กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - บทที่ 61 เขามาแล้ว
จั้นอู๋จี๋หน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย “เจ้าร้ายกาจดังคาด เรื่องนี้ก็ยังถูกเจ้าจับได้จนได้”
ยามนี้หยวนเซี่ยงกับเสิ่นเจี้ยนอันกำจัดชายชุดดำไปได้สองคน และรีบวิ่งเข้ามา ซูหลีร้อนรนหมายจะตะโกนบอก จั้นอู๋จี๋กระชับนิ้วมือ ทำให้นางไม่อาจเปล่งเสียง จั้นอู๋จี๋โบกมือกลางอากาศอย่างเลือดเย็น พลันนั้นเสียงระเบิดดังสนั่นหวั่นไหว ระเบิดที่ถูกฝังไว้ด้านซ้ายของทางเข้าปะทุขึ้นฟ้า ก้อนหินและหิมะถล่มลงมากระแทกพื้นดุจห่าฝน ชั่วขณะนั้น กลุ่มคนกรีดร้องด้วยความตกใจ วิ่งหนีกระเจิดกระเจิง ทว่าในหุบเขาแห่งนี้ไร้หนทางหนี ผู้คนแปดถึงเก้าส่วนจึงถูกเศษหินตกใส่ คนมากมายล้มลง เสียงร้องโอดครวญดังระงมไปทั่ว โลหิตสีแดงอาบย้อมหุบเขาไปทั้งลูก
ภายใต้สถานการณ์คับขัน ซูฉุนรั้งซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยเข้ามาและยืนขวางเบื้องหน้านาง เพื่อป้องกันเศษหินไม่ให้กระเด็นมาโดนนาง ซูเซียงหรูถูกก้อนหินกระแทกศีรษะ เลือดไหลอาบหน้า ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยกรีดร้องด้วยความตกใจ รีบเข้าไปประคองซูเซียงหรู ซูฉุนรีบประคองบิดาและหลีเฟิ่งเซียนไปนั่งด้านหนึ่ง หันไปมองเบื้องหลัง ถึงแม้เหล่าขุนนางทั้งสองแคว้นจะไม่มีผู้ใดสิ้นใจ แต่ส่วนมากกลับมีบาดแผลตามตัว ยามนี้ทุกคนไม่มีเวลาแบ่งแยกว่าผู้ใดเป็นขุนนางแคว้นติ้ง ผู้ใดเป็นขุนนางแคว้นเฉิง ต่างคนต่างฉุดดึงกันเพื่อวิ่งหนี
ซูฉุนลุกขึ้นด้วยความร้อนใจ เห็นเสิ่นเจี้ยนอันกับหยวนเซี่ยง และเหลียงสือชูต่างถอยกรูดออกมาเพราะเสียงระเบิดอันเลื่อนลั่น
จั้นอู๋จี๋ค่อยๆ คลายมือออก ซูหลีหอบหายใจและไออย่างหนัก
จั้นอู๋จี๋มองหน้าพวกเขา แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ฉายาของหลางฉ่างคือรัชทายาทผู้ปราดเปรื่องแห่งแคว้นติ้ง แต่สุดท้ายก็สิ้นใจตายไปแล้วมิใช่หรือ?! ยามนี้พวกเจ้าก็จะได้ตายด้วยวิธีเดียวกับเขา รู้สึกเช่นไรบ้างเล่า?!”
ทุกคนเสียวสันหลังวาบ ได้แต่จ้องหน้าเขาอย่างพูดอะไรไม่ออก
ครั้นได้ยินเขาเอ่ยถึงหลางฉ่าง ซูหลีพลันโกรธแค้น พยายามปรับลมหายใจให้เป็นปกติ จากนั้นก็ตะโกนสุดเสียง “ไป พี่ใหญ่ อวิ๋นฮุ่ย เร็วเข้า พาทุกคนออกไปจากที่นี่! เร็ว!”
ซูฉุนมองนางจากที่ไกล สายตาเต็มไปด้วยความเจ็บปวด แต่กลับนิ่งงันไม่ขยับ
ซูหลีตะโกนด้วยความร้อนใจ “พี่ใหญ่!”
