กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - บทที่ 55 ใช้ตัวเป็นเหยื่อล่อ
ซูหลีรับธูปไปจากมือนาง เดินไปตรงหน้ารูปปั้น รอยยิ้มของหลางฉ่างผุดขึ้นมาในสมอง นัยน์ตางามพลันรื้นไปด้วยน้ำใสๆ
“เสด็จพี่ หม่อมฉันมาเยี่ยมแล้วเพคะ” ซูหลีฉีกยิ้มเล็กน้อย สายตาค่อยๆ พร่ามัว “เวลาผ่านไปไวมาก พริบตาเดียว เสด็จพี่ก็จากหม่อมฉันไปสี่ปีเต็มแล้ว! ในสี่ปีที่ผ่านมา มีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมาย ชนเผ่าหมาป่าบุกรุกเข้ามาสองครั้ง สร้างความเสียหายมากมายให้แก่บ้านเมืองของเรา แต่เสด็จพี่วางพระทัยเถิด หม่อมฉันไล่พวกเขาออกไปแล้ว…”
นางพูดกับตนเองไม่หยุด ทำให้ฮั่วเสี่ยวหมานประหลาดใจ ราวกับว่าหลางฉ่างไม่ได้จากไปไหนไกล ซูหลียังคงบอกเล่าสารทุกข์สุขดิบกับเขาเช่นในอดีต ไม่เปลี่ยนแปลง
ฮั่วเสี่ยวหมานพลันตะลึงงัน จู่ๆ นางก็รู้สึกว่าในหัวใจของซูหลี หลางฉ่างไม่เคยจากไปไหน เขายังคงมีชีวิตอยู่ในใจนางเสมอมา เหมือนดวงประทีปที่ส่องสว่างนำทางนางในยามราตรี
ซูหลีกล่าวต่อว่า “เพื่อสานต่อปณิธานของเสด็จพี่ หม่อมฉันทุ่มเทสุดความสามารถเสมอมา เพื่อปกป้องบ้านเมือง และพี่สะใภ้…ขอดวงวิญญาณของเสด็จพี่บนสรวงสวรรค์ โปรดคุ้มครองหม่อมฉันด้วย” เอ่ยจบ นางก็ค้อมกายคำนับอย่างยากลำบาก นางเดินเข้าไปหมายจะปักธูปลงในกระถาง แต่ฮั่วเสี่ยวหมานกลับแย่งไปเสียก่อน
สายตาของฮั่วเสี่ยวหมานดูสับสน ราวกับลึกๆ ในใจกำลังขัดแย้งกันอย่างหนัก นางขว้างธูปในมือทิ้ง แล้วดึงมือซูหลีวิ่งไปที่ประตูทันที
“พี่สะใภ้ ท่านจะทำอะไร?” ซูหลีรั้งมือนาง แล้วถาม
ฮั่วเสี่ยวหมานเบิกตากว้าง แล้วร้องบอกด้วยความร้อนใจ “หนีไปเร็ว! ที่นี่อันตราย!” เพิ่งจะสิ้นประโยค ซูหลีก็หน้าเปลี่ยนสีไปทันที เจียงหยวนกับฉินเหิงที่อยู่หน้าประตูพากันล้มลง
ฮั่วเสี่ยวหมานรู้ว่ากลิ่นยาในธูปเริ่มออกฤทธิ์แล้ว จึงรีบประคองซูหลีให้เดินออกจากห้องโดยเร็ว ยังไม่ทันไปถึงประตู เสี่ยวจินจื่อก็พุ่งเข้ามาขวางทาง
“ฮั่วฮองเฮาจะเสด็จไปไหนพ่ะย่ะค่ะ?” ชายที่ยามปกติดูอ่อนน้อมถ่อมตน ยามนี้กลับแสยะยิ้มถามฮั่วเสี่ยวหมาน ฮั่วเสี่ยวหมานรู้สึกเสียวสันหลังวาบ
นางรีบออกคำสั่ง “หลีกไป ข้าจะกลับวัง!” นางตวาด พลางประคองซูหลีที่เริ่มสติเลือนรางเดินเบียดเสี่ยวจินจื่อออกไป
