กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - บทที่ 62 ตาต่อตา ฟันต่อฟัน
ในอดีต ตงฟางเจ๋อมองดูหยางเสวียนถูกทรมานด้วยตาตนเอง วันนี้สถานการณ์พลิกผัน จั้นอู๋จี๋ต้องการแก้แค้นด้วยวิธีตาต่อตา ฟันต่อฟัน!
ตงฟางเจ๋อสังหรณ์ใจไม่ดี เขากล่าวด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น “วันนี้เจ้าทำเรื่องราวให้ใหญ่โตถึงเพียงนี้ ก็เพื่อต้องการแก้แค้นเท่านั้นหรือ?! จั้นอู๋จี๋ หากเจ้ารักหยางเสวียนสักนิด ตอนนั้นเจ้าคงไม่ทิ้งนางอย่างไม่เหลียวแลอย่างนั้น! ยามนี้เจ้าคร่าชีวิตผู้อื่นอย่างไม่เห็นคุณค่าเพื่อปกปิดความอ่อนแอของตนเอง ช่างน่าสมเพชและน่าขันสิ้นดี!”
จั้นอู๋จี๋ลุกขึ้นยืน คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันด้วยความโกรธ แต่ก็ข่มกลั้นเอาไว้ เขาแหงนหน้าหัวเราะเสียงดัง ไอเหี้ยมเกรียมแผ่กระจายรอบตัว ตะโกนอย่างบ้าคลั่งว่า “ผู้รู้สถานการณ์ คือผู้มีสติปัญญาเป็นเลิศ อาเสวียนตายเพราะข้า ข้ารอดชีวิตมาได้ ก็เพื่อวันนี้ ตงฟางเจ๋อ เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว เจ้ายังคิดว่าตนเองสามารถเอาชนะข้าได้อีกงั้นหรือ?” เขาแสยะยิ้มชั่วร้าย คว้าไหล่ซูหลี แล้วเอาปลายสว่านแหลมๆ แทงแขนซูหลีอย่างแรง
ความเจ็บปวดอย่างรุนแรงจู่โจมเข้ามาอย่างไม่มีสัญญาณเตือนล่วงหน้า ซูหลีเจ็บจนรู้สึกหน้ามืด แทบประคองสติไม่อยู่ นางกัดปากตนเองแน่น กล้ำกลืนเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดที่เกือบจะหลุดออกมากลับไป
เสียงอาวุธแหลมคมเจาะเข้าไปในผิวหนัง ราวกับทิ่มแทงเข้าไปในหัวใจของทุกคน พวกเขาต่างตะโกนออกมาอย่างไม่อาจควบคุม
ตงฟางเจ๋อมองดูเลือดที่แดงสดจนน่ากลัวบนร่างกายนาง สายตาแปรเปลี่ยนเป็นคมปลาบ เขากำมือแน่น จนเสียงข้อต่อนิ้วมือลั่น
“…จั้นอู๋จี๋!” หวั่นซินตะคอกด้วยน้ำเสียงโกรธแค้น นางแทบจะพุ่งตัวเข้าไป แต่เซี่ยงหลีรีบคว้าตัวนางไว้ พร้อมเอ่ยห้ามเสียงเบา “อย่าวู่วาม”
ตงฟางเจ๋อสูดหายใจลึกๆ แล้วโบกมือพลางกล่าวว่า “นำตัวมา”
เซิ่งเซียวรีบลากตัวคนผู้หนึ่งเข้ามาทันที ทุกคนหันไปมองเป็นตาเดียว กลับเป็นหยางจิ้น
หยางจิ้นเงยหน้ามองจั้นอู๋จี๋ ในสายตามีความหวาดกลัวหนึ่งส่วน และความหวังอีกหนึ่งส่วน เริ่มจากเป็นลูกของขุนนางกบฏที่โชคดีหนีรอดไปได้ จนกระทั่งกลายเป็นฮ่องเต้หลังก่อกบฏชิงบัลลังก์สำเร็จ ยอมเป็นหุ่นเชิดของผู้อื่นด้วยความเต็มใจ ยามนี้จากฮ่องเต้แคว้นเปี้ยนผู้ยิ่งใหญ่ กลับต้องกลายมาเป็นนักโทษชั้นต่ำอีกครั้ง…เดิมทีเขาไม่ได้หวังจะมีชีวิตรอดอยู่แล้ว แต่ครั้นเห็นหน้าจั้นอู๋จี๋ ก็อดไม่ได้ที่จะอยากอ้อนวอนอีกครั้ง
จั้นอู๋จี๋ไม่แม้แต่จะมองหน้าเขา เพียงหลุดหัวเราะ แล้วกล่าวว่า “ตงฟางเจ๋อ เจ้าไม่มีหมากในมือแล้วจริงๆ หรือ? นึกไม่ถึงว่าจะใช้เขามาขู่ข้า? ช่างน่าขันนัก!”
