กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - บทที่ 42 ท่านได้มันไปแล้ว! (1)
ทายาทและการสืบทอดบัลลังก์ กลายเป็นเรื่องซ้ำซากน่าเบื่อ เหล่าขุนนางในราชสำนักเอ่ยถึงประเด็นนี้มานานแล้ว จึงไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่แต่อย่างใด ก่อนไทเฮาสิ้นพระชนม์ ได้ทิ้งหยกรัชทายาทไว้เพื่อเตือนสตินางถึงเรื่องการมีทายาทสืบทอดบัลลังก์ นางเองก็กำลังใคร่ครวญอย่างถี่ถ้วนเช่นกัน แต่จู่ๆ เรื่องนี้ก็มาวางอยู่ตรงหน้า นางกลับไม่รู้จะตอบอย่างไรดี ราวกับระลอกคลื่นที่ซ่อนอยู่ใต้น้ำถูกแสงอาทิตย์ต้องกระทบ จนมิอาจซ่อนความผันผวนอันเล็กน้อยได้อีกต่อไป
ซูหลีหัวใจเต้นโครมคราม นางวางฎีกาลง แล้วหลบสายตาเขาเหมือนกำลังหนีบางสิ่งบางอย่าง ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงร้อนรนเล็กน้อยว่า “นี่ก็ค่ำแล้ว ท่าน ท่านควรกลับได้แล้ว”
ตงฟางเจ๋อลุกขึ้นเดินมายืนข้างหลังนาง แล้วประคองไหล่บาง ซูหลีหันกลับมาด้วยความตกใจ เห็นเพียงใบหน้านางแดงก่ำ แววลนลานพาดผ่านดวงตาอย่างเห็นได้ชัด
เขาจ้องหน้านาง สายตาหม่นหมองลงเล็กน้อย “เจ้า…อยากให้ข้าไปจริงหรือ?”
ซูหลีก้มหน้า จ้องมองชายเสื้อสีดำของเขา พลางกล่าวอย่างสับสน “ข้า…ข้า…”
เสียงถอนหายใจยาวๆ ของเขาดังขึ้น เขากล่าวคล้ายผิดหวังมาก “เช่นนั้นข้ากลับละ เจ้าเองก็รีบพักผ่อนเถิด” เอ่ยจบ ก็หมุนกายทำท่าจะเดินจากไป
ซูหลีอ้าปากหมายจะเรียกเขา แต่กลับไม่อาจเปล่งเสียงออกไปได้ กระทั่งแผ่นหลังอันเปล่าเปลี่ยวของเขาหายลับไปจากครรลองสายตา นางจึงค่อยทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้ หัวใจพลันเศร้าหมอง ได้แต่กัดเม้มริมฝีปากด้วยความเสียใจ
โม่เซียงนำยามาถวาย เห็นซูหลีนั่งเหม่อลอย ก็ทำได้เพียงวางยาไว้บนโต๊ะ แล้วสะกิดนางเบาๆ พลางกล่าวเตือนสติว่า “ฝ่าบาท ได้เวลาเสวยยาแล้วเพคะ!”
ซูหลีจึงเพิ่งได้สติกลับคืนมา นางรับถ้วยยาไป หลับตาแล้วกลั้นใจดื่มจนหมดในคราวเดียว ยาสีน้ำตาลเข้มไหลเข้าปาก รสชาติของยาขมจนเหมือนกัดกินไปถึงหัวใจ
หลังดื่มยา โม่เซียงปรนนิบัตินางอาบน้ำ จากนั้นก็ถอยออกจากห้องไปเงียบๆ ภายในตำหนักกลับมาเงียบงันอีกครั้ง
ซูหลีเอนกายบนเตียงขนาดใหญ่ที่ทำจากไม้การบูรสีทอง นอนมองตั่งยาวที่ว่างเปล่าอย่างกระสับกระส่าย ลึกๆ ข้างในกลับรู้สึกผิดหวังอย่างบอกไม่ถูก ก่อนหน้านี้มีเขาคอยนอนข้างๆ เสมอ ถึงแม้จะไม่ได้พูดคุยกัน แต่มีคนที่รักอยู่ข้างๆ เพียงลืมตาขึ้นมาก็มองเห็นแล้ว
เมื่อครู่นางแค่พูดไปอย่างนั้นเอง เหตุใดเขาจึง…คิดจริงจังเล่า?
