กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - บทที่ 25 การเจรจาระหว่างสามีภรรยา (4)
ซูหลีครุ่นคิด ก่อนจะยื่นฎีกาเรื่องชนเผ่าหมาป่าให้เขา จากนั้นก็สังเกตสีหน้าเขาเงียบๆ
ฎีกาเกี่ยวพันถึงความลับของบ้านเมือง ปกตินางมักจะหลีกเลี่ยง แต่วันนี้กลับให้เขาอ่านความลับเกี่ยวกับเขตชายแดนโดยตรง ตงฟางเจ๋อรู้สึกประหลาดใจ หลังจากกวาดตาอ่านอย่างรวดเร็ว สีหน้าพลันเคร่งขรึมลง เขากล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ดูเหมือนสงครามเมื่อสามปีที่แล้วจะยังให้บทเรียนพวกเขาไม่มากพอ”
ซูหลีไม่ได้พูดอะไร
ตงฟางเจ๋อวางฎีกาลง แล้วถามว่า “เจ้าคิดจะทำเช่นไร?” เขาเชื่อว่า สามปีมานี้นางไม่ได้นิ่งเฉยโดยไม่เตรียมการอะไรไว้แน่นอน
ซูหลีเอ่ยอย่างตรงไปตรงมา “ข้าสั่งให้สร้างกองทัพทหารม้าขึ้นมา เซี่ยอวิ๋นเซวียนดัดแปลงพิรุณโปรยปรายให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น แต่ใช้วัสดุเหล็กที่มีอยู่ ประสิทธิภาพยังคงไม่ได้ดีเท่าที่คาดหวัง”
ตงฟางเจ๋อกล่าวอย่างครุ่นคิด “เจ้าต้องการเหล็กอูจินหรือ?”
ซูหลีพยักหน้า กล่าวอย่างใคร่ครวญว่า “ข้ารู้ว่าเหล็กอูจินหายากและเป็นของล้ำค่า แคว้นเฉิงก็มีกฎหมายห้ามขายให้คนนอกด้วย ถึงแม้จะด้วยจำนวนน้อยนิดก็เป็นเรื่องยาก…” เอ่ยมาถึงตรงนี้ นางก็หยุดพูดไปครู่หนึ่ง เพราะถึงอย่างไรนางก็เป็นฝ่ายที่ต้องการความช่วยเหลือ แล้วอีกฝ่ายก็เป็นเขา นางจึงอดรู้สึกอึดอัดใจไม่ได้
ตงฟางเจ๋อไม่ได้พูดอะไร นัยน์ตาที่มองมาเรียบนิ่งคาดเดาอารมณ์ไม่ถูก
ซูหลีลังเลเล็กน้อย จากนั้นก็พูดต่อว่า “เดิมทีนึกว่าสงครามในครั้งนั้น จะสามารถปกป้องเขตชายแดนฝั่งตะวันตกให้ปลอดภัยไปได้อีกอย่างน้อยสิบปี กลับนึกไม่ถึง เพิ่งจะผ่านไปสามปี ภายใต้สถานการณ์ที่แคว้นเฉิงและแคว้นติ้งแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์กัน อีกฝ่ายกลับสามารถฟื้นคืนอำนาจกลับมาได้อีกครั้ง! ข้าคิดว่าจะต้องมีเหตุผลอะไรบางอย่างซ่อนอยู่แน่นอน ครั้งนี้ข้าไม่กล้าเสี่ยงอันตราย แคว้นติ้งเองก็ไม่อาจต้านรับการโจมตีได้อีกครั้งแล้ว!”
