กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - บทที่ 36 ล้วนเป็นคนคลั่งรัก (3)
ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยได้ยินก็ตกใจ หันไปมองหน้าซูหลีโดยสัญชาตญาณ
ซูหลีสะกดกลั้นความเศร้าโศกในใจ แล้วถามด้วยเสียงอันแผ่วเบา “ท่านอยากไปหาเสด็จพี่หรือ?”
ฮั่วเสี่ยวหมานยกชายกระโปรงสีแดงตัวใหญ่ เดินเหยียบกองเสื้อผ้าบนพื้นมาถึงตรงหน้าซูหลี สายตาจับจ้องมองหน้านาง คล้ายกำลังสังเกตสีหน้าของนางอย่างละเอียด ผ่านไปครู่หนึ่ง ก็แค่นหัวเราะเย็นชา แล้วกล่าวว่า “ตงฟางเจ๋อตายแล้ว เจ้ามาหาข้าก็เพื่อต้องการให้ข้าตายไม่ใช่หรือ? อยากทำอะไรก็เชิญเถิด ถึงอย่างไร…ข้าก็แก้แค้นสำเร็จแล้ว!”
นางกางแขนออก แหงนหน้าหัวเราะเสียงดัง ซูหลีพูดไม่ออก สายตาเต็มไปด้วยความเจ็บปวดรวดร้าว
ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยอดกล่าวไม่ได้ “เสี่ยวหมาน ฮ่องเต้แคว้นเฉิงยังไม่ตาย!”
“เป็นไปไม่ได้!” ฮั่วเสี่ยวหมานลังเลเล็กน้อย ไม่นานก็สังเกตเห็นชุดไว้ทุกข์บนตัวซูหลี จึงชี้นางแล้วหัวเราะอย่างย่ามใจ “ดูสิ นางใส่ชุดไว้ทุกข์แล้ว!”
ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยน้ำตาคลอเบ้า ตะโกนบอกนางด้วยน้ำเสียงเจ็บปวด “เจ้าไม่เห็นชุดไว้ทุกข์บนตัวข้าหรือ? หมานเอ๋อร์ เป็นเสด็จป้า เมื่อคืน เสด็จป้า…สวรรคตแล้ว!”
ฮั่วเสี่ยวหมานหน้าเปลี่ยนสี มองชุดไว้ทุกข์สีขาวบนตัวซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ย ผงะถอยหลังไปหลายก้าว ความหวาดกลัวบังเกิดในใจ นางตะโกนเสียงดังอย่างไม่อยากเชื่อ “ท่านโกหกข้า! เสด็จแม่ไม่มีวันเป็นอะไร คนที่ตายคือตงฟางเจ๋อ! เขากินอวิ๋นเซียงซิ่นที่รดด้วยน้ำแช่ดอกปิงหลิง พิษเย็นในร่างกายกำเริบ หลินเทียนเจิ้งไม่อยู่ข้างกายเขา ไม่มีใครสามารถช่วยชีวิตเขาได้! ไม่มี!”
ได้ยินเสียงกรีดร้องราวกับจะขาดใจของนาง ซูหลีหลับตาอย่างเจ็บปวด เดิมทีนึกว่าน้ำแกงแปดเซียนมังกรคู่หงส์คือสิ่งย้ำเตือนถึงความแค้นของเสด็จพี่ แต่กลับนึกไม่ถึงว่าจุดประสงค์ที่แท้จริง คือต้องการหยิบยืมมือนางเพื่อคร่าชีวิตตงฟางเจ๋อ!
คนที่เคยไร้เดียงสาถึงเพียงนั้น กลายเป็นคนที่เจ้าเล่ห์มากแผนการขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อใดกัน? หลอกใช้ความละอายใจของนาง และใช้วิธีการที่แนบเนียนถึงเพียงนี้ แนบเนียนจนแม้แต่นางยังไม่รู้ตัว
ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยร้องบอก “หมอเทวดาเจียงหยวนใช้วิชาแพทย์ชุบชีวิต จนฮ่องเต้แคว้นเฉิงปลอดภัยแล้ว! เสี่ยวหมาน กลับใจเถิด อย่าทำผิดอีกเลย!”