ซูหลีความคิดสับสนวุ่นวาย ได้แต่พลิกตัวกลับไปกลับมา นอนไม่หลับ นางตัดสินใจหยิบเสื้อคลุมมาใส่แล้วเดินไปที่โต๊ะทรงงาน หมายจะอ่านฎีกาต่อ แต่กลับอ่านไม่รู้เรื่องเลยสักคำ นางวางพู่กันลงด้วยความคิดอันยุ่งเหยิง เหลือบมองประตูกั้นที่อยู่ฝั่งหนึ่ง ลึกๆ ข้างในเหมือนได้ยินเสียงหนึ่งกำลังขานเรียกนาง
ราวกับถูกวิญญาณเข้าสิง นางเดินไปหยิบสลักประตูออก แล้วเปิดประตูกั้นอย่างแผ่วเบา แสงสว่างนวลตาสาดส่องเข้ามา ทำให้พื้นไม้ตรงหน้านางสว่างขึ้น
หัวใจของนางเต้นเร็วขึ้น นางวางฝ่ามือลงบนบานประตูกั้นตำหนักบรรทมฝั่งของตงฟางเจ๋อ ไม่ได้เหนือความคาดหมายแต่อย่างใด เพียงผลักเบาๆ บานประตูก็เปิดออกแล้ว นางเดินตรงไปที่เตียง ค้นพบว่าเตียงของเขาว่างเปล่า ภายในตำหนักคล้ายไม่มีคนอยู่ นางพลันรู้สึกหดหู่ ดึกขนาดนี้แล้ว เขากลับไม่อยู่…ไปไหนกันนะ?
ขณะที่นางคิดจะหมุนกายเดินจากไป กลับถูกผ้าห่มที่ทำจากผ้าไหมดึงดูดสายตา ภายใต้แสงสีเหลืองนวล ผิวผ้าไหมอันวิจิตรงดงามเปล่งประกายแวววาวนุ่มลื่น
ซูหลีเบิกตากว้าง นั่นมัน…ผ้าไหมเยียนหลัว?
วันนั้นหลังจากพระราชทานงานแต่งงานในตำหนักใหญ่ นางก็งานยุ่งมาตลอด จึงลืมเรื่องของขวัญอวยพรไปเสียสนิท นึกไม่ถึงว่าวันนี้กลับมาเห็นมันอยู่บนเตียงมังกรของเขา นางนั่งลงบนขอบเตียงด้วยความประหลาดใจ แล้วค่อยลูบผิวผ้าไหมเบาๆ สัมผัสที่ปลายนิ้วนุ่มลื่นถึงเพียงนั้น ทำให้หัวใจของนางรู้สึกอบอุ่นดุจสายน้ำ
เสียงทุ้มต่ำของตงฟางเจ๋อพลันดังขึ้นในตำหนักบรรทม “เจ้าเป็นคนเลือกเอง พอใจหรือไม่?”
ขณะพูด เขาสาวเท้ามาหานางช้าๆ ซูหลีเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย กลิ่นหอมสดชื่นหลังอาบน้ำแผ่ออกมาจากตัวเขา กลิ่นกายอันคุ้นเคยลอยโชยมา นางเหม่อลอยไปชั่วขณะ ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงเหมือนไม่อยากเชื่อ “ท่าน…”
ตงฟางเจ๋อจ้องหน้านาง แล้วเอ่ยเสียงเบา “หลังพระราชทานงานแต่ง ข้าก็ส่งกิเลนมอบบุตรพับนี้ให้คนไปทำเป็นผ้าห่ม ผ้าไหมนี้ล้ำค่ามาก ลงทุนไปไม่น้อย กระทั่งไม่กี่วันก่อนจึงเพิ่งทำเสร็จ ส่วนอีกพับที่เป็นมังกรคู่หงส์ ข้ามอบให้เยวี่ยเอ๋อร์กับหยวนเซี่ยงแล้ว ถือเป็นของขวัญอวยพรจากข้าและเจ้า ไม่ให้เสียน้ำใจเจ้า”
ซูหลีถามเสียงเบา “ในเมื่อทำเสร็จแล้ว เหตุใด…”
จู่ๆ เขาก็แย้มยิ้ม นัยน์ตาดำขลับดุจหยกเปล่งประกาย กล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “ที่ข้าไม่ได้มอบให้เจ้า ก็เพราะว่าข้า…กำลังรอมาโดยตลอด ข้าเชื่อว่าสักวันหนึ่ง เจ้าจะเปิดประตูบานนั้น และมายืนเคียงข้างข้าด้วยความเต็มใจ”
