กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - บทที่ 52 ความจริงเบื้องหลังยาคุมกำเนิด
หลินเทียนเจิ้งเห็นเทียบยา ก็รีบตรวจชีพจรให้เขา จากนั้นก็กล่าวด้วยสีหน้าตื่นตะลึง “พิษเย็นในร่างกายของฝ่าบาท…”
“กำจัดหมดแล้ว” ตงฟางเจ๋อบอกเล่าวิธีการถอนพิษเย็นที่ได้ยินมาจากเซิ่งฉินอย่างละเอียด
หลินเทียนเจิ้งฟังจบ ก็ครุ่นคิดครู่หนึ่ง มองดูเทียบยาด้วยสีหน้าหนักใจ “มีเพียงร่างกายเสียหายอย่างหนักจึงจะใช้เทียบยานี้ได้ คาดว่าเพื่อถอนพิษเย็นให้ฝ่าบาท ฮ่องเต้แคว้นติ้งคงสูญเสียกำลังภายในไปมาก จนทำให้บาดเจ็บภายใน”
ตงฟางเจ๋อได้ยินก็หน้าเปลี่ยนสี หลินเทียนเจิ้งกล่าวเสริมต่อว่า “ในนี้ยังมียาถอนพิษเย็นเพิ่มมาอีกสองชนิด…เป็นไปได้มากว่าระหว่างถอนพิษอาจเกิดอุบัติเหตุ ทำให้พิษเย็นที่ไหลเข้าสู่พระวรกายของฮ่องเต้แคว้นติ้งไม่อาจถูกกำจัดทิ้งได้หมด เจียงหยวนจึงได้ใช้ยาแรงเช่นนี้”
ยาที่มีฤทธิ์รุนแรงทุกชนิด ล้วนมีทั้งโทษและประโยชน์ หัวใจของตงฟางเจ๋อบีบรัด เขารีบถามต่อว่า “เป็นยาตัวใด? หากกินยาเหล่านั้นแล้วจะมีผลข้างเคียงใด?”
หลินเทียนเจิ้งชี้ไปที่ชื่อยาสองชนิด แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “ฤทธิ์ของยาสองตัวนี้รุนแรงมาก คนทั่วไปไม่กล้าใช้ส่งเดช ใช้ถูกวิธีก็สามารถช่วยชีวิตคนได้ หากใช้ผิดวิธีก็สามารถคร่าชีวิตได้เช่นกัน เจียงหยวนมีวิชาแพทย์สูงส่ง ย่อมสามารถใช้ให้ถูกวิธีได้อยู่แล้ว เพียงแต่ว่า…”
“เพียงแต่อะไร?”
“ยานี้สามารถช่วยให้ฟื้นคืนวรยุทธ์กลับไปเป็นเหมือนเดิมได้ในระยะเวลาสั้นๆ แต่ในสตรีเพศ ข้อห้ามที่สำคัญที่สุดระหว่างใช้ยานี้ ก็คือห้ามตั้งครรภ์เด็ดขาด! มิเช่นนั้น อาจทำให้แท้งบุตรได้ง่าย และถ้าอาการหนักก็จะทำให้ตั้งครรภ์ยากไปตลอดชีวิต ฉะนั้นในเทียบยานี้ จึงได้เพิ่มยาคุมกำเนิดเข้าไปด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้เอง! ตงฟางเจ๋อผงะถอยหลังไปสองก้าว ใช้มือค้ำขอบโต๊ะไว้ แล้วค่อยๆ นั่งลงบนเก้าอี้ เนิ่นนานก็ยังพูดอะไรไม่ออก เรื่องใหญ่ขนาดนี้ นางกลับปล่อยให้เขารู้หลังจากที่เขาค้นพบด้วยตนเอง สองเดือนกว่าที่ผ่านมา เขาทรมานนางทุกค่ำคืนจนถึงกลางดึก แต่นางก็ไม่เคยปฏิเสธ ย้อนนึกถึงเมื่อคืนที่นางยอมก้มหัวขอคืนดีก่อน หัวใจของเขาก็ร้อนรุ่มราวกับมีไฟแผดเผาอยู่ในอก เขานั่งไม่ติดอีกต่อไป รีบมุ่งหน้าไปยังตำหนักซีหวาทันที
เขาจะไปพบนาง ไม่อาจรอช้าได้แม้แต่วินาทีเดียว
