กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - บทที่ 59 เลียนแบบตงฟางเจ๋อ
ครั้นสิ้นเสียงนั้น หลีเฟิ่งเซียนก็นำทัพขุนนางแคว้นเฉิงตั้งแต่ขั้นสามขึ้นไปสาวเท้าเข้ามาอย่างรวดเร็ว
จั้นอู๋จี๋กระดกมุมปาก แค่นยิ้มดูแคลน “ดี ดีมาก มากันพร้อมหน้าพร้อมตาทีเดียว”
หลีซูคนเดิมต้องตายด้วยน้ำมือจั้นอู๋จี๋ กลายเป็นปมในใจของหลีเฟิ่งเซียน ยามนี้เห็นซูหลีตกอยู่ในมือของจั้นอู๋จี๋อีกครั้ง และอาจมีอันตรายถึงชีวิตได้ทุกเมื่อ หลีเฟิ่งเซียนร้อนรุ่มใจดั่งไฟสุมอก รีบสาวเท้ายาวๆ มาที่ปากหุบเขา
จั้นอู๋จี๋มองหน้าเขา ถึงแม้จะอายุมากแล้ว และมีผมหงอกตรงขมับสองข้าง แต่กลับยังคงมีบุคลิกองอาจผึ่งผาย ยามก้าวเดินยังคงเต็มไปด้วยราศีน่าเกรงขาม เห็นได้ชัดว่านักรบผู้คร่ำหวอดในการศึกมาช้านาน มิได้เป็นแค่ชื่อเสียงจอมปลอมของเขา เมื่อคิดได้ว่าคนผู้นี้มีความเกี่ยวข้องกับแคว้นหวั่นอย่างลึกซึ้ง จั้นอู๋จี๋ก็แสยะยิ้มเย็นชา แล้วเอ่ยว่า “ไม่เจอกันนาน เซ่อเจิ้งอ๋องสบายดีหรือไม่?”
หลีเฟิ่งเซียนจ้องหน้าเขา แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงชัดถ้อยชัดคำ “ในอดีตเป็นข้าเองที่ทำลายแคว้นหวั่นของเจ้า หากเจ้าจะแก้แค้น ก็มาแก้แค้นข้า อย่าทำร้ายผู้บริสุทธิ์”
จั้นอู๋จี๋ควงกริชในมือเล่น แล้วยิ้มอย่างเสแสร้ง “นางมิใช่ผู้บริสุทธิ์ นางเป็นผู้หญิงของตงฟางเจ๋อ แล้วยังฆ่าน้องสาวแท้ๆ ของข้า ทำให้แผนการทุกอย่างของข้าพังไม่เป็นท่า จะเรียกว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ได้อย่างไรกัน?”
ซูหลีกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ “เหลียนเอ๋อร์ทำให้หลีเหยาตาย ทำสิ่งใดก็ย่อมต้องได้รับสิ่งนั้น”
จั้นอู๋จี๋กระดกคิ้ว แล้วยิ้มอย่างบิดเบี้ยวชั่วร้าย “นางฆ่าหลีเหยา เจ้าฆ่านาง แล้วข้าก็ฆ่าเจ้าเพื่อแก้แค้นให้นาง ก็เป็นเรื่องสมเหตุสมผลแล้วนี่”
กลิ่นจางๆ กลิ่นหนึ่งลอยออกมาจากตัวเขาอีกครั้ง ซูหลีขมวดคิ้ว กลิ่นนั้น นางรู้สึกคุ้นเล็กน้อย มันคืออะไรกันนะ? แม้แต่นางก็ยังแยกแยะกลิ่นไม่ออก
หลีเฟิ่งเซียนตะโกนเสียงดัง “กรรมเกิดจากเหตุ มีเหตุจึงมีผลตามมา ทุกอย่างเกิดจากตัวข้า เจ้าปล่อยตัวนาง ข้ายอมตายเพื่อชดใช้บาปให้แก่ครอบครัวเจ้า” เขาก้าวเท้าเข้ามา ชักดาบขึ้นมาพาดคอตนเอง จ้องตาจั้นอู๋จี๋อย่างแน่วแน่ เพื่อช่วยบุตรสาวอันเป็นที่รัก เขาเตรียมใจรับความตายแต่แรกแล้ว
ซูหลีตกใจหน้าเปลี่ยนสี นางเกือบหลุดปากเรียก ‘เสด็จพ่อ’
จั้นอู๋จี๋หัวเราะ แล้วกล่าวว่า “ทำงานด้วยกันมานานหลายปี ข้ากลับไม่เคยรู้เลยว่า เซ่อเจิ้งอ๋องจะยอมสละชีวิตเพื่อคนนอกอย่างนี้ด้วย” เขาหันไปมองพ่อลูกสกุลซูที่เพิ่งเดินตามมาถึงข้างหลังด้วยสายตายั่วยุ “หากข้าจำไม่ผิด ซูหลีเป็นบุตรีในจวนอัครเสนาบดี แต่ทำไมดูแล้ว เหมือนเซ่อเจิ้งอ๋องจะร้อนใจกว่าอัครเสนาบดีหลายเท่าเลยเล่า?”