ซูหลีเม้มปาก ขอบตาร้อนผ่าวทันที หัวใจที่บุรุษผู้นี้มีต่อนาง ยังคงมั่นคงดุจหินผาตั้งแต่แรกจนถึงตอนนี้ ถึงแม้ในยามที่ลำบากและสิ้นหวังที่สุด เขาก็ไม่เคยยอมแพ้เลยสักครั้ง! ความรู้สึกอันหวานละมุนระคนเปรี้ยวฝาดพลุ่งพล่านในหัวใจ นางทนไม่ไหวอีกต่อไป หมุนกายพุ่งเข้าใส่อ้อมแขนเขา
ตงฟางเจ๋อกอดนางอย่างดีใจ นางกลับเงยหน้า แล้วเป็นฝ่ายจูบเขาก่อน เพื่อจะแสดงให้เห็นถึงความรู้สึกที่แท้จริงของตนเอง ว่านางรู้สึกโชคดีและซาบซึ้งในความรักอันหนักแน่นมั่นคงของเขาถึงเพียงใด ยังมีความคะนึงหาที่มีต่อเขา แล้วก็…ความรักอีกด้วย
วันต่อมา ยามซูหลีลืมตาตื่นขึ้นมา ค้นพบว่านางนอนอยู่ในอ้อมแขนของเขา แสงแดดนอกหน้าต่างอาบไล้ขอบหน้าต่างให้สว่างขึ้นเล็กน้อย
เสียงลมหายใจของบุรุษที่นอนอยู่ข้างกายเป็นจังหวะสม่ำเสมอ คล้ายกำลังหลับลึก บางทีอาจกำลังฝันดี กลีบปากของเขาจึงเผยอยิ้มขึ้นเล็กน้อย
ดวงตาที่ปิดสนิทค่อยๆ ลืมขึ้น นัยน์ตาดำขลับลึกล้ำฉาบไว้ด้วยรอยยิ้มเบิกบาน
ซูหลีตำหนิเบาๆ “ที่แท้ท่านก็ตื่นนานแล้ว แต่กลับแกล้งทำเป็นหลับ!”
ตงฟางเจ๋อยิ้มแต่ไม่พูดอะไร อ้อมแขนแกร่งกระชับเอวบางแน่น
พวงแก้มของซูหลีร้อนผ่าว นางเอ็ดเสียงเบา “ต้องออกว่าราชการแล้ว!”
ตงฟางเจ๋อหัวเราะเบาๆ “รีบไปไหนเล่า”
เขาใช้ปลายนิ้วไล้สัมผัสดวงหน้างามดุจหยกของนาง ผิวอันขาวเนียนดูแดงเรื่อเล็กน้อย เหมือนแต้มแป้งชาดไว้ ดูมีเสน่ห์เกินห้ามใจ นัยน์ตาของเขาค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นลึกซึ้ง ความคิดนับร้อยประดังประเดเข้ามา ผ่านมาหลายปี ที่เขาใฝ่ฝันถึงเช้าตรู่เช่นนี้ เช้าตรู่ที่มีหญิงงามอยู่ในอ้อมแขน แย้มยิ้มอย่างเอียงอาย งดงามกระชากวิญญาณ แต่เมื่อลืมตาตื่นมากลับต้องผิดหวังนับครั้งไม่ถ้วน
วันนี้ ในที่สุดก็สมปรารถนา แล้วเขาจะทำใจปล่อยมือได้อย่างไรเล่า?
ซูหลีเดาความคิดเขาได้รางๆ นางเองก็อาลัยอาวรณ์อ้อมกอดอันอบอุ่นนี้เช่นกัน การที่ได้ลืมตาตื่นขึ้นมาในอ้อมแขนเขา สัมผัสได้ถึงหัวใจที่เต้นด้วยจังหวะอันมั่นคงของเขา ได้กลายเป็นเรื่องโชคดีที่สุดในชีวิตนี้ และนางก็ไม่ขอสิ่งใดอีกแล้ว
“ฝ่าบาท!” เสียงถามความเห็นอย่างระมัดระวังของเฟิงซุ่นดังเข้ามาจากข้างนอก “เหล่าขุนนางกำลังรออยู่ในท้องพระโรง ท่านหญิงซั่งกวนส่งคนมาทูลถามว่า วันนี้จะหยุดว่าราชการหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”
ซูหลีรีบตั้งสติ ตอบเสียงเข้มว่า “ข้าจะรีบไปเดี๋ยวนี้”
เฟิงซุ่นรับคำแล้วจากไป
คิ้วคมเข้มของตงฟางเจ๋อขมวดเล็กน้อย คล้ายไม่พอใจนัก
ซูหลีกลั้นยิ้ม ยกนิ้วมือลูบคิ้วเขาแผ่วเบา ในน้ำเสียงเกียจคร้านคล้ายมีแววปลอบใจโดยไม่ตั้งใจ “เอาละ ลุกขึ้นเถิด ถึงอย่างไร ต่อไปก็ต้องมีเช้าตรู่อย่างนี้ทุกวันแน่”
“จริงหรือ?” ดวงตาเขาเป็นประกาย ดึงมือนางไปหอมเบาๆ อีกครั้ง ยิ้มอย่างมีเลศนัย คล้ายกำลังจะสื่ออะไรบางอย่าง
…………………………