กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - บทที่ 54 ไปหาหลางฉ่าง
ในจดหมายเขียนถึงวิธีการที่จะใช้ฮั่วเสี่ยวหมานล่อนางออกจากวังหลวง
ฉินเหิงกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “นับตั้งแต่ฮ่องเต้แคว้นเฉิงโจมตีแคว้นเปี้ยน จั้นอู๋จี๋ก็ไร้ที่ซ่อนตัว จึงแฝงตัวเข้ามาในแคว้นติ้งของเรา และพยายามจะหนีออกจากด่านชายแดนของเราเพื่อมุ่งหน้าไปยังทะเลทรายทิศตะวันตก เหอะ เขาต้องนึกไม่ถึงแน่นอนว่าชายแดนแคว้นติ้งเราตรวจสอบคนเข้าออกเข้มงวดกว่าอีกสองแคว้นที่เหลือ เขาไร้หนทางหนี เป็นสุนัขจนตรอก คิดจะฉวยโอกาสตอนที่ฝ่าบาททรงเคลื่อนไหวลำบาก วางเดิมพันครั้งสุดท้าย!”
ซูหลีแสยะยิ้มเย็นชา “เป็นเช่นนี้ก็ดีเหมือนกัน ข้าจะได้ประหยัดแรง”
สายตาของฉินเหิงไหวระริกเล็กน้อย ขมวดคิ้วแล้วกล่าวว่า “ฝ่าบาททรงคิดจะ…”
“หนามยอกเอาหนามบ่ง”
บนผืนฟ้ามืดมนพยับเมฆเคลื่อนตัวด้วยความเร็ว ลมฝนตั้งเค้า นางเงยหน้าอย่างใจเย็น ดวงตางดงามสะท้อนแววเย็นชาจนน่ากลัว จั้นอู๋จี๋คิดจะจับตัวนาง ก็ดี นางจะแล่นเรือตามน้ำ ทำตามแผนของเขา สุดท้ายก็หว่านแหจับผู้ร้ายชาวแคว้นหวั่นที่เหลือรอดให้ได้ในคราวเดียว
ครั้งนี้ นางจะไม่ปล่อยคนผู้นี้ไปอีกเด็ดขาด!
ฉินเหิงเห็นสายตาหนักแน่นของนาง ก็ได้แต่เกลี้ยกล่อมด้วยสีหน้าสับสน “ฝ่าบาททรงเคลื่อนไหวลำบาก ไม่ควรเอาตนเองไปเสี่ยงอันตราย เรื่องนี้ปล่อยให้เป็นหน้าที่กระหม่อมเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
ซูหลียิ้มแล้วกล่าวว่า “เจ้าวางใจเถิด ข้าไม่เอาชีวิตตนเองไปล้อเล่นหรอก”
ฉินเหิงเห็นนางตัดสินใจเด็ดเดี่ยวแล้ว จึงอับจนหนทาง ทำได้เพียงเดินเข้ามาแล้วคุกเข่า “ในเมื่อฝ่าบาททรงตัดสินพระทัยแล้ว โปรดทรงอนุญาตให้กระหม่อมติดตามไปด้วย เผื่อเหตุฉุกเฉิน มิเช่นนั้นหากเกิดอะไรขึ้นกับฝ่าบาท กระหม่อมแม้ตายหมื่นครั้งก็ยังชดใช้ความผิดไม่หมดเป็นแน่!”
ซูหลีเห็นสีหน้ากังวล และสายตาอ้อนวอนของเขา จึงรับปากทันที นางยัดจดหมายกลับเข้าไปในลูกเต๋า จากนั้นก็สั่งให้คนนำกลับไปส่งให้เสี่ยวจินจื่ออย่างแนบเนียน
เช้าวันต่อมา ฮั่วเสี่ยวหมานเดินทางกลับจากเมืองหลวงเก่าดังคาด
ไม่เจอกันหลายวัน นางดูผ่ายผอมลงไปมาก ครั้นเห็นท้องที่โตขึ้นของซูหลี ในสายตาเต็มไปด้วยอารมณ์อันสับสนและพลุ่งพล่าน นางยิ้มจืดเจื่อน แล้วพึมพำเสียงเบาว่า “ในที่สุดเจ้าก็ตั้งท้องลูกของเขา…”
ซูหลียกมือกุมท้องโดยสัญชาตญาณ มองหน้านางด้วยสายตาหวาดระแวง ฮั่วเสี่ยวหมานพยายามสะกดกลั้นอารมณ์ ทว่ายังคงมีประกายเคียดแค้นพาดผ่านไปอย่างรวดเร็ว ซูหลีแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น ยังคงถามด้วยน้ำเสียงเป็นปกติ “ท่านกลับมาเหตุใดจึงไม่แจ้งกันสักหน่อย?”
