กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - บทที่ 21 ร่วมหลับนอนร่วมดื่มกิน (4)
ตงฟางเจ๋อส่ายหน้า ยังคงจ้องหน้านางไม่ยอมละสายตา แววรักใคร่และทะนุถนอมปรากฏชัดในดวงตา เขากล่าวเสียงเบาว่า “หลายเดือนมานี้ เหมือนเจ้าจะผอมลงอีกแล้ว” เขาจับตะเกียบคีบอาหารให้นาง อยากให้นางกินมากขึ้นอีกสักหน่อย
ซูหลีมองดูเค้าโครงหน้าของเขาที่เด่นชัดยิ่งขึ้น ลึกๆ ในใจก็ห่วงใยไม่ต่างกัน หากพูดถึงผอมลง ใช่นางคนเดียวเสียที่ไหน?
หวั่นซินเตรียมน้ำแกงให้พวกเขาคนละชาม ตงฟางเจ๋อชิมหนึ่งคำ คิ้วคมเลิกขึ้นเล็กน้อย อดกล่าวชมไม่ได้ “นี่น้ำแกงอะไรหรือ? รสชาติสดใหม่ กลิ่นหอมสดชื่น ไม่เลวทีเดียว!”
ซูหลีเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วตอบเสียงเบาว่า “น้ำแกงแปดเซียนหงส์คู่มังกร”
ตงฟางเจ๋อตักน้ำแกงดื่มหลายคำติดกันจนพร่องไปครึ่งชาม แล้วจึงค่อยยิ้มพลางกล่าวว่า “อาหารของเจ้าภายนอกดูสามัญธรรมดา รสชาติกลับยอดเยี่ยมยิ่งนัก โดยเฉพาะน้ำแกงแปดเซียนหงส์คู่มังกรนี้ ข้าชอบมาก ต่อไปคงต้องมารบกวนบ่อยๆ แล้ว พอถึงเวลานั้น…เจ้าก็อย่ารำคาญกันเล่า”
ซูหลีหลุบตาไม่พูดอะไร นิ้วมือที่ถือช้อนตักแกงสั่นเล็กน้อย หากรู้ว่าน้ำแกงนี้เป็นของโปรดของเสด็จพี่ยามยังมีชีวิตอยู่ เกรงว่าเขาคงลำบากใจที่จะกินกระมัง นับตั้งแต่ย้ายเมืองหลวงและแต่งงานกัน ฮั่วเสี่ยวหมานคล้ายกลัวว่านางจะลืมการตายของหลางฉ่าง จึงได้สั่งให้ห้องเครื่องทำน้ำแกงถ้วยนี้มาให้นางทุกวัน ถึงแม้รสชาติจะยอดเยี่ยมเพียงใด แต่ครั้นเข้าปาก รสชาติก็เหลือเพียงความขมขื่นเท่านั้น
“ฝ่าบาท!” เฟิงซุ่นเดินเข้ามารายงาน “ใต้เท้าหลินเทียนเจิ้งพาภรรยาและบุตรสาวมาขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ!”
