กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - บทที่ 16 เจ้าต้องการจากกันด้วยดีกับข้า?! (3)
ซูหลีเงียบไปครู่หนึ่ง “ใช่”
เหล่าขุนนางตะลึงงัน เพื่อขัดขวางการแต่งตั้งสนม ฮ่องเต้แคว้นติ้งคิดจะใช้การยกเลิกงานแต่งเชื่อมสัมพันธ์มาบีบบังคับงั้นหรือ?
ซูฉุนได้ยินก็หน้าถอดสี รีบก้าวมาข้างหน้า “ฮ่องเต้แคว้นติ้งไม่ได้เด็ดขาดนะพ่ะย่ะค่ะ! สองแคว้นแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ เมืองหลวงใหม่เพิ่งเข้าที่ ข้อบังคับใหม่ก็เพิ่งเริ่มใช้ รากฐานยังไม่มั่นคง ยังคงอยู่ในช่วงสำคัญ หากยกเลิกงานแต่งเชื่อมสัมพันธ์ตอนนี้ ความพยายามทั้งหมดที่ทำมาก็จะสูญเปล่า พระองค์เคยคิดถึงผลที่จะตามมาหรือไม่?”
ซูหลีเงยหน้าเล็กน้อย “ไม่ว่าจะเกิดผลเสียอะไรตามมา ข้าจะรับผิดชอบทั้งหมดเอง!”
นางกล่าวด้วยน้ำเสียงเด็ดเดี่ยว ทำให้ตงฟางเจ๋อหนาวเหน็บไปทั้งใจเหมือนตกลงไปในถ้ำน้ำแข็งพันปี เขาจ้องหน้านาง แล้วย้อนถามทีละคำๆ “เจ้าจะรับผิดชอบอย่างไร?”
ถึงแม้จะยกเลิกการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ และแยกเมืองกันปกครอง แต่จะต้องมีปัญหาเกิดขึ้นตามมามากมายแน่นอน เหล่าขุนนางพากันกระซิบกระซาบ ความคับแค้นใจระบือไปทั่วตำหนัก
หยวนเซี่ยงก้าวออกมา กล่าวเสียงเข้มขรึม “ฮ่องเต้แคว้นติ้งโปรดพิจารณาอีกครั้งเถิดพ่ะย่ะค่ะ! ตอนแรกเพราะแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ จึงสร้างตำหนักบรรทมของทั้งสองพระองค์ไว้ใกล้กัน อย่างไม่มีสิ่งกั้นขวาง! หากการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ถูกยกเลิก กระหม่อมขอบังอาจถามฮ่องเต้แคว้นติ้ง ว่าจะจัดการเรื่องนี้เช่นไร?”
ครั้นหยวนเซี่ยงพูดถึงเรื่องนี้ เหล่าขุนนางก็ได้สติ พระราชวังสองแห่งสร้างติดกัน ตำหนักบรรทมของทั้งสองอยู่ห่างกันแค่ประตูบานหนึ่งกั้นขวาง…ภายหน้าหากมีอะไรเกิดขึ้น ไม่จำเป็นต้องยกทัพโจมตี เพียงบุกเข้าไปจับตัวฮ่องเต้ก็ได้แล้ว สถานการณ์เช่นนี้ หากไม่มีการแต่งงานเป็นตัวเชื่อม จะต้องมีปัญหาเกิดขึ้นตามมาไม่ขาดสายอย่างแน่นอน!”
เหล่าขุนนางมองหน้าซูหลีอย่างตื่นตะลึง แยกไม่ออกว่าการกระทำเช่นนี้ของนางคือต้องการขู่ หรือคิดจะยกเลิกการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์จริงๆ
ซูหลีคล้ายไม่ประหลาดใจ นางตอบอย่างใจเย็น “แม่ทัพหยวนมีเหตุผล ข้าย่อมคำนึงถึงปัญหานี้มาแล้ว หากฮ่องเต้แคว้นเฉิงต้องการย้ายกลับไปยังเมืองหลวงเก่า ค่าใช้จ่ายทั้งหมด ข้าจะชดเชยให้ทั้งหมด หากฮ่องเต้แคว้นเฉิงไม่อยากย้ายเมืองหลวง สองแคว้นยังคงสามารถเป็นพันธมิตรกัน ร่วมพัฒนาไปด้วยกัน สถานที่แห่งนี้ จากนี้ไปให้เป็นของแคว้นเฉิง หากทำเช่นนี้ ฮ่องเต้แคว้นเฉิงคิดว่าเช่นไร?”