เสี่ยวจินจื่อเองก็ไม่ได้ขัดขวาง เพียงกล่าวด้วยน้ำเสียงดูแคลน “ท่านคิดว่าออกจากวังมาแล้ว ท่านยังเป็นฮั่วฮองเฮาผู้สูงส่ง ที่ผู้คนต้องฟังคำสั่งอยู่อีกหรือ?” เขาแค่นหัวเราะ แล้วโบกมือส่งสัญญาณไปยังนอกประตู ชายชุดดำหลายสิบคนพลันพุ่งตัวออกมาจากทิศตะวันตกและทิศตะวันออกของเรือนมังกรล้อม ล้อมฮั่วเสี่ยวหมานกับซูหลีไว้ตรงกลางอย่างแน่นหนา
ฮั่วเสี่ยวหมานนึกไม่ถึงว่าจะเกิดเรื่องอย่างนี้ขึ้น นางตกใจจนหัวใจแทบกระดอนออกมา แต่ถึงอย่างไรนางก็เป็นบุตรีแห่งจวนโหว เคยผ่านสถานการณ์มามากมายนับไม่ถ้วน นางรีบตั้งสติ แล้วหันไปกล่าวกับเสี่ยวจินจื่อด้วยรอยยิ้ม “เจ้าปล่อยพวกข้าไป ไม่ว่าจะแก้วแหวนเงินทอง หรือตำแหน่งยศถาบรรดาศักดิ์ ขอเพียงเจ้าเอ่ยปาก ข้าก็พร้อมจะจัดการให้เจ้า!”
“เจ้าน่ะหรือจะจัดการได้? เจ้าจะเอาปัญญาที่ไหนมาจัดการได้?” เสียงหัวเราะเย้ยหยันดังมาจากข้างหลังฝูงคน ฟังดูเหี้ยมเกรียมจนพาให้อกสั่นขวัญหาย
ครั้นได้ยินเสียงนี้ หัวใจของซูหลีเต้นแรง นางไม่มีวันลืมเสียงนี้เด็ดขาด เป็นเขา จั้นอู๋จี๋! ในที่สุดเขาก็ปรากฏตัวแล้ว!
ฮั่วเสี่ยวหมานหันไปมองด้วยความตกตะลึง เห็นเพียงชายรูปร่างสูงใหญ่เดินฝ่าฝูงชนออกมา อายุไม่ถึงสามสิบปี ทั่วร่างเต็มไปด้วยรังสีอำมหิตที่เกิดจากการคลุกคลีในสนามรบอันนองเลือดมานับครั้งไม่ถ้วน พาให้ผู้พบเห็นกริ่งเกรง
ใบหน้าของเขาเย็นชาดุจน้ำแข็ง เครื่องหน้าทั้งห้าดูแข็งกร้าว ในดวงตาราวกับมีใบมีดซ่อนอยู่ เพียงชำเลืองมองมาเล็กน้อย ฮั่วเสี่ยวหมานก็ตัวสั่นอย่างไม่อาจควบคุม เห็นเพียงเขาหันไปจับจ้องซูหลีที่นางโอบพยุงไว้ เหมือนหมาป่าดุดันตัวหนึ่ง ที่จับเหยื่อที่รอคอยมาแสนนานได้ในที่สุด สายตาโหดเหี้ยมมีประกายกระหายเลือดพาดผ่าน
ฮั่วเสี่ยวหมานหวาดกลัวสุดขีด แต่กลับได้ยินเขาหัวเราะ แล้วบอกว่า “ดี สมแล้วที่เป็นภรรยาของหลางฉ่าง ข้าดีใจมากที่ได้ร่วมมือกับเจ้า” เขาเชิดคางเล็กน้อย ส่งสัญญาณให้คนชุดดำเข้ามาจับตัวพวกนาง
เสี่ยวจินจื่อก้าวเข้าไปหมายจะจับซูหลี
ฮั่วเสี่ยวหมานตกใจผงะถอยหลัง ตะโกนเสียงดัง “ช้าก่อน! เจ้า…เจ้าคือจั้นอู๋จี๋จริงหรือ?”
จั้นอู๋จี๋มองดูใบหน้าตื่นตระหนกของนาง แล้วกล่าวคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มว่า “จะเรียกข้าอย่างนั้นก็ได้ หรือจะเรียกข้าว่ารัชทายาทแห่งแคว้นหวั่นก็ได้ ตกลงกันแล้วอย่างไรเล่า ว่าเจ้าแค่ให้ความร่วมมือก็พอ แล้วข้าจะแก้แค้นให้เจ้าเอง ยามนี้ใกล้บรรลุเป้าหมายแล้ว ทำไมจู่ๆ ฮั่วฮองเฮาก็ดูเหมือนไม่ดีใจเลยเล่า?”
