กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - บทที่ 41 สามีภรรยาใจตรงกัน (4)
ซูหลีเห็นเขาเริ่มสนใจเรื่องนี้ จึงหยิบจี้ที่เป็นเขี้ยวหมาป่าออกมา ยื่นให้เขาดู แล้วกล่าวว่า “ขันทีคนหนึ่งในตำหนักเฟิ่งอี๋เจอศพของจิ่นอวิ๋น ทำให้ฮั่วเสี่ยวหมานมาโวยวายเอาเรื่องที่ตำหนักข้า หลังจากนั้นเขาก็กินยาพิษฆ่าตัวตาย พบสิ่งนี้บนตัวเขา”
เซี่ยอวิ๋นเซวียนรับเขี้ยวหมาป่าไป แล้วถามอย่างไม่เข้าใจ “ท่านสงสัยว่าคนของชนเผ่าหมาป่าแฝงตัวเข้ามาอยู่ในวังแล้ว?”
“จั้นอู๋จี๋ร่วมมือกับชนเผ่าหมาป่า หมายจะยึดครองโลก” ตงฟางเจ๋อเอ่ยตัดบทเขา
ซูหลีตกตะลึงเล็กน้อย เรื่องเขี้ยวหมาป่า นางยังไม่ทันได้บอกเขา แต่กลับดูเหมือนว่าเขารู้นานแล้ว เห็นได้ชัดว่าเขารู้จักนิสัยและวิธีการของจั้นอู๋จี๋ดีกว่านาง
เซี่ยอวิ๋นเซวียนกล่าวว่า “เขามีอะไรดี ถึงได้ทำให้ชนเผ่าหมาป่าผู้เลือดเย็นเชื่อฟังคำสั่งได้?!”
ซูหลีเอ่ยอย่างใจเย็น “ถึงแม้ชนเผ่าหมาป่าจะโหดเหี้ยมเย็นชา แต่ไม่ชำนาญการวางแผน จั้นอู๋จี๋เพียงเผยแผนการชั่วบางส่วน ก็สามารถทำให้ชนเผ่าหมาป่าเชื่อฟังได้อย่างแน่นอน ทันทีที่เป็นไปตามแผนการของจั้นอู๋จี๋ ตงฟางเจ๋อตาย ข้ากลายเป็นคนร้าย แคว้นติ้งกับแคว้นเฉิงทำสงคราม สองแคว้นแตกหักกันเอง ชนเผ่าหมาป่าฉวยโอกาสรุกรานเข้ามา…หากยามนี้จั้นอู๋จี๋หลอกใช้หยางจิ้นให้ชิงบัลลังก์ได้สำเร็จ กองทัพแคว้นเปี้ยนกับกองทัพชนเผ่าหมาป่าร่วมมือกัน แล้วแคว้นเฉิงกับแคว้นติ้งจะเหลือทางรอดได้อย่างไร?”