ซูหลีหันไปมองตงฟางเจ๋อด้วยความสงสัย
ตงฟางเจ๋อวางตะเกียบเงินในมือลง ก่อนจะยิ้มแล้วเอ่ยเสียงเบาว่า “น่าจะมาหาข้ากระมัง บอกให้พวกเขาไปรอที่ตำหนักใหญ่ก่อน”
นับตั้งแต่แยกจากกันที่แคว้นเปี้ยน ซูหลีก็ไม่ได้เจออวี๋เชียนจีอีกเลย ได้ยินเพียงว่านางกับหลินเทียนเจิ้งแต่งงานกันแล้ว และได้ให้กำเนิดบุตรสาวคนหนึ่ง ปีนี้น่าจะอายุสามปีได้แล้ว
ยามซูหลีกับตงฟางเจ๋อมาถึงตำหนักใหญ่ พวกเขาสามคนพ่อแม่ลูกก็รออยู่ที่นั่นครึ่งเค่อแล้ว
ไม่ได้เจอกันสี่ปี อวี๋เชียนจียังคงงดงามไม่เปลี่ยนแปลง ยามนี้ดวงตาและเรียวคิ้วสงวนท่าที ไม่เจ้าเล่ห์เพทุบายเช่นในอดีตอีกต่อไป แต่ดูมีความสุขและอ่อนโยน ราวกับในโลกนี้ไม่มีผู้ใดสำคัญไปกว่าสองคนที่อยู่ข้างกายอีกแล้ว
สองสามีภรรยาจูงมือบุตรสาวอันเป็นดั่งแก้วตาดวงใจให้ค้อมกายอย่างนอบน้อม เด็กสาวอายุสามขวบได้รับสืบทอดความงามมาจากผู้เป็นมารดาอย่างสมบูรณ์แบบ มีเพียงดวงตาคู่นั้นที่ดูเหมือนผู้เป็นบิดา สดใสมีชีวิตชีวา ดูแวบเดียวก็รู้ว่าฉลาดปราดเปรื่อง น่ารักน่าเอ็นดูเป็นที่สุด
ตงฟางเจ๋อกับซูหลียังไม่ทันเอ่ยปาก เด็กน้อยคนนั้นก็ผละมือออกจากผู้เป็นพ่อและผู้เป็นแม่ แล้วลุกขึ้นยืน กวาดมองรอบกายด้วยความฉงนฉงาย
อวี๋เชียนจีตกใจ รีบคว้าตัวนาง นึกไม่ถึงเด็กน้อยรวดเร็วกว่า นางวิ่งตรงไปยังตำแหน่งที่ตงฟางเจ๋อนั่งอยู่
โจวหลี่เองก็ตกใจเช่นกัน กลัวว่าเด็กน้อยไม่รู้ความจะลบหลู่เกียรติต่อหน้าพระพักตร์มังกร หมายจะเดินเข้ามาห้ามปราม แต่กลับเห็นตงฟางเจ๋อโบกมือเล็กน้อย จึงทำได้เพียงถอยหลังไปดังเดิม
เด็กสาวตัวน้อยวิ่งมาถึงตรงหน้าตงฟางเจ๋อ แหงนดวงหน้ากลมเกลี้ยงและอวบอ้วนขึ้นมา จ้องหน้าเขาซ้ายทีขวาที ก่อนจะยื่นมือนุ่มนิ่มออกมา แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงเล็กแหลม “อุ้ม”
ตงฟางเจ๋อกระดกคิ้วเล็กน้อย แววประหลาดใจพาดผ่านใบหน้า เขาเป็นคนสงวนความคิดและท่าทีเสมอมา เด็กน้อยทั่วไปยามพบหน้าก็มักหวาดกลัว ไม่กล้าเข้าใกล้ แต่มนุษย์ตัวน้อยตรงหน้าคนนี้คล้ายไม่หวาดกลัวแม้แต่น้อย จึงอดแย้มยิ้มไม่ได้ เขากระแอมเสียงเบา แสร้งปั้นหน้าขึงขัง แล้วกล่าวว่า “เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าเป็นใคร? ถึงได้กล้าให้ข้าอุ้มเจ้า”
เด็กสาวตัวน้อยขมวดคิ้วอย่างขัดใจเล็กน้อย คล้ายไม่ค่อยพอใจ ท่านลุงที่หน้าตาหล่อเหลากว่าท่านพ่อผู้นี้ กลับไม่ยอมหลงเสน่ห์ของนาง? นางเม้มริมฝีปากเล็กๆ ของตนเอง แล้วพาดแขนลงบนหน้าขาของตงฟางเจ๋อ ก่อนจะร้องงอแงเสียงดัง “จะอุ้มๆ!”
ท่าทางน่าทะนุถนอมเช่นนั้น ชวนให้ผู้พบเห็นอดยิ้มไม่ได้
หลินเทียนเจิ้งอมยิ้มแล้วมองบุรุษที่นั่งอยู่บนตำแหน่งสูงสุด คล้ายไม่คิดจะห้าม อวี๋เชียนจีกลับดูกังวลใจ นางรีบเดินไปคว้าตัวบุตรสาว แล้วตำหนิเสียงเบา “เซี่ยเอ๋อร์ห้ามเสียมารยาท! เจ้าลืมไปแล้วหรือ ก่อนเข้าวังแม่กำชับเจ้าว่าเช่นไร? หากพบฝ่าบาท ต้องวางตัวอย่างสำรวมและมีมารยาท ห้ามเอะอะโวยวาย รีบมาถวายบังคมฝ่าบาทเร็วเข้า!”
