กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - บทที่ 46 ถูกจับได้ว่าดื่มยาคุมกำเนิด (1)
ซูหลีกุมมือเขากลับ นิ้วมือเรียวขาวไล้ผ่านฝ่ามือเขาเบาๆ ลายมือที่สลับซับซ้อน เปรียบดังแผนลับอันชั่วร้ายและเบาะแสที่ดูยุ่งเหยิงไม่มีหลักการ แต่แท้จริงแล้วกลับมีแบบแผนที่ชัดเจน
ซูหลีกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “หยางเซียวเป็นคนฉลาด หลายปีมานี้ที่เขาปกครองบ้านเมืองได้สร้างความดีความชอบไว้มากมาย ครั้งนี้แม้การหักหลังของลัทธิธิดาเทพจะอยู่นอกเหนือการคาดหมายของเขา แต่เขาระวังหยางจิ้นมาโดยตลอด สาเหตุที่เลือกกระโดดทะเลสาบในลัทธิธิดาเทพ เดาว่าเขาจะต้องมีทางหนีรอดไปได้แน่ ท่านจำทางเดินสู่ศาลามู่เยวี่ยในลัทธิธิดาเทพที่ขาดครึ่งได้หรือไม่?”
ปีนั้นในลัทธิธิดาเทพ หยางเซียวพยายามเอาอกเอาใจนางทุกวิถีทาง ช่วยนางฝึกวรยุทธ์ ถึงขนาดยอมกระโดดลงไปในน้ำด้วยตนเองเพื่อเปิดกลไก นางรู้สึกซาบซึ้ง เขาจึงฉวยโอกาสใกล้ชิดนาง ครั้นนึกถึงใบหน้าเย่อหยิ่งไร้ความกลัวของคนผู้นั้น ตงฟางเจ๋อก็อดขมวดคิ้ว แล้วแค่นเสียงขึ้นจมูกไม่ได้
ซูหลีรู้ว่าเขายังไม่พอใจหยางเซียวอยู่ ก็อดหัวเราะไม่ได้ นางกล่าวว่า “ตอนนั้นหยางเซียวใช้แหวนหยกขาวของข้าเปิดกลไกหนึ่งในนั้น ข้าไม่เคยเข้าใจเลย ว่ากลไกที่สามารถเปิดได้โดยใช้แหวนอีกวงหนึ่งคืออะไร? แต่ครั้งนี้ บางทีข้าอาจเข้าใจแล้ว”
แววมั่นใจที่พาดผ่านดวงตาของซูหลี ดึงดูดความสนใจของตงฟางเจ๋อ เขากล่าวอย่างครุ่นคิด “เจ้าสงสัยว่าใต้ศาลามู่เยวี่ยมีทางลับซ่อนอยู่อีกเส้นหนึ่ง?”
ซูหลีพยักหน้า “ทะเลสาบในลัทธิธิดาเทพถูกล้อมรอบโดยภูเขาแปดลูก แม้จะมีเส้นทางลับใต้น้ำที่ไหลสู่นอกลัทธิ แต่จะต้องมีคนคอยเฝ้าระวังอยู่อย่างแน่นอน ถ้าหากไม่มีทางลับอื่นซ่อนอยู่ เขากระโดดลงไปก็มีแต่รนหาที่ตาย ไม่เกินครึ่งวันอย่างไรก็ต้องถูกจับ ในจดหมายกล่าวว่ายามนี้ยังไม่พบเบาะแสของเขา ต้องเป็นเพราะคนของหยางจิ้นตามหาเขาไม่เจอแน่นอน ข้าคิดว่า หยางเซียวน่าจะหนีออกจากลัทธิธิดาเทพได้อย่างปลอดภัยแล้ว”
การวิเคราะห์ของนาง มีหลักการและเหตุผลครบถ้วน ตงฟางเจ๋อแย้มยิ้ม สายตาคล้ายมีแววหยั่งเชิงรางๆ “แหวนวงนั้นเป็นของที่ระลึกเพียงชิ้นเดียวที่แม่เจ้าทิ้งไว้ให้ แล้วก็เป็นของแทนใจของนางกับเสด็จพ่อเจ้า เจ้าหวงแหนมันมาตลอด เหตุใดจึงยกให้เขาเล่า?” นึกย้อนไปถึงในอดีต ตอนที่แหวนอยู่กับเขา นางยังพยายามหาทางแย่งกลับไปอย่างสุดชีวิต