เหล่ากองกำลังที่เดิมทีไม่ได้เกี่ยวข้องกันแต่อย่างใด ครั้นผ่านการวิเคราะห์เช่นนี้ กลับมีส่วนร่วมกันหมด แผนการร้ายที่เชื่อมโยงถึงกัน ฟังแล้วชวนให้ผู้คนตกตะลึงยิ่งนัก
เซี่ยอวิ๋นเซวียนกับซูฉุนหน้าเปลี่ยนสี ลึกๆ ข้างในสั่นสะท้าน
ซูฉุนเอ่ยด้วยความดีใจ “โชคดีที่ฝ่าบาทรอดพ้นจากอันตราย”
แม้ว่าเซี่ยอวิ๋นเซวียนไม่พูดอะไร แต่ลึกๆ ข้างในเขาก็คิดอย่างนี้เหมือนกัน ตงฟางเจ๋อยังมีชีวิตอยู่ ก็ยังดีกว่าแผนร้ายของจั้นอู๋จี๋สำเร็จ
เซี่ยอวิ๋นเซวียนไม่ได้อารมณ์ร้อนเช่นตอนแรกอีกแล้ว เขากลับมาสุขุมเยือกเย็นเช่นในยามปกติ ซูหลีจึงถอนหายใจแล้วกล่าวว่า “อวิ๋นเซวียน ข้าพูดเรื่องพวกนี้ มิใช่เพื่อข่มขวัญแต่อย่างใด ข้าเคยบอกท่านแล้ว ไม่ว่าท่านเลือกที่จะอยู่หรือไป ข้าจะไม่ก้าวก่ายเด็ดขาด ถึงแม้เหตุการณ์จะวิกฤติถึงเพียงนี้ ข้าก็จะไม่ฝืนใจท่าน นี่คือคำสัญญาของข้าที่มีต่อท่าน และยังเป็นการให้เกียรติ แต่ว่า” ซูหลีพลันเปลี่ยนเรื่อง นางกล่าวด้วยน้ำเสียงคมปลาบ “ในฐานะสหาย มีคำพูดบางอย่างที่ข้าจำต้องบอกท่าน จั้นอู๋จี๋เป็นศัตรูที่พวกเรามีร่วมกัน หากวันหน้าเขายึดครองโลกได้สำเร็จจริงๆ ท่านจะสามารถใช้ชีวิตอิสระภายใต้การปกครองของคนที่มีจิตใจทะเยอทะยานอย่างนี้ได้หรือ?”
เซี่ยอวิ๋นเซวียนหน้าซีดเขียว พูดอะไรไม่ออก
ซูหลีกล่าวต่ออีกว่า “ท่านอาจไม่กลัวตาย แต่ท่านนึกถึงบิดาท่าน นึกถึงอาจารย์เซี่ย และสาเหตุที่ทำให้สำนักกระบี่เหล็กล่มสลาย แล้วยังมีความฝันที่ยังไม่เป็นจริงของท่านบ้างสิ!”
เซี่ยอวิ๋นเซวียนขยับกลีบปาก มองดวงตาอันกระจ่างใสของนาง สายตาสะท้อนแววสับสนและขัดแย้งในตนเอง ผ่านไปครู่หนึ่งจึงกล่าวว่า “สิ่งที่ท่านพูด ข้าล้วนเข้าใจ ข้าเองก็อยากร่วมต่อสู้กับชนเผ่าหมาป่าไปพร้อมกับท่าน ต่อสู้กับจั้นอู๋จี๋ แต่ข้า…ถึงอย่างไรสำนักกระบี่เหล็กของข้าก็ตายด้วยน้ำมือตงฟางเจ๋อ ยามนี้เถ้ากระดูกของท่านพ่อกับท่านแม่ยังถูกฝังในต่างแดน ไม่อาจย้ายกลับบ้านเกิด…”
ซูฉุนกล่าวอย่างไม่เห็นด้วย “เกิดเป็นชายชาตรี ย่อมต้องรู้จักแยกแยะผิดชอบชั่วดี กฎหมายบ้านเมืองเป็นดั่งขุนเขา ไร้ข้อยกเว้น บิดาท่านทรยศประเทศชาติ จึงได้รับบทลงโทษเช่นนี้ ฝ่าบาททำตามกฎหมายบ้านเมือง มิใช่เรื่องผิดแต่อย่างใด”
แม้เรื่องจริงจะเป็นเช่นนี้ แต่ครั้นเป็นเรื่องของตนเอง ใครเล่าจะสามารถแยกแยะได้อย่างชัดเจน
ซูหลีเอ่ยว่า “ข้าหารือกับฮ่องเต้แคว้นเฉิงแล้ว ขอเพียงท่านสร้างอาวุธวิเศษสำเร็จ ก็จะถือเป็นผลงานต่อทั้งสองแคว้น ถึงแม้ไม่อาจลบล้างโทษของบิดาท่านได้ แต่กลับได้รับเมตตา ให้ย้ายเถ้ากระดูกของบิดาท่านกลับบ้านเกิด และฝังในสุสานบรรพบุรุษ!”
