กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - บทที่ 43 ท่านได้มันไปแล้ว! (2)
ซูหลีหน้าร้อนผ่าว รีบดึงมือกลับ แล้วหนีลงจากเตียง “ข้าไปละ”
ตงฟางเจ๋อเห็นท่าทางเขินอายของนาง ก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้ จากนั้นก็ลุกจากเตียงอย่างเกียจคร้าน
ซูหลีก้มเก็บเสื้อผ้าที่โยนลงพื้นเมื่อคืน แล้วนำมาสวมใส่อย่างรีบเร่ง จู่ๆ ของสิ่งหนึ่งก็หล่นลงมาจากแขนเสื้อตัวนอก
ซูหลีหมายจะก้มเก็บ ตงฟางเจ๋อตาไวมือไว รีบก้มเก็บก่อนนาง แล้วซ่อนเอาไว้ข้างหลัง ไม่ต้องดูเขาก็รู้ว่าเป็นสิ่งใด
“คืนข้ามา” ครั้นความลับที่ซ่อนไว้ถูกคนจับได้ นางขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจเล็กน้อย แล้วยื่นมือไปทางเขา
“ของที่ข้าให้เจ้า ยังกลัวข้าจะแย่งคืนงั้นหรือ?” ตงฟางเจ๋อหลุดหัวเราะ เขาถอยหลังไปนั่งตรงขอบเตียง ดึงนางเข้าไปในอ้อมแขน แล้ววางตุ๊กตาไม้ลงบนมือนาง จากนั้นก็ก้มจูบขมับนางเบาๆ กล่าวว่า “เมื่อใดเจ้าจะมอบของขวัญให้ข้าบ้าง? ให้ข้าได้พกติดตัวตลอดเวลา ยามคิดถึงเจ้า ก็จะได้หยิบออกมาดู เพื่อบรรเทาความคิดถึง”
ซูหลีตะลึงงันไปชั่วครู่ ก่อนจะเอ่ยอย่างตรงไปตรงมา “ข้าแกะสลักไม่เป็น”
ตงฟางเจ๋ออดหัวเราะไม่ได้ เขากล่าวด้วยน้ำเสียงเปี่ยมสุข “ขอเพียงเป็นสิ่งที่เจ้าทำเอง อะไรก็ได้ทั้งนั้น”
ซูหลีกลอกหมุนดวงตาไปมาเหมือนกำลังครุ่นคิด ก่อนจะเลิกคิ้วแล้วบอกว่า “ท่านกับข้าอยู่ด้วยกันทุกวัน ยังต้องการของดูต่างหน้าอีกหรือ? หรือหลังจากนี้ท่านจะไม่เจอข้าอีกแล้ว? เช่นนั้นข้าจะรีบเตรียมของขวัญให้ท่านเลย” เอ่ยจบก็ทำท่าจะลุกขึ้น
ตงฟางเจ๋อกระตุกแขนเล็กน้อย ซูหลีรู้สึกเพียงโลกหมุนไปชั่วขณะ พริบตาเดียวก็ล้มนอนอยู่บนเตียงแล้ว
สายตาที่จ้องมองมาอย่างลึกซึ้งเช่นนั้น ทำให้หัวใจของนางเต้นรัวเร็วอย่างไม่อาจควบคุม
“เจ้ารู้ว่าข้าหมายความอย่างไร” เขายิ้มพร้อมกับลูบดวงหน้านาง
ซูหลีเบือนหน้าหนี ไม่ยอมพูดอะไร ตงฟางเจ๋อประคองหน้านางให้หันกลับมา แล้วกล่าวคล้ายกำลังหลอกล่อ “หากเจ้าไม่ยอมพูด…ข้าจะถือว่าเจ้ารับปากแล้วนะ?”