ซูหลีกล่าวอย่างทอดถอนใจ “ข้าเคยคิดจะเอาแหวนวงนั้นใส่ลงไปในโลงศพของเสด็จพ่อด้วยจริงๆ แต่ถึงอย่างไรแหวนวงนั้นก็เป็นของลัทธิธิดาเทพ เกี่ยวข้องกับเส้นทางลับในลัทธิ! ตอนนั้นที่ข้ารับหน้าที่เป็นธิดาเทพ ก็เป็นเพียงแผนรับมือชั่วคราว ในเมื่อออกจากแคว้นเปี้ยนแล้ว และยังสืบทอดบัลลังก์แคว้นติ้งอีก เผื่อวันใดเขาจำต้องใช้แหวนวงนั้น ข้าคืนแหวนให้เขา ก็ถือเป็นการคืนให้ผู้เป็นเจ้าของ”
สายตาของตงฟางเจ๋อไหวระริก เขาหัวเราะเบาๆ “เช่นนี้ก็ดี เจ้ากับเขา ก็ถือว่าไม่มีอะไรติดค้างกันอีก”
ซูหลีมีหรือจะไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่ นางอดถอนหายใจไม่ได้ เพียงแต่ช่วงเวลาที่อยู่ในแคว้นเปี้ยน หยางเซียวปฏิบัติกับนางอย่างจริงใจ ทำเพื่อนางทุกอย่าง ไม่ใช่ความสัมพันธ์ที่แค่ตอบแทนอะไรบางอย่างแล้วจะไม่ติดค้างกันอีก ยิ่งไปกว่านั้นนางกับเขา ก็ยังมีความสัมพันธ์ทางสายเลือดที่ตัดไม่ขาดอีกด้วย ครานี้หยางเซียวตกอยู่ในอันตราย ถึงแม้นางจะคาดเดาได้ว่าเขาหนีไปได้อย่างปลอดภัย นางก็ยังคงเป็นห่วงเขาอยู่ดี
แววเป็นห่วงในดวงตานางชัดเจนถึงเพียงนั้น ตงฟางเจ๋อมีหรือจะไม่เห็น แต่เขากลับไม่พูดอะไรมาก เขารู้ว่าซูหลีในตอนนี้ ได้ผ่านการขัดเกลาจากประสบการณ์ต่างๆ ในชีวิต จึงไม่มีทางที่จะถูกความรู้สึกส่วนตัวครอบงำได้ง่ายๆ ทุกอย่างที่นางทำ ล้วนอาศัยการมองภาพรวมเป็นหลักทั้งนั้น
ซูหลีเก็บงำความคิด แล้วเอ่ยด้วยเสียงขรึม “แผนร้ายของจั้นอู๋จี๋กับหยางจิ้นสำเร็จ คาดว่าอีกไม่นานคงจะเริ่มเคลื่อนไหวก้าวต่อไปแน่นอน”
ตงฟางเจ๋อกล่าวด้วยสายตาเย็นชาเล็กน้อย “ข้ากลับอยากรู้ว่าเขาจะทำอะไรต่อไป! เซิ่งจินส่งจดหมายมาบอกว่า หลังจากหยางจิ้นขึ้นครองราชย์ ก็รวมกำลังทหารสี่แสนนาย และเคลื่อนพลไปยังเทียนเหมินแล้ว”
เร็วถึงเพียงนี้เลยหรือ! ซูหลีตกตะลึงเล็กน้อย ยามนั้นที่ตงฟางเจ๋อเคลื่อนกองทัพไปยังเทียนเหมิน ก็มีทหารเพียงสามแสนนายเท่านั้น ทว่าแคว้นเปี้ยนจะต้องได้รับความเสียหายจากสงครามภายในที่เกิดขึ้นอย่างแน่นอน กองทัพทหารสี่แสนนาย เกรงว่าคงเป็นกำลังทหารทั้งหมดของแคว้นเปี้ยนในยามนี้แล้ว
ซูหลีขมวดคิ้ว แล้วกล่าวว่า “หยางจิ้นเพิ่งจะชิงบัลลังก์สำเร็จ บัลลังก์ยังไม่ทันมั่นคง ก็เร่งรีบเคลื่อนกองทัพแล้ว เห็นได้ชัดว่าจั้นอู๋จี๋ได้หมดความอดทนไปแล้ว”