ตงฟางเจ๋อเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา “แม้หยางจิ้นจะก่อกบฏชิงบัลลังก์ แต่ถึงอย่างไรก็เป็นสมาชิกราชวงศ์เปี้ยน แต่เจ้า เป็นเพียงรัชทายาทแห่งแคว้นหวั่นที่ล่มสลายไปนานแล้ว หากไม่มีสายเลือดราชวงศ์ของหนึ่งในสามแคว้นมหาอำนาจเป็นหุ่นเชิด คิดจะยึดครองทั้งสามแคว้น แล้วครองโลกทั้งใบ ก็คงเป็นได้เพียงแค่ความคิดเพ้อฝัน ที่เจ้าทำให้หยางเจิ้นตาย ก็เพราะเหตุผลนี้ไม่ใช่หรือ?”
หยางจิ้นได้ยินประโยคสุดท้าย ก็พลันเบิกตากว้าง เขามองหน้าตงฟางเจ๋ออย่างไม่อยากเชื่อ จากนั้นก็หันไปมองหน้าจั้นอู๋จี๋อีกครั้ง
จั้นอู๋จี๋มองหน้าซูหลีแวบหนึ่ง แล้วแสยะยิ้มเย็นชา “การตายของหยางเจิ้นเป็นฝีมือของเจ้า นางเห็นเองกับตา อย่าคิดโยนความผิดมาให้ข้าเชียว”
“เจ้าไม่ยอมรับก็ไม่เป็นไร” ตงฟางเจ๋อแค่นยิ้ม แล้วกล่าวว่า “ถึงอย่างไรคนผู้นี้ก็ยังมีประโยชน์กับเจ้า มิสู้พวกเรามาต่อรองเจรจากันดีกว่า”
จั้นอู๋จี๋หัวเราะเสียงดังลั่น “เวลาอย่างนี้คิดจะมาเจรจาต่อรองกับข้า? ตงฟางเจ๋อ เจ้าคิดจะใช้หยางจิ้นคนเดียว มาแลกกับฮ่องเต้หญิงงั้นหรือ ฝันไปเถิด”
ตงฟางเจ๋อแค่นยิ้ม “ข้าจะคืนแคว้นเปี้ยนให้เจ้า ให้เวลาเจ้าสามปี ปกครองแคว้นเปี้ยนและสร้างกองทัพทหาร สามปีให้หลัง เจ้ากับข้ามาตัดสินแพ้ชนะกันอย่างเปิดเผย เป็นอย่างไร?”
ดวงตาของจั้นอู๋จี๋เปล่งประกายวูบหนึ่ง ก่อนที่เขาจะแสยะยิ้มเย็นชา “ตงฟางเจ๋อ เจ้าคิดว่าแคว้นเปี้ยนตกอยู่ในกำมือของเจ้า แล้วข้าจะทำอะไรไม่ได้อีกอย่างนั้นหรือ? ตัดสินแพ้ชนะ? ฮ่าๆๆ หากอาเสวียนยังอยู่ ข้าอาจจะลองคิดดู…” เขาหันไปมองหน้าซูหลี แล้วชี้หน้านาง “ยามนี้นางตกอยู่ในกำมือของข้า ข้าเป็นฝ่ายเหนือกว่า แล้วข้าจะยอมทิ้งโอกาสชนะเพื่อหุ่นเชิดเพียงตัวเดียวได้อย่างไร?! ตงฟางเจ๋อ หากเจ้าอยากให้ซูหลีมีชีวิตรอด เจ้าก็ไม่มีสิทธิ์มาต่อรองกับข้า!”