ฮั่วเสี่ยวหมานละสายตาออกไป นางเดินไปนั่งบนเก้าอี้ที่วางอยู่ด้านหนึ่ง แล้วยิ้มอย่างโศกเศร้า “ข้าไม่อยากอยู่ที่นั่นคนเดียว เหงาเกินไป ฉางเล่อ พักนี้เจ้าฝันเห็นพี่ชายฉ่างบ้างหรือไม่?”
ซูหลีไม่พูดอะไร ขณะเดียวกันนางกำนัลนำน้ำชามาถวาย
ฮั่วเสี่ยวหมานมองไอร้อนของน้ำชาที่ลอยกรุ่นกลางอากาศ สีหน้าพลันเหม่อลอยไปชั่วขณะ นางกล่าวด้วยน้ำเสียงเศร้าสลดว่า “เมื่อคืนข้าฝันเห็นพี่ชายฉ่าง เขายืนอยู่หน้าประตูห้องที่ถูกระเบิดในตอนนั้น…อากาศหนาวถึงเพียงนั้น แต่เขาก็สวมแค่เสื้อบางๆ ตัวเดียว…ข้าเดินไปหาเขา เขาไม่สนใจข้า เขาโกรธข้า! เขาตำหนิข้าที่ไม่ส่งเสื้อผ้าไปให้เขา ตำหนิข้าที่ไม่เคยไปเยี่ยมเขาที่นั่นนานแล้ว…” น้ำเสียงของนางดังขึ้นทุกที และถี่กระชั้นขึ้นเรื่อยๆ ครั้นเอ่ยถึงประโยคสุดท้าย นางก็กระชากมือซูหลี แล้วร้องไห้เสียงดัง ราวกับเกิดเรื่องอย่างนั้นขึ้นจริงๆ
ซูหลีจับมือนางแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงใจเย็น “ท่านอยู่ข้างเขาที่สุสานราชวงศ์ตลอดมิใช่หรือ?”
ฮั่วเสี่ยวหมานเงยหน้าอย่างร้อนรน นางตะโกนเสียงดัง “เขาไม่อยู่ที่สุสานราชวงศ์! เขาอยู่ที่เมืองหลินซี!”
“ท่านว่าอย่างไรนะ?” ซูหลีถามด้วยสีหน้าเรียบเฉย
ฮั่วเสี่ยวหมานลุกขึ้น แล้วสาวเท้าไปข้างหน้า ราวกับมีมือที่มองไม่เห็นกำลังจูงมือนางไปที่ประตู นางยืนพิงขอบประตู แล้วมองไปยังทิศที่ตั้งของเมืองหลินซี กล่าวด้วยน้ำเสียงเจ็บปวดเจียนตาย “พี่ชายฉ่างถูกคนลอบสังหารที่โรงเตี๊ยมหงหลงในเมืองหลินซี หลายวันมานี้ข้าฝันเห็นเขาอยู่ที่นั่นตลอด! เขาบอกว่าวันนั้นร่างของเขาระเบิดจนแหลกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ชิ้นส่วนกระดูกไม่อาจถูกเก็บไปได้หมด เขาจึงไปไหนไม่ได้! เขาอยากให้ข้าไปเยี่ยมเขาที่นั่น บางทีหากข้าไป ก็อาจพาเขากลับมาได้…ฉางเล่อ!”
จู่ๆ นางก็หันกลับมา แล้วมองหน้าซูหลีด้วยสายตาอ้อนวอน “วันนั้นเจ้าก็อยู่ด้วย เจ้ารู้ดีที่สุดว่าเหตุการณ์ในวันนั้นโหดร้ายเพียงใด เจ้าพาข้าไปได้หรือไม่? ยามเขายังมีชีวิตอยู่ เขารักและหวงแหนเจ้ามากที่สุดแล้ว!”