ความหมายในวาจานาง คือไม่ว่าอย่างไรนางก็จะย้ายกลับไปยังเมืองหลวงเก่า! เพื่อยกเลิกการแต่งงาน และไปจากเขา นางถึงขั้นยอมสละอาณาเขต!
หน้าอกของตงฟางเจ๋อกระเพื่อมขึ้นลงอย่างรุนแรง เขาถามด้วยน้ำเสียงเจ็บปวด “ดูท่าเจ้าคงตั้งใจแต่แรกแล้ว! สามปีมานี้ ต้องทุ่มเทกำลังคนและกำลังทรัพย์มากมายถึงเพียงใด เจ้าไม่รู้จริงๆ หรือ? หรือว่าไม่เคยสนใจ?!”
ซูหลีรู้ว่าเขาปวดใจ แต่กลับต้องแข็งใจ แล้วกล่าวอย่างหนักแน่นว่า “ข้าเป็นประมุขแห่งแคว้น จะมีสามีร่วมกับผู้อื่นได้เช่นไร? ถึงแม้แค่ในนาม ก็ไม่ได้เด็ดขาด! วันนี้ท่านกับข้ายกเลิกการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ ถือว่าสมใจเหล่าขุนนางผู้ภักดีของท่าน! โจวหลี่ ตราประทับฮ่องเต้อยู่ที่ใด?”
โจวหลี่ไม่กล้าตอบคำ ทำได้เพียงก้มหน้าต่ำสุดชีวิต จนแทบอยากขุดหลุมแล้วแทรกตัวเข้าไปในนั้น!
ซูหลีกวาดมอง เห็นขันทีคนหนึ่งที่ยืนอยู่ด้านหลังเขาประคองกล่องสีทองลวดลายประณีตไว้ในมือ นางรีบเดินไปหาคนผู้นั้นทันที
ขันทีคนนั้นพลันลนลาน ทำตัวไม่ถูกชั่วขณะ คุกเข่าลงอย่างอ่อนแรง
ซูหลีเปิดฝากล่องออก แล้วหยิบตราประทับฮ่องเต้ออกมา กล่าวด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด “เชิญฮ่องเต้แคว้นเฉิงใช้ตราประทับ!”
ตงฟางเจ๋อเซถอยหลังไปหนึ่งก้าว สายตาเจ็บปวด
เหล่าขุนนางตกใจหน้าถอดสี พวกเขาเกลี้ยกล่อมฮ่องเต้ให้แต่งตั้งสนม เพื่อที่แคว้นเฉิงจะได้มีทายาทสืบทอดบัลลังก์ นึกไม่ถึงว่าฮ่องเต้แคว้นติ้งจะเด็ดเดี่ยวถึงเพียงนี้ จะแยกจากกับฝ่าบาทของพวกเขาจริงหรือ!
เหลียงหรูเยวี่ยอึ้งงันอยู่เนิ่นนาน ครั้นเห็นท่าไม่ดี ก็อดไม่ได้ที่จะก้าวไปข้างหน้า “ฮ่องเต้แคว้นติ้ง! แท้จริงแล้ว…”
“หรูเยวี่ย!” ตงฟางเจ๋อตวาดเสียงเกรี้ยว “ถอยไป!”