เด็กน้อยส่ายหน้าไม่ยอมทำตาม ยังคงไม่ยอมปล่อยชายเสื้อของตงฟางเจ๋อ ซูหลีเหม่อมองเงียบๆ จู่ๆ ก็นึกถึงหยางเหยียนขึ้นมา เด็กน้อยน่ารักในตอนนั้นก็เป็นอย่างนี้เหมือนกัน ไม่เอาใครทั้งนั้น วันทั้งวันทำตัวติดกับนางตลอด หากเหยียนเอ๋อร์ยังมีชีวิตอยู่ ปีนี้ก็น่าจะอายุเก้าขวบแล้วกระมัง!
หัวใจของซูหลีหม่นหมอง อดหันไปมองเด็กสาวตัวน้อยไม่ได้ นางถอนหายใจเบาๆ แล้วกล่าวว่า “นางเป็นเพียงเด็กน้อย ไม่จำเป็นต้องมากพิธีปานนั้น เฟิงซุ่น ไปเอาของว่างมาสักหน่อยเถิด”
ไม่นาน นางกำนัลก็นำของว่างหน้าตาประณีตหลายจานเข้ามา
ซูหลีสั่งให้หยิบของว่างชิ้นหนึ่งส่งให้เด็กสาวตัวน้อย ดวงตานางพลันเป็นประกายขึ้นมา พริบตาเดียวก็ถูกของว่างกลิ่นหอมดึงดูดความสนใจ รับไปกินอย่างมีความสุขทันที
เด็กอย่างไรก็ยังคงเป็นเด็กดังคาด ซูหลีหลุดหัวเราะเล็กน้อย ไม่ทันสังเกตเห็นว่าบุรุษข้างกายกำลังเผยรอยยิ้มปลื้มใจอยู่เงียบๆ
นางครุ่นคิด ก่อนจะถามเสียงเบา “เจ้าชื่อเซี่ยเอ๋อร์หรือ?”
ดวงตากลมโตของเซี่ยเอ๋อร์สุกสกาว นางพยักหน้า พยายามกลืนของว่างคำสุดท้าย แล้วจึงค่อยตอบด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ข้าชื่อหลินเยวี่ยเซี่ย”
“หลินเยวี่ยเซี่ย…ตั้งชื่อได้ดียิ่ง” ซูหลีกล่าวอย่างครุ่นคิด จากนั้นก็หันไปมองหลินเทียนเจิ้งกับภรรยา แล้วกล่าวว่า “พวกเจ้าทั้งสองผูกวาสนากันที่สำนักจันทร์เสี้ยวในหน้าร้อนปีนั้น”
อวี๋เชียนจีหน้าแดงเล็กน้อย ท่าทางดูเขินอายอย่างหาดูได้ยาก
ซูหลีหันไปยิ้มให้หลินเยวี่ยเซี่ยอีกครั้ง “เสี่ยวเซี่ยเอ๋อร์ ข้าชอบเจ้ามาก ให้ข้าอุ้มเจ้า ดีหรือไม่?”
หลินเยวี่ยเซี่ยมองนาง แล้วหันไปมองตงฟางเจ๋ออีก จากนั้นก็เม้มปาก คล้ายยังน้อยใจเรื่องเมื่อครู่ไม่หาย
ซูหลีเห็นเช่นนั้นก็เบิกบานใจ นางอดไม่ได้ที่จะเหลือบมองบุรุษข้างกายแวบหนึ่ง แล้วเอ่ยตำหนิเล็กน้อย “นางอุตส่าห์ชื่นชอบท่าน ท่านอุ้มนางสักหน่อยจะเป็นไรไปเล่า?”