ตงฟางเจ๋อพยักหน้า ยังคงครุ่นคิดเงียบๆ ไม่พูดอะไร
ซูหลีเริ่มรู้สึกไม่สบายใจ
เดิมทีพิรุณโปรยปรายเป็นอาวุธวิเศษของแคว้นเฉิง ปีนั้นสองแคว้นร่วมมือกันสร้าง แต่กลับมีเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า ต่อมาเพราะการตายของเซี่ยหมิงหยาง การร่วมมือกันจึงถูกบังคับให้หยุดชะงักกลางคัน ยามนี้ทั้งที่ไม่ได้รับอนุญาตจากฮ่องเต้แคว้นเฉิง แคว้นติ้งกลับดัดแปลงอาวุธวิเศษชนิดนี้เอง แล้วยังคิดจะซื้อเหล็กอูจินจากแคว้นเฉิงอีก…เขาจะคิดอย่างไรนะ? และหากเหล่าขุนนางแคว้นเฉิงรู้เรื่อง ก็ยากจะหลีกเลี่ยงเสียงวิพากษ์วิจารณ์ครั้งใหญ่อย่างแน่นอน
ซูหลีกล่าวอย่างครุ่นคิด “ข้ารู้ว่าเรื่องนี้ทำให้ท่านลำบากใจมาก แคว้นเฉิงมั่งคั่งร่ำรวย ข้าเองก็คิดไม่ออกว่าจะเอาอะไรมาแลกเปลี่ยนกับท่าน ทว่า หากครั้งนี้ท่านช่วยข้าได้ ต่อไปหากท่านต้องการสิ่งใดในแคว้นติ้งขอเพียงเอ่ยปากเท่านั้น”
สามปีที่ผ่านมา นี่เป็นครั้งแรกที่นางเป็นฝ่ายเอ่ยปากขอร้องเขา แต่กลับเป็นการขอร้องในฐานะผู้ร่วมมือที่ต้องการต่อรองแลกเปลี่ยนกับเขา สายตาของตงฟางเจ๋อไหวระริก เขากระดกคิ้วแล้วแย้มยิ้ม “สิ่งที่ข้าต้องการ เจ้ารู้ดีมาโดยตลอด”
ราวกับถูกสายตาอันร้อนแรงของเขาแผดเผา หัวใจนางสั่นสะท้าน อดกำมือแน่นไม่ได้ นางรู้ดีกว่าใครว่าด้วยนิสัยหยิ่งในศักดิ์ศรีของเขา ไม่มีทางใช้เงื่อนไขเช่นนี้มาบีบบังคับให้นางร่วมเตียงเคียงหมอนด้วยอย่างแน่นอน แต่นัยน์ตาลึกล้ำของเขาในยามนี้ กลับแฝงความหมายบางอย่างเอาไว้อย่างชัดเจน หัวใจของนางจึงสับสนวุ่นวายอย่างไม่อาจควบคุม ภายนอกกลับพยายามรักษาท่าทีสุขุมเยือกเย็นอย่างเต็มที่ จ้องตาเขากลับโดยไม่วอกแวก สีหน้าเรียบเฉยไม่บ่งบอกอารมณ์
ตงฟางเจ๋อถอนหายใจเบาๆ เขาหุบยิ้ม แล้วกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “ภาพร่างหลังจากดัดแปลง ให้ข้าดูได้หรือไม่?”
ซูหลีหยิบภาพร่างออกจากแขนเสื้อ แล้วยื่นให้เขา
ตงฟางเจ๋อค่อยๆ กางออก สายตาเป็นประกาย อดชื่นชมไม่ได้ “สมแล้วที่เป็นทายาทของสำนักกระบี่เหล็ก เซี่ยอวิ๋นเซวียนมีพรสวรรค์มากจริงๆ!”
ซูหลีเองก็ถอนหายใจ แล้วกล่าวว่า “เขาเป็นคนมีพรสวรรค์มากจริงๆ! เพียงแต่ในอดีตยังเด็กนัก แล้วยังถูกรัศมีของเซี่ยหมิงหยางบดบัง จึงไม่มีใครเล็งเห็นพรสวรรค์ของเขา”
ตงฟางเจ๋อพยักหน้า สายตาไหวระริก ความคิดที่วนเวียนอยู่ในใจมาเนิ่นนาน ในที่สุดก็ได้รับการยืนยัน เขามองภาพร่างในมือ จากนั้นก็มองซูหลี ยิ้มแล้วกล่าวว่า “อาวุธชิ้นนี้หากสร้างสำเร็จเมื่อใด ไม่ว่าทำสงครามกับกองทัพใด ก็สามารถปราบศัตรูให้ราบคาบได้!”
ดูจากสีหน้า เหมือนเขาเองก็มีการพิจารณามาอยู่แล้ว ซูหลีถามหยั่งเชิง “ดูเหมือนท่านจะพอใจฝีมือการดัดแปลงพิรุณโปรยปรายของเซี่ยอวิ๋นเซวียนมาก มิสู้…ท่านขายเหล็กอูจินให้ข้าจำนวนหนึ่ง ข้าจะมอบภาพร่างนี้ให้ท่าน เป็นเช่นไร?”