ซูหลีหลุดขำ ผลักเขาออกแล้วลุกขึ้นยืน ก่อนจะเอ่ยอย่างจริงจัง “งานบ้านเมืองสำคัญ ไม่อาจเสียเวลาได้อีกแล้ว”
ตงฟางเจ๋อถอนหายใจ ลุกขึ้นแล้วช่วยนางจัดแจงเสื้อผ้า เดินตามนางไปที่ประตูกั้น แล้วมองส่งนางจากไป
ซูหลีก้าวเท้าเข้าไปในตำหนักซีหวาซึ่งอยู่อีกฝั่งของประตูกั้น นางอดชะงักเท้า แล้วหันกลับไปส่งยิ้มให้เขาไม่ได้
กระทั่งกลับมาถึงตำหนัก ยาที่เจียงหยวนนำมาส่งด้วยตนเองถูกวางไว้ในตำหนัก กลิ่นยาแตกต่างไปจากทุกครั้ง เห็นได้ชัดว่ามีสมุนไพรตัวใหม่ถูกเพิ่มเข้ามา ซูหลีจึงเพิ่งตระหนักได้ว่าตนเองลืมเรื่องสำคัญไปเรื่องหนึ่ง
คุมกำเนิด
แต่เจียงหยวนรู้ได้อย่างไรว่าเมื่อคืน…
คล้ายดูออกว่านางกำลังสงสัยเรื่องใด เจียงหยวนหลุบตาต่ำ แล้วอธิบายด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “กระหม่อมเข้าวังมาวันนี้ แล้วได้ยินว่าสองฮ่องเต้ที่ทรงงานหนักมาตลอดตื่นบรรทมสายทั้งคู่ เกรงว่าอีกไม่นานจะมีข่าวดีเกิดขึ้นในวัง กระหม่อมจึงถามโม่เซียง เมื่อแน่ใจแล้วจึงได้จ่ายเทียบยาใหม่พ่ะย่ะค่ะ”
ที่แท้ก็อย่างนี้เอง แค่ออกว่าราชการช่วงเช้าสาย ก็มีการคาดเดากันไปต่างๆ นานาแล้ว ในวังหลวงยังขนาดนี้ เดาว่าเหล่าขุนนางในราชสำนักก็คงไม่ต่างกัน เมื่อเป็นเช่นนี้ บางทีนางอาจสบายใจไปได้สักพักหนึ่ง ไม่ต้องเผชิญหน้ากับฎีกาเร่งรัดการให้กำเนิดทายาททุกวันอีก
ซูหลีกล่าวว่า “ลำบากเจ้าแล้ว”
หลังดื่มยาเสร็จ เจียงหยวนก็ตรวจจับชีพจรนาง สีหน้าผ่อนคลายลงเล็กน้อย “ดูจากอาการในตอนนี้ อย่างมากรักษาตัวอีกสองเดือน ฝ่าบาทก็ไม่ต้องเสวยยานี้อีกแล้วพ่ะย่ะค่ะ” จากนั้นเขาก็ออกจากตำหนักไปอย่างเงียบๆ
ผ่านไปครู่หนึ่ง ขันทีหนุ่มคนหนึ่งนำผลไม้หวานกล่องหนึ่งมาถวาย
โม่เซียงรับไว้ แล้วพิจารณาขันทีหนุ่ม ก่อนจะกล่าวด้วยความประหลาดใจ “เจ้าทำงานอยู่ที่ใด? เหตุใดจึงไม่เคยเห็นหน้าเลย?”
ขันทีหนุ่มตอบอย่างนอบน้อม “บ่าวเพิ่งมาทำงานที่ห้องยาขอรับ วันนี้ผู้ดูแลหลี่ได้ยินว่าหมอเทวดาเจียงต้มยามาถวายที่ตำหนักซีหวาด้วยตนเอง เกรงว่าฝ่าบาทจะทรงไม่สบายพระวรกาย จึงได้กำชับให้บ่าวนำผลไม้เชื่อมมาถวาย เพื่อลบล้างรสขมของยาขอรับ”
สายตาของซูหลีขรึมลงเล็กน้อย นางกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “ขอบใจมาก เจ้าชื่ออะไร?”