ตงฟางเจ๋อลอบหัวเราะ แล้วจึงค่อยก้มตัวอุ้มเซี่ยเอ๋อร์ขึ้นมานั่งบนตัก ยังไม่ทันได้พูดอะไร เด็กสาวตัวน้อยก็พลันแย้มยิ้มอย่างชอบอกชอบใจ นางโอบคอเขา จากนั้นก็ประทับรอยน้ำลายลงบนแก้มซ้ายของเขาอย่างแนบแน่น
การกระทำอันเหนือความคาดหมายของนาง ทำเอาทุกคนตะลึงงันไปชั่วขณะ
ตงฟางเจ๋อเบิกตากว้างมองเด็กน้อยในอ้อมแขน ดวงตากลมโตของทั้งสองจ้องมองกัน ถึงกับพูดไม่ออกไปชั่วขณะ ซูหลีไม่เคยเห็นเขาทำหน้าเช่นนี้มาก่อน จึงอดหัวเราะออกมาไม่ได้
เด็กน้อยคนนี้ ช่างสดใสไร้เดียงสายิ่งนัก
อวี๋เชียนจีกลับสะดุ้งโหยง หมายจะเดินเข้าไปอุ้มบุตรสาวกลับมา แต่หลินเทียนเจิ้งกลับรั้งนางไว้ก่อน เห็นเพียงเขาอมยิ้มแล้วส่ายหน้าเล็กน้อย ส่งสัญญาณบอกภรรยาว่าไม่ต้องเป็นห่วง
ซูหลีเห็นเช่นนั้น ก็อดทอดถอนใจไม่ได้ “เชียนจี เจ้าช่างโชคดี และมีความสุขยิ่งนัก”
ได้พบคู่ชีวิตที่ดีในเวลาที่เหมาะสม ให้กำเนิดบุตรสาว ครองรักกันไปจนผมหงอก บางทีนี่อาจเป็นความสุขในชีวิตที่ผู้หญิงทั่วไปเอื้อมถึงได้ แต่สำหรับนางแล้ว ไม่รู้ว่าจะมีวาสนาเช่นนี้อยู่อีกหรือไม่
ตงฟางเจ๋อสังเกตเห็นแววเศร้าสร้อยที่พาดผ่านดวงตานางไปอย่างรวดเร็ว จึงอุ้มหลินเยวี่ยเซี่ยไปวางบนตักนาง
ซูหลีแย้มยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะอ้าแขนรับโดยสัญชาตญาณ
โจวหลี่น้อมส่งผ้าเช็ดหน้า ตงฟางเจ๋อรับไปเช็ดคราบน้ำลายบนหน้าอย่างไม่ถือสา ท่าทางยามซูหลีอุ้มเด็กสาวตัวน้อย เหมือนมารดาที่เต็มไปด้วยความรัก นัยน์ตาของเขาค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นลึกซึ้ง
ดวงตาของหลินเยวี่ยเซี่ยไหวระริก จ้องมองซูหลีไม่วางตา ซูหลีลูบดวงหน้าอวบอ้วนและนุ่มนิ่มของนาง แล้วถามเสียงอ่อนโยน “ทำไมเล่าเซี่ยเอ๋อร์? ไม่ชอบให้ข้าอุ้มอย่างนั้นหรือ?”
หลินเยวี่ยเซี่ยส่ายหน้า ครุ่นคิดครู่หนึ่ง ไม่นานนางก็ยื่นมืออวบอิ่มขึ้นโอบคอซูหลี หมายจะทำเหมือนเมื่อครู่ ประทับตราน้ำลายที่ใหญ่กว่าลงบนดวงหน้างามๆ ของท่านน้าคนสวยคนนี้ แต่นางยังไม่ทันได้ยื่นหน้าเข้าไป อวี๋เชียนจีก็รีบคว้าตัวนาง แล้วกล่าวตักเตือนด้วยสีหน้าจริงจัง “เซี่ยเอ๋อร์ ไม่ได้แล้วนะ!”
ครั้นถูกมารดาตำหนิเสียงเบา หลินเยวี่ยเซี่ยแลบลิ้น แต่กลับไม่ดึงดันทำต่อ
ซูหลีจึงเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าตนเองยังไม่หายไข้ดี ใกล้ชิดกับเด็กมากไปก็ไม่ใช่เรื่องดีนัก จึงส่งเด็กให้อวี๋เชียนจี แล้วถามว่า “เด็กคนนี้ ได้พบกับท่านอาวุโสเสวียนเฟิงแล้วหรือยัง?”