ถือเป็นเงื่อนไขที่ไม่เลวทีเดียว แต่นี่ไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องการมากที่สุด แล้วเขาเองก็ไม่ชอบที่ต้องใช้วิธีเช่นนี้ เพื่อเอาสิ่งใดมาจากมือนาง
ตงฟางเจ๋อยื่นภาพร่างคืนให้ซูหลี มองนางด้วยสายตาลึกซึ้ง ก่อนจะแย้มยิ้มเล็กน้อย แล้วบอกว่า “ก็แค่ภาพร่างแผ่นเดียว ข้าไม่ได้สนใจถึงเพียงนั้น”
ใจของซูหลีพลันหนักอึ้ง แต่กลับถามโดยไม่แสดงสีหน้าใดๆ “เพราะเหตุใด?” นางมั่นใจว่าตนเองมองไม่ผิด สีหน้าพึงพอใจและอยากได้ของเขายามเปิดภาพร่างออกดูเมื่อครู่นั่น
ตงฟางเจ๋อดึงมือนางไปกุมเบาๆ ส่ายหน้าแล้วถอนหายใจกล่าวว่า “เจ้ากับข้าเป็นสามีภรรยา ไม่ควรทำเช่นนี้”
ซูหลีมองดูมือตนเองที่อยู่ในฝ่ามือเขา สายตาแปรเปลี่ยนไปมา อยากจะพูดอะไรแต่ก็ห้ามใจตนเองไว้ก่อน
นิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง นางจึงค่อยถามขึ้นเสียงเบาว่า “เช่นนั้นท่านคิดจะทำอย่างไร?”
ตงฟางเจ๋อกล่าวว่า “เจ้าเองก็รู้ ว่าในอดีตพิรุณโปรยปรายมีข้อบกพร่องอันใหญ่หลวงอยู่ ข้าหาวิธีแก้ไขมาโดยตลอด ภาพร่างหลังจากที่ผ่านการดัดแปลงของเซี่ยอวิ๋นเซวียน ไม่เพียงแก้ไขข้อบกพร่องนั้นได้ ยิ่งทำให้มีอานุภาพร้ายแรงกว่าเดิมมาก ข้ามีหรือจะไม่อยากได้”
เพราะคำนึงถึงเรื่องนี้ นางจึงได้สั่งให้เซี่ยอวิ๋นเซวียนวาดภาพร่างเพิ่มอีกหนึ่งแผ่น แต่นึกไม่ถึงว่าเขาจะปฏิเสธ
ซูหลีลอบคาดเดาความคิดของเขาในยามนี้ จึงลืมไปว่ามือของตนกำลังถูกเขากุมอยู่ตลอด
นิ้วมือของเขาลูบไล้ไปมาบนนิ้วมือขาวเนียนของนาง สัมผัสอ่อนโยนและนุ่มนวล ทำให้ทำใจปล่อยมือออกไปไม่ได้ ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อใด ที่เขาชอบทำอย่างนี้มากขึ้นเรื่อยๆ ราวกับมีเพียงต้องทำเช่นนี้ เขาจึงจะมีสมาธิไตร่ตรองได้ดี และนางเองก็คล้ายจะเคยชินกับพฤติกรรมนี้ไปอย่างไม่รู้ตัว ถูกเขาจับมืออยู่เนิ่นนานก็มักไม่รู้ตัวอยู่บ่อยๆ
ในที่สุดซูหลีก็ตระหนักได้ถึงเรื่องนี้ หัวใจนางสั่นไหว รีบดึงมือกลับ แต่เขากลับไม่ยอมปล่อย
ตงฟางเจ๋อถอนหายใจ แล้วกล่าวว่า “ซูซู เทียบกับการแลกเปลี่ยน ข้ากลับหวังว่าจะสามารถสานต่อความร่วมมือของสองแคว้นที่เคยล้มเหลวในอดีตมากกว่า แคว้นเฉิงรับผิดชอบจัดหาวัสดุเหล็กทั้งหมด แคว้นติ้งรับผิดชอบสร้างอาวุธ ถือเป็นความร่วมมือที่เกี่ยวข้องกับชะตาบ้านเมืองครั้งแรกอย่างเป็นทางการ นับตั้งแต่สองแคว้นเปิดการค้าเสรีมา เช่นนี้จึงจะถือว่าสองแคว้นเจริญก้าวหน้าไปพร้อมกันอย่างแท้จริง เจ้า คิดเห็นเช่นไร?”