มีคนลุกขึ้น แล้ววิ่งทุลักทุเลออกไป ชายชุดดำคนหนึ่งพลันปรากฏตัวต่อหน้า จับเขาโยนกลับเข้ามา ซูหลีหน้าเปลี่ยนสีทันที
จั้นอู๋จี๋ตะโกนเสียงดัง “คิดจะหนี? ใครกล้าหนีออกไปจากหุบเขาแห่งนี้ ภูเขาลูกนี้จะราบเป็นหน้ากลองภายในชั่วพริบตา พวกเจ้าอยากถูกฝังทั้งเป็นอยู่ที่นี่ ข้าก็จะสงเคราะห์ให้”
ซูฉุนตัวสั่นเล็กน้อย เขาหันกลับไปมองซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ย นางไม่พูดอะไร เพียงแต่กุมมือเขาอย่างหนักแน่น
ซูหลีตะโกนเสียงดัง “ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ย เสิ่นเจี้ยนอันจงฟัง!”
ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยตกใจ ส่วนเสิ่นเจี้ยนอันนั้นได้คุกเข่าแล้ว
ซูหลีกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ดังและฟังชัด “เสิ่นเจี้ยนอัน ข้าขอสั่งให้เจ้าจงทำทุกวิถีทาง ลงจากเขาไปนำทัพบุกโจมตีบัดเดี๋ยวนี้ จงสังหารจั้นอู๋จี๋และลูกน้องทุกคนให้สิ้นซาก ห้ามปล่อยให้รอดไปได้แม้แต่คนเดียว! ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยจงกลับราชสำนักไปดูแลแว่นแคว้น อย่าได้มีผิดพลาด!”
ทุกคนตกตะลึง ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยพึมพำและส่ายหน้า “ไม่ ไม่เพคะ หม่อมฉันจะตายไปพร้อมกับพระองค์…”
ซูหลีตำหนิเสียงดัง “เหลวไหล! หากพวกเราตายกันหมด ก็จะสมใจคนผู้นี้มิใช่หรือ?! รีบหนีไปเร็วเข้า!”
จั้นอู๋จี๋หัวเราะเสียงดัง “ช่างจงรักภักดีกันจริงๆ เช่นนั้นข้าจะสงเคราะห์พวกเจ้า ให้ได้นอนตายเคียงข้างกันก็แล้วกัน!”
จั้นอู๋จี๋โบกมือด้วยใบหน้าโหดเหี้ยมไร้ความปรานี ชายชุดดำคนหนึ่งวิ่งเข้ามาลากตัวขุนนางที่บาดเจ็บผู้หนึ่ง จากนั้นก็บั่นคอเขาทันที ขุนนางผู้นั้นยังไม่ทันได้กรีดร้อง ก็สิ้นลมคาที่ ศีรษะกระเด็นออกจากร่าง
ทุกคนตื่นตะลึง แววแห่งความกลัวกลับมาปรากฏบนใบหน้าอีกครั้ง วินาทีนี้ ในหุบเขาเงียบงันจนเหมือนกับไม่มีสิ่งมีชีวิตใดอยู่
จั้นอู๋จี๋แสยะยิ้มชั่วช้า เขาโบกมือเบาๆ อีกครั้ง ชายชุดดำสองคนวิ่งเข้ามาจับขุนนางคนหนึ่ง ขุนนางผู้นั้นดิ้นรนและกรีดร้อง แต่ก็ไม่เป็นผล เสิ่นเจี้ยนอันจำได้ว่านั่นเป็นขุนนางของแคว้นติ้ง จึงกระชับกระบี่หมายจะวิ่งเข้าไปช่วย แต่ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยกลับรั้งไว้ก่อน นางค่อยๆ ส่ายหน้า สายตาเต็มไปด้วยแววปวดร้าว “ท่านแม่ทัพจะวู่วามไม่ได้ หากท่านบาดเจ็บ…เช่นนั้นใครจะเป็นผู้นำของกองทัพติ้งเรา?”