“ข้าผิด?” ฮั่วเสี่ยวหมานระเบิดเสียงหัวเราะอย่างไม่อาจควบคุม น้ำตาไหลอาบพวงแก้ม ตะโกนด้วยอารมณ์อันพลุ่งพล่าน “เขาฆ่าสามีข้า ทำให้ข้าเสียลูก ข้าแก้แค้นเขา ถือเป็นเรื่องชอบธรรม! แต่พวกเจ้า…ไม่แบ่งแยกมิตรศัตรู เข้าพวกกับศัตรู แล้วกลับหันมาตำหนิข้า พวกเจ้ามีสิทธิ์อะไร?”
สายตาของซูหลีแปรเปลี่ยนเป็นคมปลาบ นางตวาดเสียงเข้ม “สิทธิ์ที่ท่านเป็นฮองเฮาเพียงองค์เดียวของฮ่องเต้เหรินเต๋ออย่างไรเล่า! ท่านคิดว่าการฆ่าตงฟางเจ๋อ เป็นการแก้แค้นให้เสด็จพี่จริงงั้นหรือ? ท่านรู้หรือไม่ เกิดเหตุจลาจลขึ้นที่ด่านชายแดน ขุนนางในราชสำนักถูกสังหาร เอกสารราชการเดินทางมาถึงช้าหนึ่งเดือน เพิ่งจะส่งมาถึงเมืองหลวง พิษเย็นในร่างกายของตงฟางเจ๋อก็กำเริบ เหลียงสือชูได้รับจดหมายนิรนาม จิ่นฟู่ก็ถูกรองแม่ทัพของหยวนเซี่ยงจับตัวได้อย่างบังเอิญ อีกทั้งจิ่นอวิ๋นยังถูกฆ่าปิดปากในเวลาเดียวกันอีกด้วย…ทุกอย่างนี้ล้วนเป็นเรื่องบังเอิญเช่นนั้นหรือ? ถ้าหากตงฟางเจ๋อตายด้วยเหตุนี้จริงๆ รู้หรือไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น?”
ฮั่วเสี่ยวหมานโบกมือไปมาอย่างฉุนเฉียว “ข้าไม่รู้ แล้วก็ไม่อยากรู้ด้วย!”
“ไม่ว่าท่านจะอยากรู้หรือไม่ ข้าก็จะพูด!” น้ำเสียงของซูหลีแปรเปลี่ยนเป็นเกรี้ยวกราดทันที “หนึ่งเดือนก่อน ด่านชายแดนส่งฎีกามา บอกว่าชนเผ่าหมาป่าเริ่มมีความเคลื่อนไหวอีกครั้ง และอาจบุกโจมตีทิศใต้ได้ทุกเมื่อ! ทันทีที่ตงฟางเจ๋อถูกระบุว่าถูกข้าทำร้าย แคว้นเฉิงมีหรือจะยอมปล่อยเรื่องนี้ไปง่ายๆ?! เมื่อถึงยามที่สองแคว้นทำสงครามกัน ชนเผ่าหมาป่าฉวยโอกาสบุกเข้ามา วิกฤติครั้งใหญ่ที่เกิดขึ้นเมื่อสามปีก่อน แคว้นติ้งเราเพิ่งจะฟื้นตัวมาได้ไม่นาน หากถูกโจมตีซ้ำอีกครั้ง จะยังมีทางรอดอีกหรือ?!”
“เจ้าไม่ต้องพูดเรื่องพวกนี้ ข้าไม่อยากฟัง!” ฮั่วเสี่ยวหมานปิดหูแน่น ตะโกนอย่างเสียสติ “ข้าไม่เข้าใจเรื่องแว่นแคว้น หรือความอยู่รอดของบ้านเมืองอะไรทั้งนั้น เรื่องพวกนั้นเป็นหน้าที่ของเจ้า! เกี่ยวอะไรกับข้า? ข้ารู้แค่ว่าตงฟางเจ๋อทำให้พี่ชายฉ่างตาย ข้าจะฆ่าเขาให้ได้…”
‘เพียะ!’