“ข้าได้สั่งให้หยวนเซี่ยงนำทัพไปต้านรับแล้ว ทันทีที่แคว้นเปี้ยนตกอยู่ในกำมือข้า ข้าอยากรู้นักว่าเขาจะหนีไปซ่อนตัวที่ใดได้อีก!” ยามเอ่ยถึงประโยคสุดท้าย น้ำเสียงของตงฟางเจ๋อพลันแปรเปลี่ยนเป็นคมปลาบดุดัน ไอสังหารพาดผ่านดวงตาไปอย่างรวดเร็ว
ซูหลีลุกขึ้น แล้วกล่าวว่า “ในเมื่อหยางจิ้นเคลื่อนทัพไปที่เทียนเหมินแล้ว คาดว่าภายในสามถึงห้าวัน ชนเผ่าหมาป่าก็จะต้องเริ่มเคลื่อนไหวอย่างแน่นอน ไม่รู้ว่าเซี่ยอวิ๋นเซวียนสร้างอาวุธวิเศษไปถึงไหนแล้ว? มิสู้ท่านไปดูกับข้าหน่อยดีหรือไม่?”
“ได้สิ” ตงฟางเจ๋อแย้มยิ้ม
ทั้งสองขึ้นรถม้ามุ่งหน้าไปยังคลังแสง เซี่ยอวิ๋นเซวียนกำลังทดสอบอาวุธใหม่อยู่ที่ลานกว้าง ทั้งสองห้ามไม่ให้ทหารเฝ้าประตูไปรายงานเขา พากันมุ่งหน้าตรงไปยังลานกว้าง นึกไม่ถึงว่าซูฉุนกับซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยก็อยู่ด้วย คงเป็นเพราะสงครามกำลังจะเกิดขึ้น ซูฉุนที่ทำหน้าที่ดูแลเรื่องความร่วมมือของสองแคว้น จึงได้มาตรวจสอบความคืบหน้าของอาวุธใหม่ ยิ่งมีซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยติดตามมาด้วย เหล่าขุนนางฝ่ายทหารก็ยิ่งรอบคอบระมัดระวังมากขึ้นเป็นเท่าตัว
ซูฉุนกับซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยยืนอยู่ด้านหนึ่ง คนหนึ่งอ่อนโยนสง่างาม อีกคนงดงามอ่อนช้อย ดูเหมาะสมกันอย่างยิ่ง ทั้งสองก้มหน้าคุยกันเป็นระยะ สีหน้าท่าทางสนิทสนมเป็นธรรมชาติ ไม่ได้เกรงอกเกรงใจเช่นก่อนหน้านี้อีก
ไม่รู้ว่าซูฉุนพูดอะไร ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยกลับหัวเราะออกมาเบาๆ ในดวงตางาม มีประกายแห่งความชื่นชมระคนเสน่หาสะท้อนให้เห็นรางๆ ซูหลีกับตงฟางเจ๋อมองหน้ากัน แล้วยิ้มออกมาอย่างรู้กันโดยไม่ต้องพูด
ทุกคนพุ่งเป้าความสนใจไปที่ลานกว้าง รอดูผลการทดสอบของอาวุธใหม่เงียบๆ ไม่มีผู้ใดสังเกตเห็นถึงการมาเยือนของสองฮ่องเต้
ทหารสิบกว่านายหยิบหน้าไม้วางลงบนโครงไม้กลางสนาม กลไกของอาวุธเริ่มส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าด ไม่นานหน้าไม้ที่ดูแข็งแกร่งก็ประกอบเชื่อมกันเป็นแถว ทหารคนแรกกดเบาๆ บนหน้าไม้ที่อยู่ด้านซ้าย ได้ยินเพียงเสียงสวบสาบดังขึ้นพร้อมกัน ธนูแหลมคมนับร้อยดอกถูกยิงออกจากหน้าไม้แถวนั้น พุ่งขึ้นไปกลางอากาศดุจสายพิรุณ พาให้ผู้พบเห็นปากอ้าตาค้างไปทันที
ผ่านไปไม่นาน ทหารที่อยู่ห่างออกไปหลายสิบจั้งก็ตะโกนออกมาด้วยความดีใจ “เข้าเป้าแล้ว! เข้าเป้าหมดเลย!”