ขันทีหนุ่มแย้มยิ้ม “บ่าวชื่อเสี่ยวจินจื่อพ่ะย่ะค่ะ เพิ่งเข้าวังมาได้ไม่นาน วันนี้เพิ่งมีโอกาสได้เข้าเฝ้าเป็นครั้งแรก”
สายตาของซูหลีไหวระริก ปากกลับเอ่ยชมว่า “ดี เด็กๆ ตบรางวัล”
นางกำนัลรับคำแล้วมอบเงินรางวัลให้ ขันทีหนุ่มรีบรับไว้แล้วค้อมกายขอบคุณ จากนั้นก็ออกจากตำหนักไป ซูหลีจ้องมองเงาร่างที่เดินออกไป กระทั่งหายลับไปจากครรลองสายตา
ตงฟางเจ๋อเดินเข้ามาจากอีกฟากของประตูกั้นพอดี เห็นเช่นนั้นก็ถามว่า “คนผู้นี้มีปัญหาใดงั้นหรือ?”
สายตาของซูหลีขรึมลง นางกล่าวว่า “เพิ่งเข้าเฝ้าเป็นครั้งแรก กลับตอบคำถามได้อย่างเป็นธรรมชาติ ไร้ท่าทางกริ่งเกรง ข้าตบรางวัลเป็นเงินให้เขา เขาขอบคุณด้วยความซาบซึ้ง แต่กลับไม่มองเงินรางวัลเลยไม่แต่น้อย ขณะเดินออกจากตำหนัก ฝีเท้ามั่นคง ไม่มีท่าทางลิงโลดดีใจ…”
“เช่นนี้ก็หมายความว่าต้องตรวจสอบอย่างละเอียด หากเป็นคนของเขาจริง กลับสามารถใช้ให้เป็นประโยชน์ได้”
ซูหลีพยักหน้า เรียกเฟิงซุ่นซึ่งเป็นหัวหน้าขันทีเข้ามากำชับสักหลายประโยค เฟิงซุ่นรีบรับคำแล้วจากไปทันที
ตงฟางเจ๋อยื่นมือให้นาง ยิ้มแล้วกล่าวว่า “มา ข้าจะพาเจ้าไปที่หนึ่ง”
ซูหลีถามด้วยความสงสัย “ไปไหนหรือ?”
เขายิ้มแต่กลับไม่ตอบ แสร้งทำท่าทางมีลับลมคมใน
อากาศในเดือนสามเปลี่ยนแปลงไม่แน่นอน ช่วงก่อนหิมะยังโปรยปราย อากาศหนาวจนเหมือนอยู่ในเดือนสิบสอง วันนี้ท้องฟ้ากลับปลอดโปร่ง ให้ความรู้สึกถึงฤดูใบไม้ผลิอันอบอุ่นเสียที
เดิมทีซูหลีเป็นห่วงเรื่องงาน ไม่อยากออกไปไหน แต่พอเห็นเขากระตือรือร้นถึงเพียงนี้ ก็ไม่อยากขัดใจเขา ฉะนั้นทั้งสองจึงเปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วเดินออกจากตำหนักตงหวาไปขึ้นรถม้า เซิ่งฉินบังคับรถม้าให้มุ่งหน้าไปยังทิศใต้ของเมืองหลวงฝั่งแคว้นเฉิง
ภายใต้แนวต้นหลิวที่รายล้อมอย่างแน่นหนา เขตที่พักอาศัยของข้าราชการส่วนหนึ่งกลายเป็นเขตชนชั้นสูงที่คนนอกห้ามเข้าใกล้ ทิศตะวันตกเฉียงเหนือของเขตพื้นที่นี้ คฤหาสน์ขนาดใหญ่หลังหนึ่งตั้งตระหง่านหันหน้าไปทางกำแพงวังโดยมีแม่น้ำกั้นกลาง พื้นที่กว้างขวางกว่าที่พักข้าราชการทั่วไป
รถม้าหยุดวิ่งที่ประตูหลังของคฤหาสน์ขนาดใหญ่หลังนี้
ซูหลีเอ่ยถามด้วยความสงสัย “ตอนนี้ทั้งไม่ใช่หน้าท่องเที่ยว ยิ่งไม่มีทิวทัศน์ฤดูใบไม้ผลิให้ชม ท่านพาข้ามาที่นี่ทำไม?”
