กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - บทที่ 29 ปรารถนาการตอบรับจากเขา (4)
ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อใด พายุหิมะด้านนอกค่อยๆ ซาลง แสงยามรุ่งอรุณค่อยๆ โผล่พ้นพยับเมฆ ทว่าท้องฟ้ายังคงมืดมน อากาศหนาวเย็นจับใจ คนงานในวังก้มหน้าก้มตากวาดหิมะ ที่ใดมีเสียงดังสวบสาบ ที่นั่นเศษหิมะปลิวว่อน ก้อนอิฐสีเขียวค่อยๆ เผยสีเดิมของมัน
ซูหลีกำชับเฟิงซุ่นและโจวหลี่ให้รายงานไปยังราชสำนักของทั้งสองแคว้นว่าวันนี้งดออกว่าราชการช่วงเช้า สำนักหมอหลวงส่งยาชามหนึ่งมาตรงตามเวลา หลี่จงเหอตรวจชีพจรให้ตงฟางเจ๋ออย่างละเอียด แล้วจึงค่อยกล่าวว่า “ตั้งแต่เสวยยาเมื่อคืน ชีพจรของฝ่าบาทก็ค่อยๆ มั่นคงขึ้นเรื่อยๆ อาการประชวรไม่ได้แย่ลง หากเป็นเช่นนี้น่าจะรอจนหมอเทวดาเจียงกลับมาถึงได้อย่างไม่มีปัญหาพ่ะย่ะค่ะ”
ซูหลีถอนหายใจเบาๆ จากนั้นก็ป้อนยาให้เขาจนหมด หลี่จงเหอเพิ่งจะก้าวเท้าออกจากประตู ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยก็เดินสวนเข้ามา นางนั่งรถกลับมา ระหว่างทางก็แทบไม่ได้พักเช่นกัน จึงเพิ่งมาถึงยามนี้
ครั้นเห็นใบหน้าซูหลีซีดเซียว เห็นได้ชัดว่าไม่ได้นอนมาหนึ่งคืนแล้ว ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยก็อดกล่าวอย่างเป็นห่วงไม่ได้ “หลายวันมานี้เจ้าเดินทางหามรุ่งหามค่ำ ไม่ได้หลับไม่ได้นอน อย่าฝืนจนเสียสุขภาพตนเองเล่า! รีบไปพักสักหน่อยเถิด ข้าจะอยู่เฝ้าที่นี่แทนเจ้าเอง!”
ซูหลียิ้มอย่างเหนื่อยล้า “ข้าไม่เป็นไร เจ้าไปพักผ่อนเถิด หลายวันนี้เจ้าเองก็ลำบากมากเช่นกัน” นางรู้ว่าสภาพตนเองในยามนี้ดูไม่ดีนัก แต่สมองนางกลับตื่นตัวเป็นพิเศษ เพราะในใจนางราวกับมีเชือกเส้นหนึ่งที่ถูกขึงจนตึงตลอดเวลา นางไม่กล้าผ่อนคลายแม้แต่วินาทีเดียว
ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยมองสตรีดื้อรั้นตรงหน้าด้วยสายตาจนใจระคนเป็นห่วง แล้วหันไปมองบุรุษที่หลับใหลไม่ได้สติอยู่บนเตียง นางถอนหายใจเบาๆ ไม่พูดอะไรอีก
ยามนี้เอง เสียงของหวั่นซินดังมาจากข้างนอก “ฝ่าบาท เซี่ยงหลีกับฉินเหิงขอเข้าเฝ้าเพคะ”
ซูหลีชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวว่า “เข้ามา”
ตั้งแต่ขึ้นครองราชย์ นางก็มัวยุ่งกับงานราชกิจ จึงมอบหมายเรื่องในสำนักเฉินเหมินให้ฉินเหิงจัดการดูแล เซี่ยงหลีหันไปดูแลการค้าในที่ต่างๆ โดยเฉพาะ สามปีที่ผ่านมาทุกอย่างราบรื่น ไม่เคยมีเรื่องอย่างวันนี้ที่เข้าวังมาขอพบพร้อมกัน หรือว่าจะเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นในสำนักเฉินเหมิน?