เหลียงหรูเยวี่ยตะลึงงัน ได้แต่ถอยไปยืนอีกด้านอย่างจนใจ
ซูฉุนมองหน้าซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยอย่างกังวล แม้พวกเขาสองคนจะฉลาดปราดเปรื่องแค่ไหน ก็เข้าใจว่าซูหลีในยามนี้ ไม่อาจเปลี่ยนใจได้ด้วยวาจาเกลี้ยกล่อมเพียงสองสามประโยค จึงทำได้เพียงก้มหน้าถอนหายใจอย่างอับจนหนทาง
ซูเซียงหรูสะกดกลั้นความคิดสับสนวุ่นวาย ก้าวออกจากแถวแล้วเกลี้ยกล่อม “การแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์เกี่ยวพันถึงชะตากรรมของสองแคว้น และความมั่นคงของบ้านเมือง ไม่ใช่การเล่นขายของ ฝ่าบาททั้งสองพระองค์…โปรดพิจารณาอย่างถี่ถ้วนด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ!”
เหล่าขุนนางก้าวออกมาและเอ่ยเสริม “ฝ่าบาททั้งสองพระองค์โปรดพิจารณาอย่างถี่ถ้วนด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ!”
เสียงเกลี้ยกล่อมของเหล่าขุนนางดังมาไม่ขาดสาย พวกเขาเกลี้ยกล่อมให้ฮ่องเต้แต่งตั้งสนม แล้วก็เป็นพวกเขาที่ห้ามไม่ให้ทั้งสองแยกจากกัน ซูหลีพลันรู้สึกเศร้ารันทด บางทีนี่อาจเป็นเรื่องน่าเบื่อหน่ายในฐานะกษัตริย์ก็เป็นได้ ภายนอกดูเหมือนเป็นผู้มีอำนาจสูงสุด แท้จริงแล้วต้องแบกรับภาระหน้าที่มากมาย และไม่เคยได้ใช้ชีวิตอย่างอิสระ
ตงฟางเจ๋อกำสาสน์ในมือแน่น จ้องหน้าซูหลีอย่างตะลึงงัน
สามปีมานี้ เขาทุ่มเทกำลังเพื่อสร้างเมืองซวงตู เพียงเพื่อจะได้ร่วมใช้ชีวิตกับนางทั้งคืนทั้งวัน ข่าวลือเรื่องการแต่งตั้งสนม เขาปล่อยให้มันแพร่สะพัด เพียงเพราะต้องการให้นางรู้ใจตนเอง แต่ทว่าจนถึงตอนนี้ นางเหมือนไม่สนใจเรื่องนี้แม้แต่น้อย เพียงคิดแต่จะฉวยโอกาสนี้ ตัดขาดความสัมพันธ์กับเขา!
เด็ดเดี่ยวและไร้เยื่อใยถึงเพียงนี้ ช่างชวนให้รู้สึกท้อแท้ และหมดกำลังใจเหลือเกิน
ผ่านไปครู่หนึ่ง เขายิ้มหยันตนเอง ค่อยๆ ปรับสีหน้าให้เป็นปกติ แล้วตวาดเสียงเข้ม “โจวหลี่ ประกาศราชโองการ!”
ซูหลีสะท้านไปทั้งใจ เดิมทีนางหมายจะยกเลิกการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ก่อนที่เขาจะประกาศราชโองการ แล้วจากไปก่อน เขากลับมองข้ามความต้องการของนาง และให้นางมองดูเขาประกาศราชโองการแต่งตั้งสนม หัวใจของนางสับสนวุ่นวาย นางเอ่ยปากอย่างลืมตัว “ท่าน…”
นางเพิ่งจะเอ่ยปากคำเดียว แต่กลับถูกเขาตวัดมองด้วยสายตาเย็นชา อดสะท้านไปทั้งตัวไม่ได้
โจวหลี่เปิดราชโองการ แล้วอ่านเสียงดัง “ด้วยโองการแห่งฟ้า ฮ่องเต้จึงมีพระบัญชา เหลียงหรูเยวี่ย งดงามเพียบพร้อม กตัญญูรู้คุณ มีผลงานที่ช่วยคัดลอกพระคัมภีร์ให้ไทเฮา สมควรได้รับรางวัล ดวงวิญญาณของไทเฮามาเข้าฝัน เห็นว่านางเป็นสตรีเปี่ยมคุณธรรม ข้าในฐานะโอรสกตัญญู ทำตามรับสั่งของเสด็จแม่ แต่งตั้งเหลียงหรูเยวี่ยเป็นองค์หญิงหมิ่นเสี้ยว และพระราชทานงานสมรสให้กับหยวนเซี่ยง จบราชโองการ!”