ซูหลีทนไม่ไหวอีกต่อไป เงื้อฝ่ามือแล้วตวัดไปที่พวงแก้มนางอย่างแรง ไม่ว่าจะพูดอย่างไรก็ไม่อาจบรรยายความผิดหวังในใจของนางในยามนี้ได้
ฮั่วเสี่ยวหมานต้านทานแรงตบไม่ไหว เซล้มลงไปบนพื้น นางเบิกตากว้างด้วยความตกตะลึง จ้องหน้าซูหลีเขม็ง ไม่อยากเชื่อว่าซูหลีที่ยอมนางมาโดยตลอดจะกล้าลงไม้ลงมือกับนาง!
ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยตื่นตะลึง ไม่เคยเห็นซูหลีโกรธเกรี้ยวถึงขนาดนี้ แต่หากฝ่ามือนี้สามารถเรียกสติฮั่วเสี่ยวหมานได้ ก็อาจไม่ใช่เรื่องเลวร้ายเสมอไป
ซูหลีกล่าวด้วยความปวดใจ “ปีนั้น ถึงแม้ฉางผิงโหวจะมั่นใจในตนเองมากเกินไป บ้าอำนาจและชื่อเสียงเงินทอง แต่กลับตายเพื่อบ้านเมืองหลังพ่ายสงคราม ทนไม่ได้ที่จะเห็นบ้านเมืองถูกชนเผ่าอื่นรุกรานเพราะตนเอง แต่ท่าน…ในฐานะภรรยาของเสด็จพี่ เพื่อความแค้นส่วนตัว ยินยอมที่จะถูกผู้มีเจตนาร้ายหลอกใช้ สมรู้ร่วมคิดกับศัตรูแล้วยังไม่รู้จักสำนึกผิด กลับยังบอกว่าเรื่องบ้านเมืองไม่เกี่ยวกับท่าน?! เสียแรงที่ยามยังมีชีวิตอยู่เสด็จพี่ให้ความสำคัญกับบ้านเมือง ได้รับความศรัทธาเลื่อมใสจากราษฎรอย่างล้นหลาม แต่เพราะฮองเฮาเช่นท่านที่เมินเฉยต่อชีวิตของราษฎร เกือบทำให้ความพยายามทั้งชีวิตของเสด็จพี่ต้องสูญเปล่า…”
ครั้นพูดมาถึงตรงนี้ ซูหลีก็รู้สึกขอบตาร้อนผ่าว ลึกๆ ข้างในเจ็บปวดอย่างไม่มีที่เปรียบ นางหลับตา แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงปวดใจ “ข้าหวังเหลือเกินว่าดวงวิญญาณของเสด็จพี่ที่อยู่บนสรวงสวรรค์จะไม่รับรู้ ไม่เห็น และไม่ได้ยินทุกอย่างที่เกิดขึ้น มิเช่นนั้นไม่รู้ว่าเขาจะเสียใจขนาดไหน!”