หลายปีมานี้ ความฝันที่คิดว่าจะไม่มีวันเป็นจริงอีก กลับมีความเป็นไปได้ขึ้นมา เซี่ยอวิ๋นเซวียนแทบไม่อยากเชื่อ เงยหน้ามองตงฟางเจ๋อ สายตาเต็มไปด้วยความสงสัย โทษของการทรยศบ้านเมืองนั้นใหญ่หลวงเพียงใด เขาสามารถให้อภัยสกุลเซี่ยได้จริงหรือ?
ตงฟางเจ๋อกล่าว “ซูซูหารือเรื่องนี้กับข้าแล้วจริงๆ หากสองแคว้นร่วมมือกันสำเร็จ ข้าก็จะอนุญาตให้เจ้ากลับไปฝังศพบิดาที่บ้านเกิด!”
เซี่ยอวิ๋นเซวียนทำหน้าลังเล คล้ายยังไม่อยากเชื่อ
แววเย็นชาพาดผ่านดวงตาของตงฟางเจ๋อ เขาเดินกลับไปนั่งบนบัลลังก์ฮ่องเต้ แล้วโน้มกายลงมามองเซี่ยอวิ๋นเซวียน แค่นเสียงเย็นชา แล้วกล่าวว่า “ข้าเห็นแก่ความสามารถของเจ้า จึงได้ให้โอกาส เจ้าอยากลบล้างโทษของสกุลเซี่ย สร้างชื่อเสียงและเกียรติยศให้สกุลเซี่ยอีกครั้ง มีเพียงต้องสร้างอาวุธวิเศษให้สองแคว้นเท่านั้น ไร้หนทางอื่น นี่คือความเมตตาสุดท้ายที่ข้าจะมอบให้เจ้าได้”
ซูหลีมองเซี่ยอวิ๋นเซวียน รอฟังคำตอบจากเขา
เซี่ยอวิ๋นเซวียนเงียบไปเนิ่นนาน ครั้นเห็นท้องฟ้าใกล้มืด ไฟในวังถูกจุดอีกครั้ง ในฐานะผู้สืบทอดเพียงหนึ่งเดียวที่เหลืออยู่ของสำนักกระบี่เหล็ก การฟื้นคืนเกียรติยศให้แก่สำนัก ถือเป็นเรื่องที่เขาสมควรต้องทำ ครั้นตัดสินใจได้ เขาก็ไม่ลังเลอีก ในที่สุดเขาก็เงยหน้าขึ้นมา แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ได้ ข้ารับข้อเสนอ”
ตงฟางเจ๋อคลี่คิ้วที่ขมวดเป็นปมออก แย้มยิ้มเล็กน้อย แล้วกล่าวว่า “ดี! อย่างนี้สิจึงจะเรียกว่าเป็นบุตรที่ดีของสกุลเซี่ย!”
เซี่ยอวิ๋นเซวียนมองหน้าซูหลีด้วยสายตาลึกซึ้ง จากนั้นก็ค้อมกายบอกลา แล้วออกไปพร้อมกับซูฉุน
เรื่องการร่วมมือกันสร้างอาวุธวิเศษของทั้งสองแคว้นดำเนินไปอย่างราบรื่น ซูหลีที่โศกเศร้ามานานหลายวัน พลันรู้สึกเบิกบานใจได้บ้างในที่สุด
ครั้นเห็นนางผ่อนคลายอย่างหาได้ยาก ตงฟางเจ๋อสะดุดใจ หันไปมองก้อนเมฆ ณ เส้นขอบฟ้า แสงอาทิตย์ยามอัสดงงดงามดั่งภาพวาด เขากล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “วันนี้อาทิตย์ตกงดงามมาก ข้าเดินไปส่งเจ้าดีหรือไม่?”