ซูหลีห่มผ้าให้ตงฟางเจ๋ออย่างระมัดระวัง หลังจากตรวจชีพจรของเขาดูแล้วพบว่าปกติดี จึงค่อยปลดม่านสีทองลง แล้วเดินออกมายังห้องโถงตรงกลางซึ่งมีม่านกั้นอยู่ ประตูตำหนักถูกเปิดออกช้าๆ ด้านหลังหวั่นซินมีบุรุษสองคนเดินตามมา คือเซี่ยงหลีและฉินเหิงที่ไม่ได้พบกันมานานมากแล้วนั่นเอง
ทั้งสองรีบคำนับอย่างนอบน้อม
ซูหลียกมือ กล่าวว่า “ไม่ต้องมากพิธี ลุกขึ้นมาพูดคุยกันเถิด” ทุกคนแยกย้ายกันไปนั่งที่ นางจึงค่อยถามขึ้นว่า “พวกเจ้าสองคนเข้าวังมามีเรื่องใดหรือ?”
สายตาของฉินเหิงคล้ายชำเลืองไปทางม่านสีทองอย่างไม่ได้ตั้งใจ ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “ทูลฝ่าบาท ฐานที่มั่นของเฉินเหมินในเมืองหลิงโจว เฉียนโจว และจิ้นหยางถูกยึดครองแล้ว ช่องทางการติดต่อสื่อสารถูกทำลาย สองเดือนที่ผ่านมาขาดการติดต่อกับทางนั้น กระหม่อมรู้สึกว่าผิดสังเกต จึงส่งคนไปตรวจสอบ จากนั้น…ก็มีข่าวหนึ่งถูกส่งกลับมา”
ซูหลีคาดเดาได้รางๆ ว่าเรื่องนี้ต้องเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์จลาจลที่เมืองหลิงโจวแน่นอน สีหน้านางขรึมลงเล็กน้อย ก่อนจะส่งสายตาให้เขาพูดต่อไปได้
ฉินเหิงกล่าวต่อว่า “เจ้าเมืองหลิงโจว ‘เซียวอิ้ง’ ที่ถูกชาวบ้านที่โกรธแค้นสังหาร เป็นลุงของ ‘เจี่ยเหิง’ หัวหน้ากองทหารรักษาการณ์ชายแดนฝั่งตะวันตกเฉียงเหนือ ได้ยินว่าตั้งแต่ลุงถูกสังหาร เจี่ยเหิงไม่ฟังการห้ามปรามของรองแม่ทัพ นำทัพทหารห้าพันไปปราบแต่ก็พ่ายแพ้ เจ็ดวันก่อนถูกกลุ่มชาวบ้านที่ก่อเหตุจลาจลฆ่าตาย ยามนี้เกรงว่ากองทหารรักษาการณ์ชายแดนฝั่งตะวันตกเฉียงเหนือและเมืองหลิงโจวจะถูกควบคุมแล้วพ่ะย่ะค่ะ!”
ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยแทบไม่อยากเชื่อ กล่าวด้วยความเกรี้ยวโกรธว่า “ผู้ใดช่างบ้าบิ่นถึงเพียงนี้? นี่ไม่ต่างจากการก่อกบฏอย่างโจ่งแจ้งเลยแม้แต่น้อย!”
ซูหลีขมวดคิ้ว แล้วกล่าวว่า “ข้าเคยเจอเจี่ยเหิง แม้เขาเป็นคนนิสัยหุนหันพลันแล่น แต่ก็มีความสามารถอยู่ระดับหนึ่ง กลุ่มจลาจลทั่วไปทำอะไรเขาไม่ได้แน่”
ฉินเหิงพยักหน้า แล้วกล่าวว่า “ฝ่าบาทตรัสถูกแล้วพ่ะย่ะค่ะ เจี่ยเหิงอาจดูเหมือนถูกสังหารท่ามกลางความวุ่นวาย แต่สาเหตุการตายที่แท้จริง มาจากรอยกระบี่ที่เล็กจนแทบมองไม่เห็นตรงลำคอเขาพ่ะย่ะค่ะ และวิชากระบี่ไร้รอยเช่นนี้…ฝ่าบาทยังทรงจำได้หรือไม่ ว่าในยุทธภพผู้ใดช่ำชองที่สุด?” เขาเงยหน้ามองซูหลี นัยน์ตามืดมนลงเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าต้องการจะสื่อความหมายบางอย่าง
สายตาของซูหลีไหวระริก “เจ้าสงสัยลัทธิธิดาเทพหรือ? ยามนี้ลัทธิธิดาเทพอยู่ภายใต้การดูแลของเสวียนเฟิง และรับคำสั่งจากหยางเซียว หยางเซียวกับข้าไม่ได้มีเรื่องบาดหมางต่อกัน เหตุใดต้องทำเรื่องเช่นนี้?”