ปีนั้น เพื่อแก้ไขปัญหาความขัดแย้งของสองแคว้น นางเคยพยายามผลักดันเรื่องนี้ แต่น่าเสียดายที่ทำไม่สำเร็จ ยามนี้นางเป็นผู้ปกครองบ้านเมือง และแต่งงานกับเขาแล้ว การร่วมมือกันสร้างพิรุณโปรยปรายถือเป็นวิธีที่ดีในการสร้างสัญลักษณ์การร่วมมือกันที่จับต้องได้ นางไม่มีเหตุผลให้ต้องปฏิเสธ แต่…เซี่ยอวิ๋นเซวียนเกลียดเขาเข้ากระดูก เกรงว่าจะเกลี้ยกล่อมได้ยาก
ตงฟางเจ๋อเดาออกว่านางกังวลเรื่องใด จึงเอ่ยว่า “ในฐานะผู้สืบทอดเพียงคนเดียวของสกุลเซี่ย การสร้างอาวุธวิเศษให้สมบูรณ์แบบ เพื่อสร้างเกียรติให้แก่บรรพบุรุษ ได้กลายเป็นชะตากรรมของเซี่ยอวิ๋นเซวียนไปแล้ว! และพิรุณโปรยปรายไม่เพียงแต่เป็นสัญลักษณ์ของสำนักกระบี่เหล็ก แต่ยังเป็นเลือดเนื้อและจิตใจของเซี่ยหมิงหยางด้วย ปีนั้นอาจารย์ลุงของเขารับกระบี่และตายแทนเขา เซี่ยอวิ๋นเซวียนยังคงรู้สึกผิด เขาน่าจะเป็นคนที่อยากให้อาวุธวิเศษนี้ได้สำแดงฤทธิ์เดชต่อหน้าชาวโลกยิ่งกว่าผู้ใดในโลกนี้!”
ซูหลีจำต้องยอมรับว่า เขาเป็นคนที่อ่านใจคนได้อย่างยอดเยี่ยม ไม่มีใครเทียม แต่การคำนวณความคิดของเซี่ยอวิ๋นเซวียนถึงเพียงนี้ ทำให้นางอดรู้สึกละอายใจไม่ได้ นางขมวดคิ้ว แล้วกล่าวว่า “สกุลเซี่ยมีความผิดฐานทรยศบ้านเมือง ถูกชาวโลกประณามและทอดทิ้ง เหลือเขาเพียงคนเดียว ไร้ญาติขาดมิตร แม้แต่จะไปเยี่ยมหลุมศพบรรพบุรุษก็ยังทำไม่ได้ แล้วจะสร้างเกียรติให้บรรพบุรุษไปเพื่ออะไร?”
ตงฟางเจ๋อมองหน้านางคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “เจ้าต้องการร้องขอการอภัยโทษให้เขางั้นหรือ?”
ซูหลีส่ายหน้า แล้วเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง “เรื่องในอดีตยากจะตัดสินว่าผู้ใดถูกหรือผู้ใดผิด ยามนี้เขาเป็นขุนนางของแคว้นติ้งเรา แล้วยังมีความแค้นต่อท่านอีก หากท่านต้องการใช้งานเขา ก็จำต้องแสดงน้ำใจสักหน่อย”
ตงฟางเจ๋อกล่าวด้วยสายตาที่ขรึมลงเล็กน้อย “แสดงน้ำใจอย่างไรเล่า? ประกาศให้โลกรู้ว่าสกุลเซี่ยถูกให้ร้ายนั้นเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว ยิ่งไปกว่านั้นเรื่องที่สกุลเซี่ยเคยทรยศบ้านเมืองก็เป็นความจริง มิใช่การให้ร้ายแต่อย่างใด!”