ซูเซียงหรูยืนอยู่ข้างหลังหลีเฟิ่งเซียน สีหน้าตึงเครียด ไม่พูดอะไรสักคำ
ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยเดินไปยืนข้างซูฉุนเงียบๆ สายตาคล้ายกำลังซักถาม ซูฉุนเอื้อมมือดันนางให้ไปยืนหลบข้างหลังเขาอย่างแนบเนียน จากนั้นก็กุมมือนาง แล้วพยักหน้าเบาๆ ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยพลันเผยยิ้มดีใจ ดวงตากลับรื้นไปด้วยม่านน้ำตา นางกุมมือเขาตอบ ทั้งสองสอดนิ้วมือกันแน่น ใจสื่อถึงใจ
“ปล่อยน้องสาวข้า เจ้าต้องการสิ่งใดก็บอกมาได้เลย!” ซูฉุนจ้องหน้าจั้นอู๋จี๋ แล้วกล่าวว่า “ไม่ว่าซูหลีจะมาจากที่ใด ยามนี้นางก็เป็นฮ่องเต้หญิงแห่งแคว้นติ้ง ในท้องมีทายาทของฮ่องเต้ข้าอยู่ เราชาวแคว้นเฉิงทุกคน ยินดีบุกน้ำลุยไฟเพื่อฮ่องเต้แคว้นติ้ง ไม่มีทางบ่ายเบี่ยง!”
วาจาประโยคนี้หนักแน่นทรงพลัง เปี่ยมไปด้วยคุณธรรมและน้ำใจ ทุกคนเมื่อได้ยินเช่นนั้นต่างก็ฮึกเหิม ความกล้าหาญค่อยๆ กลับคืนมา หลายคนเริ่มเก็บงำสีหน้าหวาดกลัว
“พูดได้ดี” จั้นอู๋จี๋ปรบมือ แล้วเอ่ยกลั้วเสียงหัวเราะ “สมแล้วที่เป็นคุณชายแห่งสกุลซู อ้อ ไม่สิ ยามนี้ต้องเรียกเจ้าว่าท่านเสนาบดีแล้วสินะ และอีกไม่นานเจ้าก็จะกลายเป็นเขยของแคว้นติ้ง สกุลซูของพวกเจ้า ไม่เพียงมีอัครเสนาบดีที่เป็นขุนนางขั้นหนึ่ง เสนาบดีที่เป็นขุนนางขั้นสอง ยังมีฮ่องเต้หญิงอีกด้วย ช่างเป็นปรากฏการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน แล้วก็คงจะไม่มีใครทำได้อย่างนี้อีกแล้ว เพียงแต่น่าเสียดายที่ความรุ่งเรืองนี้ จะต้องจบลงภายในวันนี้เสียแล้ว” เขาควงกริชในมือ คล้ายรู้สึกเสียดายเหมือนที่พูดจริงๆ
ซูเซียงหรูกล่าวเสียงเข้ม “ชื่อเสียงและเกียรติยศของสกุลซูเราล้วนเป็นเพราะได้รับพระกรุณาธิคุณจากฝ่าบาทของเรา และเกียรติยศนี้จะสิ้นสุดลงเมื่อใด ก็ขึ้นอยู่กับพระทัยของฝ่าบาทเท่านั้น เจ้าจับฮ่องเต้แคว้นติ้งเป็นตัวประกัน แล้วบังคับให้พวกเรามาที่นี่ในวันก่อนเทศกาลปีใหม่ ต้องการสิ่งใดกันแน่?”