ครั้นได้ยินประโยคสุดท้าย ในที่สุดป้อมปราการในใจของฮั่วเสี่ยวหมานก็พังทลายลง น้ำตาไหลอาบแก้มอย่างไม่อาจควบคุม ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยหันหน้าหนี น้ำใสๆ รื้นในดวงตา
ซูหลีหยุดพูดไปครู่หนึ่ง จ้องมองชุดแต่งงานสีแดงสะดุดตาบนกายนาง ย่างกรายเข้าไปทีละก้าวๆ “ท่านคิดว่าเมื่อวิกฤติมาเยือน เพียงแค่ตายก็จะแก้ไขปัญหาได้งั้นหรือ? ท่านคิดว่าสวมชุดแต่งงานในปีนั้น แล้วจะได้รับการให้อภัยจากเสด็จพี่งั้นหรือ? ท่านเคยคิดบ้างหรือไม่ หากบ้านเมืองล่มสลายเพราะท่าน ทั้งท่านและข้าล้วนต้องกลายเป็นคนบาปที่จะถูกสาปแช่งไปชั่วลูกชั่วหลาน แล้วจะมีหน้าไปพบเขาในปรโลกอีกหรือ? จะมีหน้าไปพบบิดาของท่านกับข้าอีกหรือ? เมื่อถึงยามนั้น ทั้งท่านและข้า ล้วนต้องถูกชาวโลกทอดทิ้ง ไม่ได้รับการให้อภัยจากคนตาย ศพไร้ที่ฝัง วิญญาณไม่อาจไปสู่สุขคติ…สิ่งที่ท่านต้องการ คือผลลัพธ์เช่นนี้หรือ?!”
นางกล่าวด้วยน้ำเสียงเชือดเฉือน ทุกวาจาเยือกเย็นดุจน้ำแข็ง ยิ่งนางพูด สีหน้าของฮั่วเสี่ยวหมานก็ยิ่งซีดเผือด ครั้นฟังมาถึงประโยคสุดท้าย ร่างกายสั่นเทา ทรุดนั่งบนพื้นอย่างอ่อนแรง ร้องไห้เสียงดังอย่างไม่อาจควบคุม เดิมทีนางเป็นคนที่มีความคิดง่ายดาย คิดแต่จะฆ่าตงฟางเจ๋อเพื่อล้างแค้น ไม่เคยคิดว่าจะทำให้เกิดเรื่องร้ายแรงขนาดนั้นตามมา
ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยสงสารนาง แต่รู้ดีว่าเวลานี้ไม่อาจใจอ่อนได้ ศัตรูอยู่ในที่ลับ จ้องเล่นงานพวกนางอยู่ทุกเมื่อ หากไม่อาจทำให้ฮั่วเสี่ยวหมานเข้าใจถึงความร้ายแรงของเรื่องนี้ได้ เกรงว่าต่อไปมีแต่จะยิ่งสร้างปัญหาใหญ่กว่าเดิม
ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยกลั้นน้ำตา ก้าวเข้าไปกล่าวกับนาง “บางทีเสด็จป้าคงคาดการณ์ได้แต่แรกแล้ว ถึงได้ทิ้งคำสั่งเสียเอาไว้ ไม่ว่าเจ้าจะทำผิดใหญ่หลวงเพียงใด ก็ขอให้ฝ่าบาททรงไว้ชีวิตเจ้า! แต่เจ้าดูหลายปีที่ผ่านมานี้ นางทำงานหนักทุกคืนวัน ไม่เคยได้พักผ่อนเต็มที่ กว่าจะทำให้บ้านเมืองสงบสุขได้เช่นยามนี้ แต่พักนี้ แต่ละเรื่องที่เจ้าทำ ล้วนสามารถทำให้ความพยายามตลอดสามปีที่ผ่านมาของนางพังทลายได้ในพริบตา!”
ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยย่อกายนั่งลงข้างฮั่วเสี่ยวหมาน ประคองหัวไหล่ทั้งสองข้างของนาง แล้วเกลี้ยกล่อมด้วยน้ำเสียงโศกเศร้า “เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว โชคดีที่ไม่มีเรื่องร้ายแรงเกิดขึ้น ถึงเวลาแล้วที่เจ้าต้องกลับใจ! อย่าเอาแต่ขังตนเองไว้ในความแค้นเลย โลกนี้ยังมีสิ่งสวยงามอีกมากมายรอให้เจ้าไปเชยชมอยู่นะ”
“ไม่มีแล้ว” ดวงตาว่างเปล่าของฮั่วเสี่ยวหมานไหวระริก นางส่ายหน้าอย่างเลื่อนลอย “…ไม่มีพี่ชายฉ่าง โลกใบนี้ก็ไม่เหลืออะไรอีกแล้ว”
……………………