ซูหลีกระดกคิ้ว คลี่ยิ้มกว้างอย่างชอบใจ
ทั้งสองไม่นั่งเกี้ยว แต่กลับเดินทอดน่องไปด้วยกัน ตลอดเส้นทางพูดคุยเรื่องการร่วมมือกัน ต่างฝ่ายต่างเต็มไปด้วยความคาดหวัง
ครั้นกลับมาถึงตำหนักซีหวา โม่เซียงก็มารายงานพอดี ว่าสำรับอาหารค่ำถูกเตรียมไว้พร้อมแล้ว
ซูหลีลังเลชั่วขณะ ก่อนจะหันไปมองตงฟางเจ๋อ แล้วกล่าวว่า “หากท่านไม่รังเกียจ…”
นางยังเอ่ยไม่ทันจบประโยค ตงฟางเจ๋อก็แย้มยิ้ม ก้าวมากุมมือนาง แล้วเดินเข้าไปในห้องอาหารพร้อมกัน
ซูหลีถูกฝ่ามือกว้างอันอบอุ่นจับจูง เดินตามหลังเขาไป รู้สึกเพียงความอบอุ่นอันคุ้นเคยแผ่ปกคลุมหัวใจ นางก้มหน้าอมยิ้ม
อาหารค่ำยังคงมีกับข้าวหกอย่าง น้ำแกงหนึ่งอย่าง แต่กลับไม่มีน้ำแกงแปดเซียนมังกรคู่หงส์อีกแล้ว
ตงฟางเจ๋อตระหนักดี จึงไม่พูดอะไรมาก ก่อนหน้านี้เพราะน้ำแกงแปดเซียนมังกรคู่หงส์ทำให้พิษเย็นในร่างกายเขากำเริบ แต่กลับเป็นเพราะเหตุนี้จึงทำให้เขาได้เห็นความรู้สึกที่แท้จริงของนาง และแก้ปมในใจได้สำเร็จ โบราณว่าไว้ มีโชคร้ายก็ย่อมมีโชคดี เขาเพิ่งเข้าใจอย่างถ่องแท้ก็ยามนี้เอง
หลายวันมานี้ ซูหลีอารมณ์ดีขึ้นทุกวัน มักมีรอยยิ้มประดับบนใบหน้า หัวใจที่ตึงเครียดของเขาจึงผ่อนคลายลงได้ในที่สุด
บนโต๊ะอาหาร ทั้งสองต่างคนต่างกินอาหารของตนเอง เงยหน้าส่งยิ้มให้กันเป็นระยะ ไม่มีใครพูดอะไร แต่บรรยากาศกลับอบอุ่นและสงบสุขยิ่งนัก บางทีอาจเพราะอารมณ์ดี ซูหลีจึงกินข้าวมากกว่าปกติ
หลังกินข้าวเสร็จ ซูหลีกลับไปอ่านฎีกาที่ตำหนักบรรทม ตงฟางเจ๋อตามนางกลับไปด้วย เขาหยิบหนังสือจากชั้นวางด้วยตนเองแล้วมานั่งอ่านบนตั่ง เงยหน้าเป็นระยะ เห็นนางก้มหน้าก้มตาสะสางราชกิจ และอ่านฎีกาอย่างจริงจัง กลับทำให้หัวใจของเขาเต้นแรงเป็นพิเศษ
สตรีในโลกนี้ บ้างก็ชำนาญงานเย็บปักถักร้อย บ้างก็ชำนาญการร่ายรำ ล้วนทำเพื่อดึงดูดความสนใจจากเหล่าบุรุษทั้งสิ้น แต่นางกลับเข้มแข็งไม่แพ้บุรุษเพศ แบกรับหน้าที่อันยิ่งใหญ่ด้วยร่างกายอันบอบบางของนาง
ครั้นสัมผัสได้ว่าถูกจ้อง ซูหลีเงยหน้าเล็กน้อย เห็นเขามีท่าทางเกียจคร้าน คล้ายไม่มีเรื่องอะไรให้ทำ ก็อดเอ่ยถามด้วยความสงสัยไม่ได้ “ท่านไม่ต้องกลับไปทำงานหรือ?”
ตงฟางเจ๋อวางหนังสือลง ยิ้มแล้วตอบว่า “งานของข้าล้วนจัดการเสร็จหมดแล้ว”
ซูหลีตกตะลึง ไม่ได้ออกว่าราชการช่วงเช้าหลายวันเหมือนกัน งานของนางกลับกองสุมรวมกันเท่าภูเขา เขากลับมีเวลาว่างและผ่อนคลายถึงเพียงนี้ เพราะเหตุใดกัน? นึกย้อนไปถึงเมื่อก่อน เขาออกจากวังนานหลายเดือน ก็ยังไม่เคยได้ยินว่ามีปัญหาอะไรเลย ตอนนั้นนางไม่ได้คิดอะไรมาก ยามนี้มาคิดดู หรือว่า…เขามีทักษะพิเศษอันใด?