ตงฟางเจ๋อประคองนางลงจากรถ ยิ้มเล็กน้อยแล้วกล่าวว่า “อีกประเดี๋ยวเจ้าก็รู้เอง”
เซิ่งฉินเดินเข้าไปเคาะประตู ไม่นานประตูก็เปิดออก เด็กรับใช้ชายคนหนึ่งยืนค้อมหัวอยู่ข้างประตู เห็นได้ชัดว่ามายืนรอนานแล้ว ซูหลีพลันประหลาดใจ ตงฟางเจ๋อจูงมือนาง แล้วเดินเข้าไปข้างในพร้อมกับรอยยิ้ม
ไม่รู้ว่าสวนดอกไม้หลังบ้านผู้ใด ทางเดินศาลาเลี้ยวลด สร้างได้อย่างประณีตงดงามยิ่ง ตรงใจกลางกำแพงสองฝั่งที่มีความสูงเท่ามนุษย์ น้ำพุร้อนถูกดึงให้ไหลเข้ามาในคูน้ำ ไอร้อนลอยคละคลุ้ง ปิดกั้นอากาศอันหนาวเหน็บไว้นอกประตู
ซูหลีเดินย่ำบนสะพานหิน เสียงน้ำกระทบหินด้านล่างสะพานดังขึ้น บรรยากาศของฤดูใบไม้ผลิอบอวลไปทั่ว พาให้นางรู้สึกผ่อนคลายไปด้วย ครั้นเดินไปตามแนวกำแพงอีกไม่นาน ตงฟางเจ๋อก็หยุดเดินด้านหน้าประตูไม้ทรงกลมบานหนึ่ง เขาอมยิ้มแล้วถอยไปยืนด้านหนึ่ง
ซูหลีหันไปมองเขาแวบหนึ่ง แล้วเดินเข้าไปผลักประตูไม้บานนั้นออก กลิ่นหอมจางๆ ลอยแตะจมูก นางพลันตกตะลึง
เบื้องหน้ากลับเป็นป่าดอกหลีอันกว้างใหญ่ผืนหนึ่งที่มองไม่เห็นจุดสิ้นสุด สีขาวบริสุทธิ์ดุจหิมะละลานตา ดอกหลีบานสะพรั่งอย่างอิสระ อาจเป็นเพราะน้ำพุร้อนที่ถูกดึงเข้ามาในสวน จึงทำให้ดอกหลีที่เดิมทีควรบานในเดือนสี่ กลับบานล่วงหน้าเช่นนี้
ซูหลีหันไปมองหน้าเขาด้วยสายตาตื่นตะลึง สายตาของตงฟางเจ๋อเปี่ยมไปด้วยความอ่อนโยน เขาแย้มยิ้มแล้วถามว่า “ชอบหรือไม่?”