สายตาของฮั่วเสี่ยวหมานสั่นสะท้าน “ข้า…แก้แค้นสำเร็จข้าย่อมดีใจ แต่…แต่คนที่ทำให้พี่ชายฉ่างตาย คือตงฟางเจ๋อ! ไม่เกี่ยวกับฉางเล่อ ข้าไม่อยากทำร้ายนาง พวกเรา…เปลี่ยนวิธี…”
ราวกับได้ยินคำพูดที่น่าขบขันที่สุด จั้นอู๋จี๋แหงนหน้าขึ้นฟ้าแล้วหัวเราะเสียงดังลั่น สายตาสะท้อนแววดูแคลน เขากล่าวอย่างเย้ยหยันว่า “หลางฉ่างเป็นคนฉลาดถึงเพียงนั้น เหตุใดจึงได้สู่ขอสตรีโง่เง่าน่าขันเช่นเจ้ากัน ข้าเสียดายแทนเขานัก”
ฮั่วเสี่ยวหมานหน้าซีดเขียว
เขาพูดต่อว่า “เจ้าอาจยังไม่รู้จักข้าดีพอ ข้าน่ะ เป็นคนที่ให้ความสำคัญกับผลลัพธ์มาโดยตลอด ไม่เกี่ยงวิธีการ ในเมื่อเจ้าล่อนางออกมาแล้ว จะมาเสียใจตอนนี้ก็สายเกินไปแล้วละ” เอ่ยจบมือใหญ่ก็โบกกลางอากาศ ชายชุดดำข้างหลังเขาพลันพุ่งตัวเข้ามา
ฮั่วเสี่ยวหมานถอยกรูดด้วยความตกใจกลัวอีกครั้ง คราวนี้นางเชื่อคำพูดของซูหลีอย่างแท้จริงแล้ว คนผู้นี้ไม่ได้คิดจะร่วมมือกับนางจริงๆ เขาแค่ต้องการหลอกใช้นางเพื่อจับตัวฉางเล่อ!
ชายชุดดำพุ่งตัวมาถึงตรงหน้าในพริบตาเดียว เขากับเสี่ยวจินจื่อประกบพวกนางหน้าหลัง ฮั่วเสี่ยวหมานไร้หนทางหนี เห็นแล้วว่ากำลังจะถูกจับตัว
ในยามนี้เอง ซูหลีพลันลืมตาขึ้น เห็นเพียงข้างกายซ้ายขวามีเงาร่างโฉบผ่าน เข็มทองพุ่งแหวกอากาศ แล้วแทงเข้าไปที่ลำคอของชายชุดดำอย่างแม่นยำ ยังไม่ทันส่งเสียงร้อง ชายชุดดำกับเสี่ยวจินจื่อก็ล้มลงไปพร้อมกัน เจียงหยวนกับฉินเหิงรีบเข้ามาประคองซูหลีซ้ายขวา
คนสามคนที่เดิมทีควรหมดสติอยู่บนพื้นกลับยืนอยู่ตรงหน้านาง สีหน้าสงบนิ่ง สายตากระจ่างชัด เห็นได้ชัดว่าไม่เคยโดนพิษยาสลบเล่นงาน ฮั่วเสี่ยวหมานตะลึงงัน ค่อยๆ ปล่อยมือของซูหลีออก แล้วหันไปมองจั้นอู๋จี๋ที่อยู่ข้างหน้า
ผ่านมาหลายปี ครั้นพบหน้ากันอีกครั้ง ต่างฝ่ายต่างอยากจะชักดาบออกมาเฉือนเนื้อของอีกฝ่ายเป็นชิ้นๆ แต่ทว่า พวกเขาไม่มีใครขยับเขยื้อนเลย ได้แต่จ้องมองอีกฝ่ายนิ่งๆ
“ไม่ได้พบกันนาน องค์รัชทายาทแห่งแคว้นหวั่น!” ครั้นเผชิญหน้ากับศัตรูที่แม้ยามหลับฝันก็ยังอยากสับร่างอีกฝ่ายเป็นหมื่นชิ้น ซูหลีกลับดูสุขุมเยือกเย็นผิดคาด