“กระหม่อมเองก็ไม่อยากเชื่อเช่นกัน แต่…” ฉินเหิงกล่าวไปได้เพียงครึ่งประโยค ก็หันไปมองหน้าเซี่ยงหลี เซี่ยงหลีเงียบงันมาตั้งแต่ต้น จนถึงตอนนี้ก็ยังก้มหน้าก้มตาเงียบๆ ไม่รู้ว่ากำลังคิดสิ่งใดอยู่
หวั่นซินกระแอมเล็กน้อย เซี่ยงหลีเงยหน้าโดยสัญชาตญาณ แล้วถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ภรรยาข้า เจ้าไม่สบายหรือ?” ปีนั้น หลังจากผ่านพ้นภารกิจที่ด่านเทียนไห่ไปได้ เซี่ยงหลีปรับปรุงนิสัยและพฤติกรรมใหม่ จนสามารถเอาชนะใจหวั่นซิน และได้ใจหญิงงามมาครองในที่สุด
หวั่นซินถมึงตาจ้องเขาเล็กน้อย เซี่ยงหลีแย้มยิ้มเล็กนิดๆ ดวงตาดอกท้อเป็นประกายระยิบระยับ แต่กลับไม่ได้ดูเจ้าชู้และกะล่อนเช่นในอดีต มีก็แต่แววตารักใคร่อันลึกซึ้งเท่านั้น
ครั้นเห็นภรรยาที่รักโกรธเคืองกัน เซี่ยงหลีลูบจมูกเบาๆ ก่อนจะกล่าวด้วยสีหน้าจริงจังว่า “หัวหน้าสำนักวารีใหม่ ‘ฟู่เทียนเริ่น’ ชำนาญวิชากระบี่ไร้รอยจริงๆ แต่ อาศัยเพียงเรื่องนี้ ก็ยังไม่อาจตัดสินได้ว่าเป็นฝีมือเขา ทว่า…” น้ำเสียงเขาสะดุดเล็กน้อย รอยยิ้มจางหายไปจนสิ้น เขาล้วงผ้าไหมชิ้นหนึ่งออกมา แล้วสะบัดออกเบาๆ เห็นเพียงประกายแสงพาดผ่าน อาวุธลับเล็กแหลมดุจเข็มเล่มเล็กๆ ปลายอาวุธถูกเคลือบไว้ด้วยสีฟ้าเข้ม
หวั่นซินหลุดร้องด้วยความตกใจ “นั่นทรายพลิ้วของสำนักวารีใหม่?!”
“ถูกต้องแล้ว! มีคนพบสิ่งนี้บนศพในที่เกิดเหตุ หลังจากคลังเสบียงของหลิงโจวถูกปล้น”
ซูหลีตื่นตะลึง เซี่ยงหลีกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา “บนอาวุธลับนี้ยังถูกเคลือบไว้ด้วย ‘โยวหลัว’ ยาพิษลับที่มีเฉพาะในสำนักจันทร์เสี้ยว ครั้นไหลสู่เส้นเลือด ก็จะสิ้นใจทันที กระหม่อมได้รับของสิ่งนี้เมื่อเช้า ก็รู้สึกทันทีว่าเรื่องนี้มีเงื่อนงำ ฉะนั้นจึงได้เข้าวังมาขอเข้าเฝ้า นึกไม่ถึงว่าจะบังเอิญพบฉินเหิง”
ซูหลีรับอาวุธลับที่ชื่อทรายพลิ้วไปดูอย่างละเอียด สีหน้าหนักใจสุดแสน ยามนี้แม้มีหลักฐานพร้อม ลัทธิธิดาเทพตกเป็นผู้ต้องสงสัยหลักอย่างหนีไม่พ้น แต่อย่างไรนางก็ไม่เข้าใจ ว่าเหตุใดลัทธิธิดาเทพถึงยื่นมือเข้ามาเกี่ยวข้อง? หรือว่า…เกิดอะไรขึ้นกับเสวียนเฟิงงั้นหรือ? ลัทธิธิดาเทพตกอยู่ในกำมือของผู้อื่นแล้ว? แต่หนึ่งเดือนก่อน หลินเทียนเจิ้งยังได้รับจดหมายที่เขียนด้วยลายมือของเสวียนเฟิง ว่าอยากพบหน้าหลานสาวอยู่เลยนี่…
ซูหลีพลันเงยหน้า ความคิดหนึ่งพลันแล่นผ่านเข้ามาในสมองอย่างรวดเร็ว เร็วจนนางตามไม่ทัน
ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยกล่าวด้วยความสงสัย “หรืออาวุธลับนี้จะถูกคนขโมยไป? มีคนโยนความผิดให้ลัทธิธิดาเทพ เพื่อสร้างความร้าวฉานระหว่างแคว้นติ้งกับแคว้นเปี้ยน?”