จำต้องบอกว่านี่เป็นเหตุผลที่ดีที่สุดแล้ว หลอกใช้ความรู้สึกของนาง เพื่อทำให้นางปฏิเสธไม่ลง
ซูหลีหลุบตาเล็กน้อย แล้วเอ่ยว่า “ท่านอยากออกเดินทางเมื่อใด?”
“ตอนนี้! ข้าไม่อาจทนรอได้แม้แต่วินาทีเดียวแล้ว!” ฮั่วเสี่ยวหมานคล้ายไม่อาจควบคุมความร้อนรนในใจได้
ซูหลีเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วถอนหายใจอย่างไร้เรี่ยวแรง นางกำชับให้โม่เซียงเตรียมรถม้า
ผ่านไปไม่นาน รถม้าเตรียมพร้อม ฮั่วเสี่ยวหมานมองกลุ่มองครักษ์ที่รายล้อมรอบรถ สายตาไหวระริก พลันกล่าวด้วยน้ำเสียงโกรธเกรี้ยว “เจ้าพาคนไปมากมายขนาดนี้ จะเป็นการรบกวนพี่ชายฉ่าง หากเจ้าไม่อยากไปก็ไม่ต้องไป” เอ่ยจบนางก็เดินตรงขึ้นรถด้วยท่าทางบึ้งตึง
ซูหลีจ้องมองม่านรถที่ถูกปลดลง ประกายเย็นชาพาดผ่านดวงตา นางโบกมือ เหล่าองครักษ์ถอยห่างทันที เหลือเพียงเจียงหยวนและฉินเหิงที่ติดตามนางไปในฐานะองครักษ์ประจำตัว
เมืองหลินซีตั้งอยู่ทางทิศใต้ของเมืองหลวงแห่งใหม่ ระยะทางห่างจากเมืองหลวงใหม่เพียงไม่กี่สิบลี้เท่านั้น รถม้าวิ่งด้วยความเร็วไม่เกินสองชั่วยามก็ถึงแล้ว
ซูหลียืนอยู่หน้าโรงเตี๊ยมที่เคยผ่านการระเบิดมาก่อน ภาพที่ร่างของหลางฉ่างระเบิดผุดขึ้นมาในสมองอีกครั้ง ความเจ็บปวดจู่โจมและกัดกินหัวใจนางจนแทบไม่เหลือ
ฮั่วเสี่ยวหมานลงจากรถ แล้วชะเง้อมองทั่วทิศ ซูหลีแสร้งถาม “พี่สะใภ้กำลังมองหาสิ่งใดหรือ?”
สายตาของฮั่วเสี่ยวหมานไหวระริก นางฝืนยิ้ม “ข้า…ข้ากำลังตามหาพี่ชายฉ่าง อา ตอนนี้เป็นตอนกลางวัน เขาจะต้องอยู่ในห้องแน่!” เอ่ยจบ นางก็พุ่งตัวเข้าไปในห้องทันที
โรงเตี๊ยมแห่งนี้เคยเป็นเรือนล้อมมังกร หลังระเบิด ซูหลีก็สั่งให้ตามหาเจ้าของ แล้วสอบถามรายละเอียด จึงรู้ว่าก่อนหน้านั้นมีคนลงทุนเช่าโรงเตี๊ยมด้วยเงินก้อนโต ส่วนเช่าไปทำอะไรนั้น เจ้าของโรงเตี๊ยมเองก็ไม่ทราบเช่นกัน
ครั้นทราบเรื่องว่าองค์รัชทายาทถูกลอบสังหารในโรงเตี๊ยม เจ้าของก็สำนึกเสียใจ ยินยอมรับโทษด้วยตนเอง ซูหลีตรวจสอบดูแล้วว่าเขาไม่มีความผิด จึงปล่อยเขาไป เจ้าของซาบซึ้งในพระคุณ จึงออกเงินปรับปรุงเรือนล้อมมังกร และสร้างรูปปั้นทองสัมฤทธิ์ของหลางฉ่างไว้ข้างใน เพื่อกราบไหว้บูชา
เครื่องเซ่นไหว้หน้ารูปปั้นมีมาไม่เคยขาด ในห้องสะอาดสะอ้าน เห็นได้ชัดว่ามีคนมากราบไหว้และทำความสะอาดอยู่บ่อยๆ