นอกจากสองพ่อลูกสกุลเหลียง ทุกคนต่างตกตะลึงพรึงเพริด มองหน้ากันเลิ่กลั่ก
พระราชโองการแต่งตั้งสนม กลับกลายเป็นพระราชโองการแต่งตั้งองค์หญิง ที่แท้เขาไม่เคยมีความคิดที่จะแต่งตั้งสนมตั้งแต่แรก!
ราวกับมีเสียงระเบิดดังก้องในหูของซูหลี สมองนางขาวโพลนไปหมด นางเซถอยหลัง ถือตราประทับฮ่องเต้ล้มตัวนั่งลงบนบัลลังก์
เหลียงสือชูและเหลียงหรูเยวี่ยก้าวออกมาขอบคุณในพระมหากรุณาธิคุณ หยวนเซี่ยงยืนอึ้งอยู่ที่เดิมอย่างไม่อยากเชื่อ ตั้งแต่ที่เขายังเป็นเพียงรองหัวหน้าองครักษ์หลวง เขาก็เริ่มคำนึงหาคุณหนูเหลียงผู้สดใสร่าเริงคนนี้แล้ว เพียงเสียดายที่เหลียงสือชูคิดจะให้นางแต่งงานเข้าวัง ผู้ที่มาขอหมั้นหมาย ล้วนถูกปฏิเสธทุกราย เดิมทีหมดหวังกับเรื่องนี้ไปแล้ว นึกไม่ถึงว่าฝ่าบาทจะทรงเมตตา ทำให้เขาสมปรารถนา จนลืมกล่าวขอบคุณไปชั่วขณะ
เหลียงสือชูกระแอมแรงๆ ขมวดคิ้วเอ่ยเตือน “แม่ทัพหยวน ยังไม่รีบขอบพระทัยฝ่าบาทอีก?”
หยวนเซี่ยงจึงเพิ่งได้สติราวกับเพิ่งตื่นจากฝัน รีบก้าวเท้าไปข้างหน้าแล้วค้อมกาย “กระหม่อมขอบพระทัยในพระมหากรุณาธิคุณของฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ!”
ตงฟางเจ๋อกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง “หรูเยวี่ยแม้มิได้เกิดในราชวงศ์ แต่ข้ากลับเห็นนางเป็นเหมือนพี่น้องท้องเดียวกัน แม่ทัพหยวนไม่อาจทำให้นางเสียใจเด็ดขาด หากเจ้าละเลยนางแม้แต่น้อย ข้า จะถามหาความรับผิดชอบจากเจ้า!”