“ลัทธิธิดาเทพตั้งอยู่บนยอดเขาสูงชัน ทางเข้าแท่นบูชาหลักลึกลับซับซ้อนมาก เส้นทางลับก็เลี้ยวลดคดเคี้ยว เชื่อมแปดสำนักใหญ่ไว้ด้วยกัน เร้นลับดุจเขาวงกต ซ้ำยังมีกลไกแน่นหนา หากไม่มีคนนำทาง แม้จะโชคดีหาทางเข้าเจอ ก็มีแต่เข้าได้ออกไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ” ฉินเหิงพูดอย่างมั่นใจ
เซี่ยงหลีเองก็กล่าวว่า “หลังการจัดระเบียบใหม่ในปีนั้น ลัทธิธิดาเทพไม่ได้กระจายตัวกันเช่นในอดีตอีกแล้ว ของสำคัญทุกอย่างถูกดูแลอย่างเข้มงวดเป็นพิเศษ หากคิดจะขโมยทรายพลิ้วและโยวหลัวไปพร้อมกัน เรียกได้ว่าเป็นเรื่องที่ยากมาก…นอกเสียจาก” เขากลอกตาเล็กน้อย คิ้วเข้มขมวดเบาๆ “นอกเสียจากว่าหัวหน้าสำนักวารีใหม่และสำนักจันทร์เสี้ยวถูกคนบงการพร้อมกัน”
ฉินเหิงส่ายหน้าพลางกล่าวว่า “ฟู่เทียนเริ่นเป็นคนที่แกร่งที่สุดในบรรดาหัวหน้าสำนักทั้งแปด เขาแทบไม่ก้าวเท้าออกจากลัทธิเลยนะ!”
เซี่ยงหลีขมวดคิ้วกล่าวว่า “ขึ้นชื่อว่าเป็นมนุษย์ ย่อมมีจุดอ่อน”
ฉินเหิงหลุบตาเล็กน้อย ประกายเย็นชาพาดผ่านดวงตา “เจ้ารู้จุดอ่อนของเขา?”
เซี่ยงหลีส่ายหน้ายิ้มๆ แล้วกล่าวว่า “ฟู่เทียนเริ่นและหัวหน้าสำนักจันทร์เสี้ยวคนใหม่มีจุดอ่อนหรือไม่ บางทีอาจไม่มีผู้ใดรู้ แต่มีจุดอ่อนของคนผู้หนึ่ง ที่ไม่ใช่ความลับอีกต่อไป”
สายตาของซูหลีแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชา “เสวียนเฟิง!”
ปีนั้นเซียวอ๋องหยางเจิ้นมีของติดตัวของหลินเทียนเจิ้งเพียงชิ้นเดียว ก็สามารถควบคุมเสวียนเฟิงได้นานถึงหลายปี ยามนี้หลินเทียนเจิ้งได้รับจดหมายให้มุ่งหน้าไปยังแคว้นเปี้ยนพอดี…
ทั้งหมดนี้ อาจไม่ใช่เรื่องบังเอิญ
ซูหลีลุกพรวด หันไปมองซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ย เมื่อครู่นางนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ เรื่องที่นางยังไม่มีเวลาได้คิด
“อวิ๋นฮุ่ย” ซูหลีกล่าวด้วยน้ำเสียงตึงเครียด “เจ้าเคยได้ยินบ้างหรือไม่ ว่าราชสำนักของแคว้นเฉิงได้รับฎีกาเร่งด่วนจากเมืองจิ้นหยางตั้งแต่เมื่อใด?”