ชั่วขณะนั้น เสียงโห่ร้องด้วยความดีใจพลันดังไปทั่วลานกว้าง ทุกคนล้วนตกตะลึงกับอานุภาพอันน่าทึ่งนี้
จากแถวหน้าไม้ไปจนถึงกำแพงที่ล้อมรอบขอบลานกว้าง มีเป้าธนูที่ถูกสร้างขึ้นเป็นพิเศษวางอยู่หนึ่งแถวในทุกสิบก้าว รวมทั้งหมดสิบแถว ไม่นานเป้าเหล่านั้นก็ถูกยกมาวางต่อหน้าทุกคน เป้าทุกอันถูกแทงทะลุจนถึงกำแพงหินด้านหลัง เห็นได้ชัดว่าอาวุธวิเศษมีอานุภาพน่าทึ่งเพียงใด ลองจินตนาการว่าหากอยู่ในสนามรบ ธนูหนึ่งดอกสามารถยิงทะลุร่างของทหารฝ่ายศัตรูได้ทีเดียวหลายคน แล้วหากใช้ธนูหมื่นดอก ผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร?
ซูหลีอุทานด้วยความตกตะลึง “อาวุธวิเศษเช่นนี้ โชคดีที่เป็นของท่านกับข้า มิเช่นนั้นไม่อยากจะคิดเลยว่าจะน่ากลัวเพียงใด”
ตงฟางเจ๋อหัวเราะเสียงก้องกังวาน ปรบมือแล้วกล่าวอย่างชื่นชม “ดี! สมแล้วที่เซี่ยอวิ๋นเซวียนเป็นอัจฉริยะแห่งครอบครัวนักประดิษฐ์อาวุธ!”
ทุกคนได้ยินก็ตกตะลึง ไม่รู้ว่าสองฮ่องเต้เสด็จมาตั้งแต่เมื่อใด ต่างรีบพากันคุกเข่าถวายบังคม
ซูหลีโบกมือ เหล่าทหารลุกขึ้นไปยืนเรียงแถวกันที่ด้านหนึ่ง ซูฉุนมีสีหน้าเบิกบานอย่างไม่อาจปกปิด เขาก้าวเข้ามาแล้วกล่าวว่า “ยินดีกับทั้งสองพระองค์ด้วย อาวุธวิเศษสร้างสำเร็จแล้ว ถึงแม้จะมีทหารล้านนายมาบุก ก็ไม่ต้องกลัวแล้วพ่ะย่ะค่ะ!”
ซูหลีเดินไปหาเซี่ยอวิ๋นเซวียน แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงใจ “ลำบากท่านแล้ว”
เซี่ยอวิ๋นเซวียนดวงตาเป็นประกายร้อนแรง ในใจตื่นเต้นสุดแสน แต่กลับจำต้องข่มกลั้นอย่างสุดชีวิต เขาเชิญให้ซูหลีเข้าไปพินิจดูอย่างละเอียดด้วยท่าทางนอบน้อม
หน้าไม้ที่ทำจากไม้ ดูเหมือนไม่มีอะไรพิเศษ แต่กลไกข้างในกลับสลับซับซ้อน ยากที่จะทำความเข้าใจ เทียบกับพิรุณโปรยปรายก่อนหน้านี้ อานุภาพของอาวุธใหม่เพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว ความเร็วในการยิงก็เพิ่มขึ้นถึงสิบเท่า น้ำหนักของตัวหน้าไม้กับธนูเหล็กก็เบามาก การประกอบกลไกอาวุธไม่ยุ่งยากซับซ้อน สามารถเปลี่ยนตำแหน่งได้ตามต้องการ การออกแบบที่ยอดเยี่ยมอย่างนี้ ซูหลีไร้ข้อตำหนิ เพียงแต่ครั้นนึกถึงเรื่องหนึ่ง นางก็อดขมวดคิ้วไม่ได้
………………………