หลินเทียนเจิ้งส่ายหน้า “ท่านพ่อดูแลเรื่องราวในลัทธิธิดาเทพ หากไม่ได้รับอนุญาตจากฮ่องเต้แคว้นเปี้ยน ก็ไม่อาจออกจากแคว้นเปี้ยนโดยพลการพ่ะย่ะค่ะ” เอ่ยจบ เขาก็นึกขึ้นได้ว่าเข้าวังมาด้วยจุดประสงค์ใด จึงหันไปทางตงฟางเจ๋อ แล้วกล่าวว่า “หลังผ่านการรักษามาเป็นระยะเวลาสามปี พิษเย็นในพระวรกายของฝ่าบาทก็อาการดีขึ้นมากแล้ว ขอเพียงขับพิษให้ตรงเวลา ก็ไร้ปัญหาแล้ว ครั้งนี้ที่กระหม่อมเข้าวังมา เพราะต้องการขอลางานกับฝ่าบาท จะพาเซี่ยเอ๋อร์ไปแคว้นเปี้ยนสักหนพ่ะย่ะค่ะ ท่านพ่อส่งจดหมายมา บอกว่าอยากพบหน้าเซี่ยเอ๋อร์”
ตงฟางเจ๋อหันไปมองเด็กน้อยน่ารัก แล้วยิ้มออกมาอย่างไม่รู้ตัว ก่อนจะพยักหน้ากล่าวว่า “เป็นเรื่องธรรมดา ข้าอนุญาตให้เจ้าลาสามเดือน อยู่แคว้นเปี้ยนนานสักหน่อย ไม่จำเป็นต้องรีบกลับมา”
หลินเทียนเจิ้งกับภรรยารีบค้อมศีรษะขอบคุณ จากนั้นก็ส่งยิ้มให้กัน
ก่อนจากไป หลินเทียนเจิ้งช่วยตรวจชีพจรให้ซูหลี และจ่ายเทียบยาให้ กอปรกับกำชับหวั่นซินให้ต้มยาเช้าเย็นมื้อละชาม จากนั้น ก็หันมากำชับกับซูหลีเสียงเบา “พิษไข้ในพระวรกายของฝ่าบาทยังไม่หายดี อย่างไรก็ขอให้พระองค์ระวังเรื่องการเสวยพระกระยาหารและบรรทมให้ตรงเวลาด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
ดูท่าแล้วไม่เกินครึ่งวัน เดี๋ยวข่าวที่ตงฟางเจ๋อค้างคืนในตำหนักซีหวาก็คงแพร่สะพัดออกไป ถึงแม้จะไม่ได้เป็นอย่างที่คนเหล่านั้นคิด แต่สุดท้ายก็ทำให้การแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์มั่นคงขึ้น ซูหลีพยักหน้ารับคำ หลินเทียนเจิ้งจึงค่อยบอกลาได้อย่างวางใจ มือข้างหนึ่งจูงมือภรรยาผู้เป็นที่รัก มืออีกข้างอุ้มบุตรสาวอันเป็นที่รักผู้ซุกซนเดินออกจากตำหนักใหญ่ไป
เงาร่างสองผู้ใหญ่หนึ่งเด็กยืนอยู่ภายใต้แสงแดดอบอุ่นในยามต้นฤดูใบไม้ผลิ เสียงหัวเราะอย่างมีความสุขค่อยๆ ห่างออกไป ความรักอันอบอุ่นลอยอบอวลไปทั่ว พาให้ผู้พบเห็นซาบซึ้งใจ ซูหลีอดมองตามไม่ได้ กระทั่งเงาร่างหายลับไปจากครรลองสายตา จึงค่อยละสายตาออกมาอย่างอาลัยอาวรณ์ จู่ๆ ความคิดหนึ่งก็ผุดขึ้นมา หากนางเองก็มีมนุษย์ตัวน้อยที่หน้าตาเหมือนนางกับตงฟางเจ๋อ คอยตามติดอยู่ข้างกายทั้งวันเช่นนั้น จะดูเป็นอย่างไรกันนะ?
ครั้นความคิดนี้ผุดขึ้นมา ก็จู่โจมส่วนลึกในใจนางให้อ่อนยวบทันที สายตาของนางแปรเปลี่ยนเป็นอ่อนโยนและคาดหวัง
พลันนั้นตงฟางเจ๋อก็อมยิ้มแล้วถามเสียงเบาว่า “คิดอะไรอยู่หรือ?”
………………………