“ไม่เลย…”
ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยเป็นคนฉลาด ครั้นซูหลีถามเช่นนี้ นางก็กระจ่างทันที หากฎีกาเร่งด่วนจากเมืองหลิงโจวส่งมาถึงราชสำนักไม่ทันเวลา เป็นสาเหตุให้เกิดเหตุการณ์จลาจล เช่นนั้นเมืองจิ้นหยางเล่า? ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยหน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย “เจ้าหมายความว่า…”
ซูหลีเอ่ยด้วยสีหน้าหนักใจ “เมืองหลิงโจวตั้งอยู่บนเขตชายแดนของสามแคว้น ติดกับเมืองจิ้นหยางของแคว้นเฉิง แคว้นเฉิงตั้งอยู่ใกล้แคว้นหวั่น และเมืองเหลียวเฉิงของแคว้นเปี้ยน พายุหิมะรุนแรงถึงเพียงนั้น ที่อื่นจะโชคดีรอดไปได้อย่างไร?”
ทุกคนได้ยินก็หน้าเปลี่ยนสีด้วยความตกตะลึง
“เจ้าสงสัยว่าเมืองจิ้นหยางถูกคนควบคุมด้วยวิธีการเดียวกันกับเมืองหลิงโจวงั้นหรือ?” ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยมองหน้านางด้วยความตกตะลึง คล้ายไม่อยากเชื่อ
ราวกับต้องการยืนยันคำพูดของนาง ยามนี้เซิ่งฉินวิ่งเข้ามาด้วยความเร่งรีบ ในมือถือฎีกาเร่งด่วนสองฉบับมาด้วยสีหน้าตึงเครียดสุดขีด
ซูหลีเงยหน้าสบตาเขา แล้วถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ฎีกาเร่งด่วนจากเมืองจิ้นหยางหรือ?”
เซิ่งฉินชะงักเล็กน้อย ซูหลีกล่าวอีกว่า “ยังมีของแคว้นหวั่น?”
เซิ่งฉินตะลึงงันไปทันที
ซูหลีเปิดฎีกาอ่าน เป็นไปดังคาด ฎีกาถูกส่งมาไม่ตรงเวลา ชาวบ้านที่ได้รับความเสียหายจากภัยพิบัติก่อเหตุจลาจล สังหารเจ้าเมือง และแม่ทัพชีหยางแห่งกองทัพเฉิงที่ประจำการอยู่ในแคว้นหวั่นก็ถูกสังหารท่ามกลางความวุ่นวาย…เหตุการณ์ที่เหมือนกันจนน่าตกใจนี้ ผู้ใดยังกล้าบอกว่าเป็นเรื่องบังเอิญอีก?
ทุกคนพากันกลั้นหายใจ ในห้องเงียบกริบไร้เสียง บรรยากาศกดดันที่มองไม่เห็นแผ่ปกคลุมไปทั่วบริเวณ ยามนี้หัวใจของทุกคนหนักอึ้งราวกับถูกก้อนหินกดทับ
ผ่านไปครู่หนึ่ง ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยไม่อาจควบคุมความตื่นตะลึงในใจ นางตบโต๊ะเสียงดังแล้วลุกขึ้นยืน “ผู้ใดกันใจกล้าถึงเพียงนี้ ถึงขั้นกล้าท้าทายอำนาจของแคว้นติ้งเรากับแคว้นเฉิง?”
“ไม่ใช่หรอกพ่ะย่ะค่ะ!” เซี่ยงหลีเอ่ยค้านทันใด เขาส่ายหน้าแล้วกล่าวว่า “ไม่ใช่แค่แคว้นติ้งกับแคว้นเฉิง แต่คนผู้นั้นกำลังท้าทายอำนาจของสามแคว้นใหญ่ต่างหาก! หากฮ่องเต้แคว้นเปี้ยนทราบข่าว ว่ามีคนใช้ลัทธิธิดาเทพเป็นเครื่องมือในการสังหารขุนนางของแคว้นติ้งและแคว้นเฉิง จะนิ่งดูดายอยู่อีกได้อย่างไร?”
……………………