ซูหลีถามอย่างไม่เข้าใจ “ท่านทำได้อย่างไร?”
ตงฟางเจ๋อนั่งลงข้างกายนาง สุ่มหยิบฎีกาฉบับหนึ่งตรงหน้านางขึ้นมา กวาดตาอ่านเร็วๆ แล้วยิ้มเล็กน้อย “ฎีกาที่เกี่ยวกับความเป็นอยู่ของบ้านเมือง ซึ่งกล่าวถึงแต่ปัญหา แต่กลับไม่มีข้อเสนออย่างชัดเจน ตีกลับไปเสีย กำหนดระยะเวลาให้อัครเสนาบดีกับเหล่าขุนนางหารือถึงวิธีแก้ไขแล้วค่อยถวายฎีกากลับมาใหม่”
จากนั้นเขาก็เปิดอ่านฎีกาอีกหนึ่งฉบับ “การร่วมมือกันของสองแคว้นมีปัญหา ขอเพียงไม่ใช่เรื่องที่เกี่ยวกับข้าและเจ้า ก็ให้ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยจัดการ นางมีความสามารถนี้”
ซูหลีพยักหน้าถี่ๆ ตงฟางเจ๋ออ่านฎีกาต่อไป เขาแยกฎีกาส่วนหนึ่งไปไว้อีกด้าน แล้วกล่าวว่า “ฎีกาที่ดูเหมือนสำคัญ แต่แท้จริงไม่ได้ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของชาติ สามารถแบ่งหน้าที่ให้หกกรม ให้พวกเขาใคร่ครวญหาทางแก้ไข เจ้าเพียงต้องคอยควบคุมว่าผลลัพธ์สมเหตุสมผลหรือไม่ ไม่จำเป็นต้องจัดการทุกเรื่องด้วยตนเอง ทำอย่างนั้นเจ้าจะเหนื่อยเกินไป ซูซู” เขากุมมือนาง แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงใจ “ประมุขแห่งแคว้นเป็นเหมือนคนคุมหางเสือของเรือที่แล่นไปบนทะเล เจ้าเพียงต้องควบคุมทิศทางของหางเสือเท่านั้น ส่วนรายละเอียดงานนั้นปล่อยให้เป็นหน้าที่ของเหล่าขุนนาง ให้ทุกคนได้ทำหน้าที่ของตนเองอย่างสุดความสามารถ เจ้าจึงจะมีเวลาและจิตใจไปปกครองพวกเขาได้อย่างดี”
ซูหลีถอนหายใจ นางไม่เคยเรียนหลักการปกครอง ปีนั้นเพราะได้รับคำสั่งกะทันหัน ให้ถวายชีวิตรับใช้ชาติ ถึงแม้จะรู้จักใช้คน และอ่านความคิดคนออกเช่นกัน แต่กลับไม่เคยคิดเลยว่าหลักการของประมุขก็คืออำนาจในการปกครอง
ตงฟางเจ๋อเปิดฎีกาฉบับหนึ่ง จู่ๆ สีหน้าก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย ซูหลีอดถามไม่ได้ “มีอะไรหรือ?”
ตงฟางเจ๋อวางฎีกาฉบับนั้นลงบนหน้าตักนาง เคาะฎีกาฉบับนั้น แล้วกล่าวด้วยใบหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “ฎีกาฉบับนี้ต่างหาก ที่เป็นเรื่องสำคัญที่เจ้าต้องพิจารณา!”
ซูหลีรีบหยิบขึ้นมาอ่านอย่างละเอียด เห็นเพียงเนื้อหาบนฎีกาเอ่ยถึงปัญหาเรื่องทายาทสืบทอดบัลลังก์ด้วยความเป็นห่วง ใบหน้านางพลันร้อนผ่าวเหมือนถูกไฟแผดเผา
…………………………