คิ้วเข้มของหยวนเซี่ยงสะท้อนไปด้วยแววเปี่ยมสุข เขาตอบรับเสียงดังฟังชัด “ฝ่าบาทโปรดวางพระทัย! กระหม่อมจะปฏิบัติต่อองค์หญิงเช่นไข่มุกล้ำค่า จะรักและปกป้องนางไปตลอดชีวิต ไม่ทำให้ฝ่าบาทผิดหวังแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ!” เขาหันไปมองสตรีข้างกาย เห็นเพียงนางมองมาที่เขา ในดวงตางามแฝงไว้ด้วยแววเสน่หา ยิ้มอย่างเขินอาย ยากจะปิดบังความดีใจ เห็นได้ชัดว่านางรู้เรื่องนี้แต่แรกแล้ว และไม่ปฏิเสธด้วย
ซูหลีเหม่อมองคู่รักที่ยิ้มให้กันอย่างมีความสุข หัวใจสับสนวุ่นวาย นางคิดว่าวันนี้เขาจะแต่งตั้งสนม จึงตั้งใจจะมายกเลิกการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ และคืนอิสระให้เขา นึกไม่ถึงว่าเขาจะหลอกทุกคนด้วยการแต่งตั้งองค์หญิงก่อน จากนั้นก็พระราชทานงานแต่งให้ การกระทำเช่นนี้ของเขาทั้งทำให้หยวนเซี่ยงสมปรารถนา และยังสามารถแสดงเจตจำนงที่ไม่คิดจะแต่งตั้งสนมได้อีกด้วย การประกาศราชโองการในตำหนัก ไม่เปิดช่องว่างให้หารือกันแม้แต่น้อย ราวกับต้องการใช้โอกาสนี้ยับยั้งข่าวลือทั้งหมดทั้งมวล
“เสร็จสิ้นการออกว่าราชการประจำวันนี้แล้ว แยกย้ายได้” โจวหลี่ประกาศเสียงดัง
ซูหลีพลันตั้งสติได้ทันที ด้วยความลนลาน คิดแต่อยากจะหนีไปจากที่แห่งนี้ นางทิ้งตราประทับฮ่องเต้ไว้บนบัลลังก์ สาวเท้าลงจากบันไดศิลาตานปี้อย่างรวดเร็ว แต่กลับถูกตงฟางเจ๋อกระชากตัวกลับไปอย่างแรง แขนแกร่งโอบรัดรอบเอวบาง
“ยังไม่ทันได้ยกเลิกการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ เจ้าจากไปเช่นนี้จะไม่ถือว่ามาเสียเที่ยวหรอกหรือ?” เขาจ้องหน้านางเขม็ง ในวาจาสะท้อนแววโกรธกรุ่นอย่างเห็นได้ชัด
ซูหลียืนอึ้งอยู่ที่เดิม สูญเสียเรี่ยวแรงทั้งหมดไปชั่วขณะ
เหล่าขุนนางรีบเดินเรียงแถวออกจากท้องพระโรง โจวหลี่โบกมือ เหล่าขันทีกับนางกำนัลต่างถอยออกไปจนหมด หวั่นซินกับซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยรู้ใจกัน จึงไม่เอ่ยอะไรมากความ รีบเดินออกไปนอกตำหนัก
ประตูใหญ่ถูกปิดลงช้าๆ แสงสว่างมืดมนลง
ในตำหนักเฟิ่งเทียนอันโล่งเปล่าและเงียบงัน กล่องไม้สีแดงยังคงถูกวางไว้ที่เดิม ดูบาดตาเป็นพิเศษ ราวกับกำลังหัวเราะเยาะนางที่คิดไปเอง บุรุษข้างกายไม่พูดอะไรสักคำ รอบกายเต็มไปด้วยกลิ่นอายเย็นชา มีเพียงแขนแกร่งที่โอบรอบเอวนางแรงขึ้นเรื่อยๆ ที่กำลังบ่งบอกว่า เขายังขุ่นเคืองไม่หาย
ใบหน้าซูหลีซีดเผือด อดทนต่อความเจ็บไม่ยอมส่งเสียง
ผ่านไปครู่หนึ่ง ในที่สุดเขาก็ปล่อยนาง เปิดสาสน์อีกครั้ง กวาดอ่านทีละตัวอักษรอย่างแช่มช้า ราวกับกำลังคาดเดาความรู้สึกจริงๆ ของนางผ่านอักษรเหล่านั้น
คลื่นลมครั้งนี้ ข่าวลือที่เขาแต่งตั้งสนมเป็นข่าวลวง แต่เรื่องที่นางต้องการยกเลิกการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ กลับออกมาจากใจจริง
ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าใด ในที่สุดตงฟางเจ๋อก็เอ่ยปาก น้ำเสียงของเขาสงบนิ่งจนใกล้เคียงกับคำว่าสิ้นหวัง “เจ้าคงรอโอกาสนี้มานานมากแล้วกระมัง?”
——————————–