หลังจากสะสางราชกิจเสร็จ ซูหลีกำลังยืนชมดอกไม้อยู่ใต้ทางเดิน ปีนี้อากาศอบอุ่นช้ากว่าทุกปี กระทั่งเข้าเดือนห้า ดอกอ่ายถังจึงค่อยเบ่งบาน ดอกไม้สีแดงสดเบ่งบานทั่วบริเวณหน้าทางเดิน ยิ่งเมื่อตัดกับใบไม้สีเขียวชอุ่มในสวน ยิ่งขับเน้นให้ดูโดดเด่นสะดุดตา
ตงฟางเจ๋อยืนมองนางเงียบๆ ครู่หนึ่ง แล้วจึงค่อยก้าวเข้าไปช้าๆ มือข้างหนึ่งกอดนางจากข้างหลัง มืออีกข้างเอื้อมไปจับข้อมือนาง แทบสัมผัสไม่ได้ถึงกำลังภายในเลยแม้แต่น้อย เห็นได้ชัดว่าร่างกายเสียหายหนักเพียงใด แม้แต่ยาแรงก็ยังไม่อาจรักษาให้กลับไปเป็นปกติได้
ตงฟางเจ๋อปวดใจ กอดนางแน่นๆ ถอนหายใจแล้วกล่าวว่า “เจ้าควรจะบอกข้าแต่แรก”
ซูหลีกอดแขนเขาเบาๆ แย้มยิ้มเล็กน้อยแล้วกล่าวว่า “ข้าไม่เคยคิดอยากจะปิดบังท่าน เพียงแต่ตอนนั้นที่คิดจะบอก ก็ถูกขัดจังหวะเสียก่อน” นางค่อยๆ หมุนตัวกลับมา เห็นคิ้วเข้มขมวดเข้าหากัน สายตาเต็มไปด้วยความเป็นห่วง และตำหนิตนเองหลายส่วน
ซูหลีอดยิ้มไม่ได้ “ท่านวางใจเถิด เจียงหยวนตรวจอาการดูแล้ว บอกว่าข้าไม่เป็นอะไรแล้ว ต่อไปก็ไม่จำเป็นต้องกินยาอีก”
ตงฟางเจ๋อวางใจ แต่ไม่นานก็เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงลังเล “วรยุทธ์ของเจ้า…”
ซูหลียิ้มแล้วยกมือโอบรอบคอชายคนรักของนาง “มีท่านอยู่ ข้าจะต้องการวรยุทธ์ไปทำไมกัน?!”
รอยยิ้มงดงามสดใสดุจแสงแดดในฤดูใบไม้ผลิ สายตาของนางสะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อใจอย่างไร้เงื่อนไข
ที่แท้สิ่งที่เขาต้องการมาโดยตลอด เขากลับได้รับมันมาตั้งนานแล้ว! ซูซูของเขา เขาจะไม่ตกหลุมรักนางซ้ำแล้วซ้ำเล่าได้อย่างไรกัน เขาข่มกลั้นอารมณ์อันพลุ่งพล่านในใจ แล้วก้มหน้าประทับจูบบนกลีบปากแดงอิ่ม จากนั้นก็รั้งนางเข้ามากอดเบาๆ
ภายใต้ทางเดินอันเลี้ยวลด คู่รักตระกองกอด ช่างเป็นช่วงเวลาที่งดงามและสงบสุข
ซูหลีหลับตา ดื่มด่ำไปกับช่วงเวลาอันอบอุ่นนี้โดยไม่คิดถึงสิ่งอื่นใดอีก กลิ่นหอมจางๆ ของดอกไม้ และกลิ่นกายหอมสะอาดอันเป็นเอกลักษณ์ของเขา ล้วนทำให้หัวใจนางรู้สึกสงบได้อย่างไม่มีอะไรมาเทียบได้อีกแล้ว ชีวิตนี้ มีเขาอยู่เคียงข้าง แม้ลำบากอีกเพียงใด นางก็ไม่มีวันเสียใจ
“ซูซู” ผ่านไปเนิ่นนาน เขาก็ดึงมือนางให้นั่งลง แล้วกล่าวกับนางด้วยสีหน้าจริงจัง “มีเรื่องหนึ่ง ที่ข้าอยากจะหารือกับเจ้า”
ซูหลีถามด้วยรอยยิ้ม “เรื่องใดหรือ?”
ตงฟางเจ๋อเอ่ยด้วยเสียงแช่มช้า “หยวนเซี่ยงบาดเจ็บสาหัส ต้องใช้เวลาในการรักษาตัว ยามนี้ในกองทัพไร้ผู้นำ เช้านี้เซ่อเจิ้งอ๋องถวายฎีกา ขอกำลังทหารเพื่อออกเดินทางไปสมทบ”
เสด็จพ่อ?! ซูหลีตกตะลึง “ท่านคิดจะทำอย่างไร?”