เสิ่นเจี้ยนอันทั้งตกใจและโกรธแค้น มือที่กำด้ามกระบี่สั่นเทาอย่างไม่อาจควบคุม แต่สุดท้ายกลับไม่ทำอะไรอีก
ขุนนางผู้นั้นถูกชายชุดดำลากตัวไปด้านหนึ่ง ดาบถูกเงื้อกลางอากาศและตวัดลง คร่าไปอีกหนึ่งชีวิต
ซูหลีเห็นเช่นนั้นก็ตกตะลึง อดตวาดด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราดไม่ได้ “จั้นอู๋จี๋! เจ้าคิดจะฆ่าพวกเขาให้ตายทีละคนๆ งั้นหรือ?”
จั้นอู๋จี๋สะบัดชายเสื้อ นั่งลงบนก้อนหินขนาดใหญ่ด้านหนึ่ง กวาดตามองพวกเขา แล้วแสยะยิ้มเย็นชา “เดิมทีอยากจะเล่นเกม แต่พวกเขากลับไม่ให้ความร่วมมือ เช่นนั้นก็ช่วยไม่ได้ เอาแบบรวบรัดหน่อย ตัดหัวไปเลยก็แล้วกัน ใครใช้ให้ตงฟางเจ๋อปล่อยให้ข้ารอนานขนาดนี้กันเล่า? ถึงอย่างไรก็อยู่ว่างๆ บั่นคอคนพวกนี้สักสองสามคนเพื่อเป็นการฆ่าเวลาไปก่อนก็แล้วกัน หากเขายังไม่มา และข้าหมดความอดทนเมื่อใด ก็คงต้อง…”
เขาโบกมือด้วยสีหน้าโหดเหี้ยม ชายชุดดำรีบจับตัวซูเซียงหรู แล้วลากออกมา ซูฉุนตกใจจนหน้าถอดสี เข้าไปดึงร่างบิดาเอาไว้อย่างไม่ลังเล แต่กลับถูกชายชุดดำผลักออกอย่างแรง ชายชุดดำลากซูเซียงหรูไปที่ริมสระน้ำแข็ง ซูเซียงหรูขัดขืนหยัดยืนหลังตรง สายตาไร้ซึ่งความกลัว เขาจ้องหน้าจั้นอู๋จี๋ด้วยสายตาเย็นชา ยิ้มแล้วกล่าวว่า “เจ้าจะฆ่าก็ฆ่า หากข้าเพียงขมวดคิ้ว ก็ไม่สมควรเป็นขุนนางแห่งแคว้นเฉิง!”
ซูฉุนกับซูหลีตะโกนเรียกพร้อมกัน “ท่านพ่อ!”
ชายชุดดำเงื้อดาบขึ้นกลางอากาศ ซูหลีน้ำตาไหลพราก แทบจะไม่อาจฝืนทนต่อไปได้ ทันใดนั้น เสียงตวาดอันทรงพลังพลันดังขึ้น “หยุดเดี๋ยวนี้!”
ชายชุดดำชะงัก อาวุธลับพุ่งแหวกอากาศเข้ามา เสียง ‘เคร้ง’ ดังขึ้น ดาบในมือเขาพลันหักเป็นสองท่อน คนกลุ่มหนึ่งพลันปรากฏตัวที่ปากหุบเขา
บุรุษที่ยืนอยู่เบื้องหน้าสุดสวมอาภรณ์สีดำรัดเกล้าสีทอง รูปโฉมงดงาม คือตงฟางเจ๋อนั่นเอง!