ฮั่วเสี่ยวหมานมองเห็นรูปปั้นของหลางฉ่าง ก็รีบวิ่งเข้าไปหาทันที นางร่ำไห้น้ำตานองหน้า สะอึกสะอื้นจนไม่อาจควบคุมตนเอง ขันทีที่ติดตามนางมาเดินเข้าไปปลอบใจนาง “ฮั่วฮองเฮาโปรดทรงระงับความเศร้า อย่างไรทรงจุดธูปบูชาฮ่องเต้เหรินเต๋อก่อนเถิดพ่ะย่ะค่ะ” เขายื่นธูปให้นาง และส่งสัญญาณผ่านสายตา
สายตาของซูหลีพลันเย็นชา ขันทีผู้นี้ก็คือเสี่ยวจินจื่อจากห้องยานั่นเอง
ฮั่วเสี่ยวหมานชำเลืองมองไปที่ประตูอย่างมีพิรุธ ซูหลียืนอยู่ข้างประตู มองดูรูปปั้น สายตาโศกเศร้าสุดบรรยาย ฉินเหิงและเจียงหยวนยืนคุ้มกันนางซ้ายขวา
ฮั่วเสี่ยวหมานลังเลเล็กน้อย นางกลอกตามองไปที่ท้องของซูหลีที่โตขึ้นมาก สายตาพลันแปรเปลี่ยนเป็นเคียดแค้น
ฮั่วเสี่ยวหมานรับธูปไปจุด จากนั้นก็ขานเรียกนาง “เจ้าไม่มาไหว้หน่อยหรือ?”
ซูหลีเดินเข้ามาในห้อง แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “การระลึกถึงคนผู้หนึ่งนั้นอยู่ที่ใจ มิใช่พิธีการเหล่านี้”
ฮั่วเสี่ยวหมานกล่าวหยัน “พูดจาน่าฟัง แต่ข้าว่าเจ้าตั้งท้องลูกของตงฟางเจ๋ออยู่ จึงไม่กล้ามาเซ่นไหว้พี่ชายฉ่างมากกว่ากระมัง” นางจุดธูป แล้วยื่นให้ซูหลี
กลิ่นหอมประหลาดที่เบาบางจนแทบแยกไม่ออกลอยโชยเข้าจมูก ซูหลีแสร้งทำเป็นไม่ได้กลิ่น เพียงกล่าวด้วยน้ำเสียงใจเย็นว่า “หลายปีมานี้ท่านเกลียดชังข้า และตั้งตนเป็นปฏิปักษ์กับข้าสารพัด ข้าไม่เคยตำหนิท่าน ข้ารู้ว่าท่านรักมั่นในตัวเสด็จพี่ กระทั่งตอนนี้ก็ยังไม่อาจทำใจเรื่องที่เขาจากไปแล้ว วันนี้ข้าตามท่านมา ไม่ได้จะมาโต้เถียงกับท่าน แต่อยากให้ท่านรู้ความจริงและรู้ว่าอะไรถูกอะไรผิด”
ฮั่วเสี่ยวหมานหันหน้าหนี ไม่พูดอะไร
ซูหลีถอนหายใจ แล้วกล่าวว่า “ไม่ว่าท่านจะยอมรับหรือไม่ แต่บนโลกใบนี้ ท่านกับข้า คือครอบครัวที่ใกล้ชิดกันที่สุดแล้ว! ข้าไม่มีวันทำร้ายท่าน เพียงแต่หวังว่าหลังจากกระทำเรื่องนี้แล้ว ท่านจะกล้าเผชิญหน้ากับความจริง ปล่อยวางความแค้น แล้วเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่เป็นของตนเองเสีย”
ฮั่วเสี่ยวหมานก้มหน้า คำว่าครอบครัวที่ใกล้ชิดกันที่สุด ทำให้เกิดระลอกคลื่นในหัวใจที่อ้างว้างเดียวดายของนาง แววสั่นคลอนเริ่มปรากฏในดวงตานาง
……………………