกรและนกเพลิงนำพาความเจริญ…กิเลนมาเยือน[2]…
หัวใจที่เต็มไปด้วยความหวัง กลับถูกเสียดสีอย่างเจ็บแสบ
เขาหลับตา ผิดหวังอย่างถึงที่สุด จนไม่อาจบรรยายได้ว่ารู้สึกเช่นไร เขากล่าวออกมาทีละคำอย่างแช่มช้า “ของขวัญล้ำค่าถึงเพียงนี้ เจ้าช่างน้ำใจกว้างขวาง!”
แววถากถางในวาจา ทำให้นางเจ็บแปลบไปทั้งใจ ร่างกายแข็งทื่อ แต่ใบหน้ายังคงเรียบนิ่ง เพียงยิ้มตอบเล็กน้อย
ตงฟางเจ๋อสูดหายใจลึกๆ พยายามสงบสติอารมณ์ แล้วกล่าวเสียงเข้มว่า “วันนี้ข้ามีเรื่องจะประกาศจริงๆ ในเมื่อเจ้ามาแล้ว มิสู้ฟังไปพร้อมกันเลย!” เอ่ยจบก็กุมมือนาง แล้วดึงมือขึ้นไปบนบันไดศิลาตานปี้อย่างไม่เปิดช่องให้ปฏิเสธ จากนั้นก็ออกคำสั่งโดยไม่หันกลับไปมอง “โจวหลี่ ประกาศราชโองการ!”
โจวหลี่รีบก้าวเท้ามาข้างหน้า หมายจะประกาศราชโองการ ซูหลีรีบร้องขึ้น “ช้าก่อน!”
โจวหลี่หยุดทันที เขาหันไปมองตงฟางเจ๋ออย่างลังเล ตงฟางเจ๋อจ้องตาซูหลีแน่นิ่ง คล้ายต้องการอ่านความคิดนาง
นางค่อยๆ หันหน้าหนีสายตาตั้งคำถามของเขา แล้วกล่าวว่า “วันนี้ที่ข้ามา ก็เพราะมีเรื่องจะประกาศเช่นกัน ท่าน…ให้ข้าพูดก่อนได้หรือไม่?”
ยังไม่ทันสิ้นประโยค นางก็รู้สึกเหมือนแรงบีบที่ข้อมือแรงขึ้นหลายส่วน นางรู้สึกเจ็บเล็กน้อย อดไม่ได้ที่จะชะงักค้างไปครู่หนึ่ง ไม่นานความรู้สึกเจ็บก็หายไป
ได้ยินเขาพูดเสียงเบา “เชิญเจ้าพูด”
หัวใจนางเจ็บแปลบ เงยหน้ามองบุรุษตรงหน้าที่จะรักก็ไม่ได้เกลียดก็ไม่ลง ใบหน้าหล่อเหลานั้นอยู่ใกล้เพียงเอื้อมมือ คิ้วเข้มคู่นั้นกำลังขมวดเข้าหันกันแน่น สีหน้าเคร่งเครียดเย็นชา เห็นได้ชัดว่าไม่พอใจ คนที่แข็งกร้าวและเผด็จการเช่นเขา หากไม่ได้รักจนสลักลึกลงในดวงใจ จะยอมอ่อนข้อให้นางครั้งแล้วครั้งเล่าได้อย่างไรกัน?
ซูหลีจ้องหน้าเขาด้วยสายตาลึกซึ้ง ก่อนจะทำใจแข็ง ตัดขาดเยื่อใยทั้งหมด หมุนกายแล้วออกคำสั่ง “อวิ๋นฮุ่ย นำสาสน์ขึ้นมา”
เหล่าขุนนางต่างตื่นตระหนก สีหน้าระแวดระวัง บางทีการส่งมอบของขวัญแสดงความยินดีอาจเป็นเพียงการตบตาของฮ่องเต้แคว้นติ้ง จุดประสงค์ที่แท้จริงของนางคือการขัดขวางการแต่งตั้งสนมกระมัง?
ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยก้าวเข้ามา หันไปมองตงฟางเจ๋อด้วยสีหน้ากังวล อดกล่าวขึ้นไม่ได้ “ฝ่าบาท…ทรงต้องการเช่นนี้จริงๆ หรือเพคะ?”
ซูหลีเอ่ยเสียงเบา “นำขึ้นมา” น้ำเสียงนางแม้จะแผ่วเบา ทว่าทรงพลังไม่เปิดช่องให้ปฏิเสธ
ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยถอนหายใจอย่างหมดหนทาง ได้แต่น้อมส่งสาสน์ในมือให้ตงฟางเจ๋อ
โจวหลี่เดินเข้าไปรับ แล้วน้อมส่งต่อให้ตงฟางเจ๋อ เขาเปิดสาสน์ตราตั้ง กวาดอ่านอย่างรวดเร็ว หน้าถอดสีครั้งใหญ่ สายตาตกตะลึง ราวกับไม่อยากเชื่อ
เหล่าขุนนางกระสับกระส่าย ไม่รู้ว่าสาสน์ฉบับนั้นมีเนื้อหาว่าอย่างไรบ้างกันแน่?
ตงฟางเจ๋อชูสาสน์ในมือขึ้นช้าๆ นิ้วมือสั่นเทาอย่างไม่อาจควบคุม กัดฟันแล้วถามนางว่า “เจ้าคิดจะ…จากกันด้วยดีกับข้า และยกเลิกงานแต่งเชื่อมสัมพันธ์จริงๆ หรือ?”
————————————————