จั้นอู๋จี๋เองก็เพียงตะลึงงันเล็กน้อย ไม่นานก็ปรับสีหน้าเป็นปกติ เขายิ้มแล้วกล่าวว่า “เจ้ากลับไม่ได้ถูกพิษจากธูป! ดูท่าคงระวังตัวไว้แต่แรกแล้ว”
ซ่อนตัวอยู่เบื้องหลัง คอยบงการแผนชั่วมานานหลายปี ทำให้บุคลิกที่เดิมก็แข็งกระด้างและเย็นชาจากการสู้รบในสงคราม มีไอเย็นชาโหดเหี้ยมเพิ่มขึ้นมาหลายส่วน แม้แต่เสียงของเขา ก็เปรียบเสมือนเสียงของปีศาจร้ายจากขุมนรกอย่างไรอย่างนั้น พาให้ผู้ได้ยินขนลุกไปทั้งตัว
ซูหลีจ้องหน้าเขา แล้วกล่าวด้วยสีหน้าไม่บ่งบอกอารมณ์ “คนที่เจ้าส่งมาแฝงตัวอยู่ข้างกายเซี่ยอวิ๋นเซวียน ถูกคนของข้าจับได้ตอนไปรับจดหมายส่งข่าวที่บ่อนพนันใต้ดิน จดหมายที่อยู่ในลูกเต๋า ข้าอ่านหมดแล้ว”
จั้นอู๋จี๋หัวเราะอย่างชั่วร้าย “สมแล้วที่เป็นฮ่องเต้หญิง ไม่มีอะไรรอดพ้นสายตาเจ้าไปได้จริงๆ รู้ทั้งรู้ว่าข้าวางกับดักไว้ เจ้าก็ยังกล้าเอาตนเองมาเสี่ยง ไม่กลัวว่าจะต้องตายทั้งเป็นอยู่ในกำมือข้าหรือ?” ขณะกล่าว ไอโฉดชั่วแผ่กำจายรอบกายเขา พาให้ผู้คนอกสั่นขวัญหาย
ซูหลีพลันสะบัดแขนเสื้อ แม้กำลังตั้งครรภ์อยู่ ทว่ายามนางยิ้มและเอ่ยวาจา กลับดูมีราศีน่าเกรงขาม “ในเมื่อกล้ามา ข้าย่อมมีแผน ที่แห่งนี้คือแผ่นดินติ้ง ข้ามิใช่บุตรีอนุที่ไร้ซึ่งอำนาจเช่นในอดีตอีกต่อไปแล้ว ข้าคือฮ่องเต้แห่งแคว้นติ้ง!”
เพิ่งจะสิ้นเสียงของนาง ตะบันไฟส่งสัญญาณในแขนเสื้อของเจียงหยวนก็บินขึ้นฟ้าทันที ครั้นระเบิดเสียงดัง ‘ปัง’ เสียงฝีเท้าม้าก็ดังมาจากทั่วทุกสารทิศ เพียงชั่วพริบตาเดียว เรือนมังกรล้อมก็ถูกรายล้อมไปด้วยกองทัพทหารม้าชุดเกราะเหล็กอย่างแน่นหนาไร้ช่องโหว่
พิรุณโปรยปรายที่ถูกสร้างขึ้นมาใหม่สะท้อนประกายอันเยือกเย็นอยู่ภายใต้แสงอาทิตย์ ส่องใบหน้าซีดเผือดเหมือนกระดาษของเหล่าคนชุดดำ
กู้เซี่ยงเทียนเฆี่ยนม้าให้วิ่งเข้ามา เขายกมือเล็กน้อย เสียงฝีเท้าม้าพลันหยุดชะงัก รอบด้านเงียบสงัดไร้เสียง
ซูหลีกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “จั้นอู๋จี๋ ยอมจำนนเสียเถิด”
สีหน้าของจั้นอู๋จี๋แปรผันไปมา เขาพลันแหงนหน้าขึ้นฟ้าแล้วหัวเราะเสียงดัง “ดี! ดีมาก! กลยุทธ์หนามยอกเอาหนามบ่งนี้ เจ้าวางแผนได้ไม่เลว! แต่ว่า…ถ้าหากลูกเต๋าลูกนั้น ข้าเป็นคนจงใจทำให้เจ้าเห็นเองเล่า?”
……………………