“ข้ารู้” ซูหลีครุ่นคิดแล้วกล่าวว่า “ท่านก็อนุญาตให้เขาสร้างสำนักกระบี่เหล็กขึ้นมาอีกครั้ง และอนุญาตให้เขานำศพพ่อเขาย้ายกลับไปฝังที่สุสานสกุลเซี่ยเถิด”
โบราณว่าไว้ ผู้ที่ทำการใหญ่ไม่ใส่ใจกับเรื่องเล็กน้อย ตงฟางเจ๋อไม่ใช่คนจิตใจคับแคบ เซี่ยอวิ๋นเซวียนเองก็เป็นคนมีพรสวรรค์ อีกทั้งไม่ใช่คนเจ้าเล่ห์และละโมบเหมือนบิดาเขา หากวางความแค้นส่วนตัวลงและทำงานเพื่อบ้านเมืองได้ การอภัยโทษให้บ้างก็ไม่ใช่จะเป็นเรื่องไม่สมควร
“เจ้ากลับมีน้ำใจต่อเขายิ่งนัก” สายตาของตงฟางเจ๋อเรียบนิ่งลึกล้ำ คาดเดาอารมณ์ไม่ถูก
ซูหลีถอนหายใจ แล้วกล่าวว่า “ชนเผ่าหมาป่าจ้องฉวยโอกาสรุกราน เรื่องการร่วมมือกันมิอาจรอช้าได้อีกต่อไปแล้ว”
เขาเงียบงันไม่พูดอะไรอยู่ครู่หนึ่ง คล้ายกำลังพิจารณา ซูหลีหมายจะเอ่ยปาก แต่จู่ๆ ร่างกายของตงฟางเจ๋อก็แข็งทื่อ คิ้วเข้มขมวดเล็กน้อย
“เป็นอะไรไปหรือ?” นางอดถามไม่ได้
เขาสูดหายใจติดกันหลายครั้ง แล้วจึงค่อยกลับมาเป็นปกติ จากนั้นก็หันมายิ้มให้นางเล็กน้อย แล้วบอกว่า “ไม่เป็นไร”
ซูหลีสงสัย หมายจะเอ่ยปากถามอีกครั้ง ยามนี้โม่เซียงเดินเข้ามารายงาน “ฝ่าบาท วันนี้จะเสด็จไปเสวยมื้อเที่ยงที่ห้องอาหารหรือไม่เพคะ?”
ซูหลีหันไปมองตงฟางเจ๋อ แล้วกล่าวว่า “ยกมากินที่นี่เถิด”
ไม่นานมื้อเที่ยงก็ถูกนำมาจัดวางเต็มโต๊ะ น้ำแกงยังคงเป็นแปดเซียนมังกรคู่หงส์ ตงฟางเจ๋อสะดุดใจ ในหนึ่งเดือนที่ผ่านมา อาหารของนางไม่เคยซ้ำกันสักอย่าง มีเพียงน้ำแกงถ้วยนี้ที่เหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยน เดาว่าจะต้องมีเหตุผลอะไรบางอย่างอยู่แน่ๆ
เขาดื่มน้ำแกงสองสามคำ แล้วเอ่ยขึ้นคล้ายไม่ค่อยใส่ใจ “ดูเหมือนซูซูจะชอบน้ำแกงถ้วยนี้เป็นพิเศษ?”
ซูหลีรู้ว่าเขาสงสัยมานานแล้ว จึงตอบกลับด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “น้ำแกงแปดเซียนมังกรคู่หงส์ถ้วยนี้เป็นน้ำแกงที่เสด็จพี่โปรดปรานมากที่สุดยามยังมีชีวิตอยู่ พี่สะใภ้กลัวว่าข้าจะลืม จึงสั่งห้องเครื่องให้ทำมาส่งทุกวัน เพื่อเป็นการระลึกถึงการตายของเสด็จพี่ แล้วข้าจะขัดประสงค์นางได้เช่นไร”
ตงฟางเจ๋อหน้าเปลี่ยนสีทันที ช้อนหยกสีเขียวอ่อนในมือร่วงตกในชามกระเบื้องเสียงดัง ‘เคร้ง’
ซูหลีเห็นสีหน้าเขาผิดปกติ หัวใจพลันบีบรัด รีบวางตะเกียบลง “ท่านเป็นอะไรไป? ไม่สบายหรือ?”
ตงฟางเจ๋อหน้าซีดเผือด ค่อยๆ ยกมือขึ้นกุมหน้าอก ยังไม่ทันเอ่ยปาก
ยามนี้หวั่นซินเดินเข้ามาอย่างเร่งรีบ และรายงานด้วยน้ำเสียงร้อนรน “ฝ่าบาท เมืองหลวงเก่าส่งข่าวมา ไทเฮาประชวรหนักเพคะ!”
…………………