ตงฟางเจ๋อยิ้ม แล้วมองหน้านางด้วยสายตาอ่อนโยน “ข้าอยากฟังความเห็นของเจ้า”
ซูหลีขมวดคิ้วแล้วกล่าวว่า “เสด็จพ่ออายุมากแล้ว ร่างกายไม่ค่อยแข็งแรง เกรงว่าจะสู้รบไม่ไหวแล้ว”
ตงฟางเจ๋อพยักหน้าอย่างเห็นด้วย “ข้าเองก็คิดเช่นนี้ ฉะนั้น…ข้าจึงตั้งใจจะไปด้วยตนเอง”
“ท่านจะยกทัพไปด้วยตนเองหรือ?!” ซูหลียิ่งตกตะลึง ลึกๆ ข้างในเริ่มกังวลขึ้นมา ไม่ใช่ว่านางไม่เชื่อในความสามารถของเขา แต่การไปของเขาในครั้งนี้ เกรงว่าจะไม่ใช่เพียงตีทัพเปี้ยนให้แตกพ่าย หากเขานำทัพบุกประชิดเมืองหลวงแคว้นเปี้ยน ภายหน้าหากหยางเซียวกลับมา จะจัดการอย่างไรเล่า?
ตงฟางเจ๋อรู้ทันความคิดนาง ทำได้เพียงหัวเราะอย่างจนใจ “เจ้าวางใจเถิด ข้าไปครั้งนี้ เพียงเพื่อต้องการบีบให้จั้นอู๋จี๋ปรากฏตัวเท่านั้น”
ซูหลีจึงค่อยยิ้มได้ นางยกนิ้วมือเรียวลูบคิ้วของเขา แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “เช่นนั้นข้าจะรอฟังข่าวดีจากท่าน”
ยังไม่ถึงครึ่งเดือน เซี่ยอวิ๋นเซวียนก็ได้ประกอบรถม้าศึกทั้งหมดเสร็จสิ้นแล้ว ซูหลีดีใจอย่างยิ่ง รีบส่งเสิ่นเจี้ยนอันนำกองทัพยอดทหารสามพันนายมุ่งหน้าไปต้านศึกกับชนเผ่าหมาป่าที่ด่านฉีอวี้ ในวันเดียวกัน ตงฟางเจ๋อก็นำทัพออกเดินทางไปรบด้วยตนเอง
ยามซูหลีไปถึงนอกประตูเมือง เขานั่งผึ่งผายอยู่บนหลังม้าอูจุย สวมชุดเกราะสีทองอร่าม ท่าทางสง่าผ่าเผย กองทัพทหารเบื้องหลังยืนเรียงแถวกันอย่างมีระเบียบ บรรยากาศน่าเกรงขาม
ตงฟางเจ๋อเห็นนาง ก็รีบลงจากม้ามาต้อนรับ สายตาเย็นชาแปรเปลี่ยนเป็นอ่อนโยน “เจ้าไปส่งกองทัพของเสิ่นเจี้ยนอัน นึกว่าจะไม่มาส่งข้าเสียแล้ว”
ซูหลียิ้มอย่างอบอุ่น “ท่านนำทัพด้วยตนเอง ข้าจะไม่มาได้อย่างไร? สิ่งนี้…ให้ท่าน” เอ่ยจบ นางก็ยัดของบางอย่างใส่มือเขา
เขาหมายจะดู แต่นางกลับห้ามไว้ก่อน ท่าทางเขินอายเล็กน้อย นางเอ่ยเสียงเบาว่า “ข้าไปแล้วท่านค่อยดู”
นัยน์ตาของเขาไหวระริกเล็กน้อย เขายิ้มแล้วตอบเสียงอ่อนโยนว่า “ก็ได้”
ได้เวลาเคลื่อนพลแล้ว ซูหลีไม่กล้ารั้งรอ รีบกระโดดขึ้นหลังม้า ทำท่าจะจากไปแต่ก็อดหันกลับมามองเขาไม่ได้ สายตาอ่อนโยนเต็มไปด้วยความรู้สึกลึกซึ้งมากมาย อาลัยอาวรณ์ไม่อยากแยกจาก แต่สุดท้ายกลับหลอมรวมกันจนเหลือเพียงประโยคเดียว “ในสนามรบเต็มไปด้วยอันตราย ท่านต้องรักษาตัวให้ดี ข้าจะรอท่านกลับมา!”
ตงฟางเจ๋อมองหน้านางนิ่งๆ นัยน์ตาดำขลับเปล่งประกายเจิดจรัส “วางใจเถิด ข้าจะกลับมาอย่างปลอดภัย และตัดหัวจั้นอู๋จี๋เซ่นไหว้ดวงวิญาณของเสด็จพ่อและเสด็จพี่ของเจ้า!”