เหลียงสือชูตะโกนอย่างไม่มีความอดทน “ไม่ว่าเจ้าคิดจะทำอะไรก็ตาม จะให้ดีก็เร็วหน่อย”
เหล่าขุนนางที่อยู่ข้างหลังต่างกล่าวเสริมว่า “จั้นอู๋จี๋ เจ้าเป็นหมาไร้บ้าน จับตัวฮ่องเต้แคว้นติ้งไปก็เปลี่ยนอะไรไม่ได้หรอก รีบปล่อยพระนางเถิด บางทีฮ่องเต้เราอาจเมตตาให้เจ้าได้ตายศพสวย”
จั้นอู๋จี๋แสยะยิ้มชั่วร้าย “ดูเหมือนใต้เท้าทุกท่านจะยังไม่เข้าใจว่าพวกท่านมาทำอะไรที่นี่?! ตงฟางเจ๋อไม่ได้บอกหรือไร?”
เหล่าขุนนางแคว้นเฉิงหน้าเปลี่ยนสี หากมิใช่เพราะฝ่าบาทมีรับสั่งให้ขุนนางทุกคนที่มีตำแหน่งขั้นสามขึ้นไปมุ่งหน้ามายังสถานที่อันหนาวเหน็บในแคว้นเปี้ยนแห่งนี้ เกรงว่าคงจะมีขุนนางไม่น้อยที่ไม่อยากเอาชีวิตมาเสี่ยงที่นี่ ยามนี้ในท้องของฮ่องเต้แคว้นติ้งมีเลือดเนื้อเชื้อไขของฝ่าบาทพวกเขาอยู่ ไม่มีใครกล้าทำผิดฐานทำให้ทายาทของฝ่าบาทตกอยู่ในอันตรายเด็ดขาด แต่จั้นอู๋จี๋มีฮ่องเต้แคว้นติ้งอยู่ในกำมือ เกรงว่า…ฝ่าบาทของพวกเขาจะตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ สถานการณ์จะเป็นอย่างไรต่อไป ยากจะคาดเดาจริงๆ
จั้นอู๋จี๋มองสีหน้าหวาดกลัวของพวกเขาอย่างพึงพอใจ เขาเงยหน้ามองดวงอาทิตย์เหนือหัว “อีกหนึ่งเค่อ ก็จะถึงยามซื่อ[1]แล้ว ตงฟางเจ๋อยังไม่ปรากฏตัว หรือต้องการให้ข้าใช้วิธีเดียวกับเขาในอดีต ถึงจะยอมปรากฏตัวเร็วขึ้น?”
เขาเก็บกริช แล้วกวักมือเรียก ชายชุดดำที่ยืนอยู่ด้านหนึ่งเดินถือกล่องเหล็กเข้ามา เขาเปิดฝากล่อง ซูหลีชำเลืองมองแวบหนึ่ง เลือดในกายนางเย็นเยียบจับตัวเป็นก้อนทันที
สว่านปลายแหลม!
สว่านเจาะถ้ำ เครื่องมือทรมานที่โหดร้ายที่สุดของแคว้นเฉิง มีความยาวเท่านิ้วมือเท่านั้น แต่กลับพาให้ผู้พบเห็นอกสั่นขวัญหาย
“เจ้าจะเลียนแบบวิธีการของตงฟางเจ๋อในอดีต ให้ข้าได้ลิ้มลองรสชาติการถูกทรมานโดยสว่านเจาะถ้ำ?” เพียงเสี้ยววินาทีเดียว ซูหลีก็ใจเย็นลง นางเงยหน้ามองจั้นอู๋จี๋ ยิ้มอย่างไม่ยี่หระ แล้วกล่าวว่า “ข้าก็นึกว่าเจ้าจะมีวิธีอะไร ที่แท้ก็เท่านี้เองหรือ”
ทุกคนได้ยินก็หน้าเปลี่ยนสี ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยตะโกนเสียงดังลั่น “จั้นอู๋จี๋ เจ้าอย่าทำอะไรบ้าๆ นะ! ฝ่าบาททรงพระครรภ์ ไม่อาจทนรับการทรมานเช่นนี้ได้…”
“งั้นหรือ?” จั้นอู๋จี๋แสยะยิ้มเย็นชาอย่างไม่แยแส สายตาสะท้อนแววชิงชัง “ในอดีตอาเสวียนก็ตั้งครรภ์เช่นกัน แต่นางก็ต้องทนรับการทรมานเช่นนี้ไปจนจบ ข้าเชื่อว่าฮ่องเต้แคว้นติ้งเองก็ต้องทำได้เช่นกัน” เขาแสยะยิ้มให้ซูหลี รอยยิ้มนั้นเยือกเย็นจนน่าขนลุก
ซูฉุนเองก็เริ่มร้อนใจ “พวกข้ารับคำสั่งจากฝ่าบาทให้มาตามที่เจ้านัดหมายไว้ ไม่นานฝ่าบาทก็จะเสด็จมาถึง!”