สีหน้าของเขามืดครึ้ม โกรธจนหน้าเขียว สายตาคมปลาบดุจมีดดาบ ทิ่มแทงมาที่จั้นอู๋จี๋ เขาสาวเท้าเข้ามาทีละก้าวๆ สายตากวาดมองเหล่าขุนนางทั้งหลาย ผู้คนที่กำลังแตกตื่นลนลานและพยายามดิ้นรนเฮือกสุดท้าย พลันสงบลงทันที ต่างมองเขาด้วยสายตาแห่งความหวัง เหลียงสือชูและหยวนเซี่ยงคุกเข่าร้องสรรเสริญก่อนใคร “ถวายบังคมฝ่าบาท! ขอฝ่าบาททรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นปี หมื่นๆ ปี”
ชั่วขณะหนึ่ง เหล่าขุนนางแคว้นเฉิงต่างพากันคุกเข่าอย่างพร้อมเพรียง และร้องสรรเสริญเสียงดัง “ขอฝ่าบาททรงพระเจริญหมื่นปี! หมื่นปี! หมื่นๆ ปี!”
ตงฟางเจ๋อไม่ได้ชะงักฝีเท้า เขาเดินตรงไปยังริมสระน้ำแข็ง ประคองซูเซียงหรูให้ลุกขึ้น ข้างหลังเขา หวั่นซิน เซี่ยงหลี เจียงหยวน และพวกเซิ่งฉินเดินตามมาติดๆ แม้แต่สาวรับใช้ข้างกายของซูหลีอย่าง ‘โม่เซียง’ ก็มาด้วย เซิ่งเซียวยังจับตัวคนผู้หนึ่งมาด้วย ซูหลีมองไปจากที่ไกลๆ จึงมองเห็นได้ไม่ชัดเจน
ยิ่งตงฟางเจ๋อก้าวเท้าเข้ามา ซูหลีก็ยิ่งรู้สึกสิ้นหวัง นางเฝ้าภาวนาไม่ให้เขามา แต่ใจนางรู้ดี หากนางอยู่ที่นี่ เขาจะไม่มาได้อย่างไร?!
สายตาของเขาจับจ้องมาที่นาง ไม่เจอกันหลายเดือน นางอุ้มท้องโต แต่กลับผ่ายผอมลงไปมาก ใบหน้าซีดเซียว หน้าตาอิดโรย มีเพียงสายตาที่ยังคงเด็ดเดี่ยวและหนักแน่น ไม่หวั่นไหวไปตามสถานการณ์รอบข้าง ครั้นเห็นท้องที่นูนขึ้นมาของนาง หัวใจเขาพลันบีบรัดเจ็บปวด เพื่อบีบให้จั้นอู๋จี๋ปรากฏตัว นางยอมใช้ตัวเองเป็นเหยื่อล่อ เพราะพวกเขารู้ดีว่า ไม่อาจปล่อยให้คนผู้นี้หนีรอดไปได้อีกเด็ดขาด มิเช่นนั้นแค้นของหลางฉ่างก็คงยากจะชำระ และจะกลายเป็นภัยอันตรายในภายหน้าต่อไป
โม่เซียงเห็นซูหลีก็แทบจะร้องไห้ออกมา หวั่นซิน เซี่ยงหลี และเจียงหยวนต่างหันไปมองฉินเหิงที่ยืนอยู่ตรงปากทางเข้าหุบเขา สายตาเยือกเย็นจนน่ากลัว
หัวใจของซูหลีเต็มไปด้วยอารมณ์อันหลากหลาย จากกันนานหลายเดือน เฝ้าคะนึงหาทุกคืนวัน นึกไม่ถึงว่ากลับต้องพบกันอีกครั้งในสถานการณ์เช่นนี้
“ดีมาก ในที่สุดคนก็มากันครบแล้ว” จั้นอู๋จี๋ยิ้มอย่างพึงพอใจ เขานั่งอยู่บนหินก้อนใหญ่ ไม่ขยับไปไหน เพียงจ้องหน้าตงฟางเจ๋อ แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงเบิกบาน “ตงฟางเจ๋อ นึกไม่ถึงใช่ไหมล่ะ ว่าเจ้าก็จะมีวันอย่างนี้ด้วย!”
เขาหยิบสว่านปลายแหลมอีกอันออกมาจากกล่อง แล้วหมุนควงกลางฝ่ามือ “เจ้าคิดดูให้ดีว่าในอดีตเจ้าทำกับอาเสวียนอย่างไรบ้าง วันนี้ข้าจะเอาคืนให้สาสม”
………………………