ซูหลีหันกลับไปมองป่าดอกหลีผืนนั้นอีกครั้ง นางอดไม่ได้ที่จะพยักหน้า “ชอบ! เหตุใดท่านจึง…”
เขาถอนหายใจเบาๆ แล้วรั้งนางเข้าไปกอด “พักนี้งานบ้านเมืองติดพัน เหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง เจ้าตึงเครียดเกินไป แม้ยามหลับจิตใจก็ยังไม่สงบ ข้าเองก็ไม่มีเวลาพาเจ้าออกไปเที่ยวเล่นผ่อนคลาย หวังว่าเจ้าเห็นป่าดอกหลีผืนนี้ แล้วจะลืมเรื่องกวนใจพวกนั้นไปได้ชั่วขณะ”
ซูหลีเอียงหน้ามองเขาด้วยสีหน้าซาบซึ้ง เขาเองก็มีราชกิจติดพัน ทั้งที่งานยุ่งมาก แต่ก็ยังใส่ใจนางถึงเพียงนี้
นางเดินเข้าไปในป่าดอกหลีช้าๆ ทอดมองไปทั่วทิศ ทั้งผืนฟ้าและแผ่นดินล้วนเป็นสีขาวบริสุทธิ์ ราวกับย้อนกลับไปยังตอนที่ความสับสนวุ่นวายทั้งหมดยังไม่เกิดขึ้น สรรพสิ่งเพิ่งถือกำเนิด ทุกชีวิตหวนกลับไปยังจุดเริ่มต้น
กลิ่นหอมรัญจวนใจลอยอบอวลในอากาศ ชวนให้รู้สึกสดชื่นไปถึงหัวใจ ซูหลีหลับตา สูดหายใจลึกๆ ครั้นลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง นางก็รู้สึกแจ่มใสเบิกบานขึ้นมากแล้ว
ตงฟางเจ๋อยืนอยู่ไม่ไกล มองดูซูหลีอยู่เงียบๆ นางสวมชุดกระโปรงสีขาว ครั้นยืนอยู่ใต้ต้นดอกหลี ทำให้ดูเหมือนเทพธิดาดอกหลีที่ละทิ้งความวุ่นวายในโลกมาใช้ชีวิตอยู่อย่างสันโดษ หัวใจของเขาเต้นแรง พลันกระจ่างทันทีว่าเหตุใดนางถึงได้หลงรักดอกหลีนัก เพราะความบริสุทธิ์สง่างาม เรียบง่ายแต่ไม่ธรรมดา ที่เหมือนตัวนาง?
เขาอดก้าวเดินไปหานางไม่ได้
ซูหลีได้ยินเสียงฝีเท้า ก็หันไปมอง เห็นเพียงท่ามกลางกลีบดอกไม้ที่โปรยปรายลงมา บุรุษชุดดำรัดเกล้าทองกำลังเดินมาหานางช้าๆ หน้าตาหล่อเหลา บุคลิกสง่างามไร้ที่เปรียบ นางถึงขั้นเหม่อลอยไปชั่วขณะ
ครั้นเขาเดินเข้ามาใกล้ นางจึงเพิ่งได้สติ ยิ้มอย่างสดใส แล้วกล่าวว่า “ถ้าหากข้าเดาไม่ผิด ในป่าดอกหลีผืนนี้น่าจะมีทะเลสาบน้ำตื้นอยู่ด้วย” เอ่ยจบ นางก็จูงมือเขาเดินไปยังใจกลางของป่าดอกหลีเร็วๆ
เดินอยู่ไม่นาน ท่ามกลางเงาต้นหลี มองเห็นทะเลสาบสีเขียวที่เปรียบเสมือนไข่มุกมรกตแห่งท้องทะเลลึก ถูกฝังไว้บนผืนดินท่ามกลางสีขาวบริสุทธิ์ของดอกหลีดังคาด ทิวทัศน์งดงาม ริมฝั่งทะเลสาบที่น้ำไม่ลึกนัก มีแท่นศิลาถูกสร้างไว้ เป็นแท่นศิลาที่นางเคยใช้ฝึกร่ายรำในอดีตนั่นเอง
หัวใจของซูหลีพลันป่วนพล่าน ที่นี่ ก็คือจวนเซ่อเจิ้งอ๋องแห่งใหม่!
ยามยืนอยู่ใต้ต้นดอกหลีริมฝั่งทะเลสาบ นางพลันนึกได้ ปีนั้นในสวนดอกหลีของจวนเซ่อเจิ้งอ๋อง หากคนที่นางพบไม่ใช่ตงฟางจั๋ว แต่เป็นตงฟางเจ๋อ เรื่องราวระหว่างพวกเขาจะเปลี่ยนแปลงไปหรือไม่?
จู่ๆ ซูหลีก็นึกครึ้มอกครึ้มใจ หันไปมองบุรุษข้างกายแล้วถามด้วยสีหน้าจริงจัง “ท่านเป็นใคร?”
……………………