จั้นอู๋จี๋เอ่ยเสียงเย็น “ข้ารอเขามาเกือบครึ่งชั่วยามแล้ว ไม่อยากรออีก เกม ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว ณ บัดนี้” เขาหยิบสว่านปลายแหลมขึ้นมา ลูบไล้บริเวณไหปลาร้าของซูหลี คล้ายกำลังหาตำแหน่งที่เหมาะสมอยู่
สายตาของซูหลีขรึมลงเล็กน้อย ในฐานะฮ่องเต้หญิงแห่งแคว้นติ้ง นางจะตายก็ได้ แต่ต้องตายอย่างมีเกียรติ ไม่ใช่ถูกทรมานจนตายในฐานะเครื่องมือชิ้นหนึ่งในเกมอย่างนี้! นางเอ่ยเสียงเข้ม “จั้นอู๋จี๋ เจ้าเคยจับชีพจรข้า น่าจะรู้ว่าข้าได้รับบาดเจ็บภายในอย่างรุนแรง แทบไม่หลงเหลือวรยุทธ์แล้ว”
จั้นอู๋จี๋แสยะยิ้มเย็นชา “แล้วอย่างไร?”
ซูหลีกล่าวอย่างใจเย็น “ข้า…ร่างกายอ่อนแอ หนึ่งปีมานี้อาศัยยาของเจียงหยวนเพื่อรักษาตัว จึงได้ปกป้องครรภ์นี้ไว้ได้…” นางหยุดพูดไปครู่หนึ่ง แล้วหอบหายใจอย่างยากลำบาก จากนั้นก็กล่าวต่อว่า “ยามนี้ข้าตั้งครรภ์ได้เจ็ดเดือนแล้ว เจ้าจับตัวข้าจากเมืองหลินซีเดินทางอย่างตรากตรำลำบากมาจนถึงเมืองเหลียวเฉิง ข้าไม่อาจทนรับการทรมานใดได้อีก หากเจ้าเจาะสว่านนี้เพียงครั้งเดียว บางทีอาจสามารถคร่าชีวิตข้าได้ทันที”
ใบหน้าจั้นอู๋จี๋สะดุดไปเล็กน้อย นิ้วมือชะงัก แล้วถามด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน “แล้วอย่างไร?”
ซูหลียิ้ม แล้วกล่าวว่า “ตงฟางเจ๋อฆ่าหยางเสวียน โดยอาศัยกฎหมายของแคว้นเฉิง ส่วนเจ้าเป็นขุนนางทรยศชาติเป็นนักโทษกบฏ ทำอะไรเขาไม่ได้ วันนี้ ยามนี้ข้าเป็นถึงฮ่องเต้แคว้นติ้ง เจ้าใช้แผนชั่วเพื่อจับตัวข้ามาถึงนี่ กล้าใช้ชีวิตข้าข่มขู่ให้ขุนนางของทั้งสองแคว้นมาตามนัด โดยมีแค่ชีวิตข้าอยู่ในกำมือเท่านั้น หากข้าตาย เจ้าก็จะต้องถูกสับร่างเป็นชิ้นๆ ทันที!”
จั้นอู๋จี๋กล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ “เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว เจ้าคิดว่าข้าจะยังกลัวตายอยู่อีกงั้นหรือ?”
ซูหลีแค่นหัวเราะเบาๆ ในสายตากลับแฝงแววยากแท้หยั่งถึง นางเอ่ยเสียงเรียบ “ข้าไม่แน่ใจว่าเจ้าจะกลัวตายหรือไม่ แต่ข้า ไม่กลัวตายอย่างแน่นอน!”
…………………………