ซูหลีพยักหน้าเบาๆ นางดึงบังเหียนม้า จากนั้นก็หมุนกายมุ่งหน้ากลับประตูเมือง
เงาร่างอรชรหายลับเข้าไปในประตูเมืองอย่างรวดเร็ว เขาจึงค่อยแบฝ่ามือออกดู เมื่อเห็นสิ่งที่อยู่กลางฝ่ามือ เขาก็อดยิ้มไม่ได้ มันคือถุงเงินขนาดเล็ก ที่ปักตัวอักษรสองตัวเป็นคำว่า ‘ปลอดภัย’ ไว้ด้วยฝีเข็มหยาบๆ แต่กลับเป็นคำอวยพรที่มาจากก้นบึ้งหัวใจของนางที่มอบให้แก่สวามีที่กำลังจะออกเดินทางไกล
มิน่าเล่าหลายวันมานี้พอเขาไปตำหนักซีหวาเมื่อใด นางมักจะลนลานเก็บซ่อนของ คาดว่าคงกำลังรีบเย็บถุงเงินใบนี้ให้เขา
ตงฟางเจ๋อลูบถุงเงินเบาๆ หัวใจอบอวลไปด้วยความรัก จากนั้นก็เก็บใส่อกเสื้ออย่างดี
“ฝ่าบาท!” เซิ่งฉินขี่ม้าเข้ามารายงาน “ได้เวลาแล้วพ่ะย่ะค่ะ!”
ตงฟางเจ๋อทำหน้าเคร่งขรึม ยกมือออกคำสั่ง กองทัพขนาดใหญ่ที่มองไม่เห็นปลายแถวยกหอกยาวกระแทกพื้น ส่งเสียงพร้อมกัน บรรยากาศน่ากริ่งเกรง
ตงฟางเจ๋อบังคับม้า หมายจะออกเดินทาง แต่จู่ๆ ก็ดึงบังเหียนม้าให้หยุด แล้วหันไปกลับไปมองข้างหลังอย่างไม่รู้สาเหตุ บนกำแพงเมืองสูงตระหง่าน เห็นเงาร่างอันคุ้นเคยและตราตรึงกำลังมองส่งเขาออกเดินทางเงียบๆ ดังคาด
ตงฟางเจ๋ออดยิ้มกว้างไม่ได้ ไม่นานเขาก็บังคับม้าให้ออกวิ่ง ม้าอูจุยที่มีชื่อเสียงเรื่องการเดินทางไกลพันลี้สับฝีเท้าทั้งสี่ข้างอย่างรวดเร็ว นำสุดยอดกองทัพของแคว้นเฉิงมุ่งหน้าสู่ชายแดน
หลังจากนั้น ข่าวดีก็ถูกส่งกลับมาอย่างต่อเนื่อง
หลังจากที่เสิ่นเจี้ยนอันทำทัพทหารหนึ่งแสนนายไปถึงด่านฉีอวี้ ไม่ถึงครึ่งเดือน ก็สามารถปราบปรามกองทัพทหารสองแสนนายของชนเผ่าหมาป่าจนราบคาบ ท่ามกลางพิรุณโปรยปรายที่ถูกยิงอย่างไม่ขาดสาย ราชาของชนเผ่าหมาป่าตกจากหลังม้าหลายครั้ง สุดท้ายถูกธนูเหล็กปักขาทั้งสองข้าง จึงพิการนับจากนั้น
สงครามครั้งนี้ แคว้นติ้งได้รับชัยชนะ ชนเผ่าหมาป่าถูกกวาดล้างจนแทบสูญสิ้น
ด้านหลังที่ตั้งของชนเผ่าหมาป่าติดทะเลทราย กว้างขวางแต่กลับแร้นแค้น ยากต่อการดูแล ซูหลีจึงไม่คิดจะครอบครอง สั่งคนให้ตักเตือนราชาชนเผ่าหมาป่าที่ถูกจับเป็นมา จากนั้นก็ปล่อยตัวกลับไป
จากนี้ไปอีกหลายสิบปี คนในชนเผ่าหมาป่า เมื่อใดที่ได้ยินกิตติศัพท์ของกองทัพแคว้นติ้งก็อกสั่นขวัญหาย ไม่กล้าคิดรุกรานเข้ามาอีก
เช้าตรู่ของวันนี้ ซูหลีนั่งหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง ได้ยินเสียงโม่เซียงรายงานด้วยด้วยความตื่นเต้นดังเข้ามา “ฝ่าบาท! ฮ่องเต้แคว้นเฉิงส่งจดหมายมาเพคะ!”
…………………………