เขากำสว่านปลายแหลมที่แทงบนแขนซูหลีไว้แน่น จากนั้นก็กระชากออกมาอย่างแรง เลือดสีแดงสดพุ่งกระฉูด เปียกซึมแขนเสื้อนาง ลมหนาวพัดผ่าน เลือดอุ่นๆ พลันจับตัวเป็นก้อนอย่างรวดเร็ว
ซูหลีหน้าซีดขาวเหมือนกระดาษ เจ็บจนตัวสั่น แต่กลับไม่ร้องสักแอะ
ตงฟางเจ๋อโกรธจนหน้าเขียว ได้ยินเพียงซูฉุนกล่าวเสียงเบา “ฝ่าบาท ยามนี้จั้นอู๋จี๋จนตรอกแล้ว การต่อรองธรรมดาใช้ไม่ได้ผลกับเขา เพื่อความปลอดภัยของซูซู มิสู้ทำตามความต้องการของเขาไปก่อนดีไหมพ่ะย่ะค่ะ”
ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยเอ่ยด้วยน้ำเสียงร้อนใจ “คนผู้นี้บ้าไปแล้ว! เขาทำได้ทุกอย่าง หม่อมฉันกลัวว่าพระวรกายของฝ่าบาท จะทนได้อีกไม่นาน…”
ตงฟางเจ๋อไม่พูดอะไร เห็นซูหลีบาดเจ็บ หัวใจของเขาเจ็บยิ่งกว่าผู้ใด แต่ศัตรูโหดเหี้ยมอำมหิต ไม่อาจเปรียบได้กับคนธรรมดา ไม่ว่าสถานการณ์จะร้ายแรงแค่ไหนเขาก็ไม่อาจสูญเสียความเยือกเย็นไปได้ เขากล่าวด้วยสายตาเย็นเยียบ “ข้าอุตส่าห์จะไว้ชีวิตเจ้า แต่เจ้ากลับรนหาที่ตายเอง จั้นอู๋จี๋ เจ้าจะเอาอย่างไร?”
จั้นอู๋จี๋เชิดคาง แกว่งสว่านปลายแหลมในมือไปมา อาวุธแหลมในมือเขายังคงอาบไปด้วยเลือดของซูหลี เขาหันไปมองหยางจิ้นแล้วบอกว่า “ปล่อยตัวเขา”
เซิ่งเซียวจับกุมหยางจิ้นไว้แน่น นี่เป็นหมากตัวเดียวที่พวกเขามีอยู่ในมือแล้ว
สายตาของตงฟางเจ๋อขรึมลง “ปล่อยเขา”
เซิ่งเซียวอับจนหนทาง ทำได้เพียงปล่อยตัวหยางจิ้น
หยางจิ้นเดินโซเซออกจากกลุ่มคน แล้วค่อยๆ เดินไปหาจั้นอู๋จี๋ เขาคล้ายไม่อยากเชื่อ ว่าตนเองจะหลุดพ้นจากอันตรายได้ง่ายดายถึงเพียงนี้ ชายชุดดำเก็บดาบ หยางจิ้นเดินช้ามาก สายตาที่มองจั้นอู๋จี๋มีแววเคียดแค้นเพิ่มขึ้นมาหนึ่งส่วน ทันใดนั้น เขารู้สึกเสียววาบที่ต้นคอ จึงหันกลับไปมอง เห็นเพียงลูกธนูแหลมคมดอกหนึ่งเล็งมาที่เขาจากที่ไกลๆ เขาตกตะลึง ยังไม่ทันตั้งตัว ลูกธนูดอกนั้นก็ถูกยิงเข้ามาแล้ว! เขาไม่มีโอกาสเปล่งเสียงออกมาสักแอะ ลูกธนูพุ่งทะลุลำคอของเขา ร่างสูงร่วงตกลงไปในสระน้ำแข็งทันที
ร่างของเขาจมลงไปในน้ำอันหนาวเย็นจับขั้วหัวใจ ดวงตาที่ถลึงปูดโปนของเขาราวกับกำลังบ่งบอกถึงความเจ็บแค้นในใจ ความตายมาเยือนกะทันหันเกินไป เขายังไม่ทันได้เตรียมใจก็ต้องจากโลกใบนี้ไปแล้ว
ทุกคนต่างตกตะลึงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันนี้ กลิ่นอายแห่งความตายแผ่ปกคลุมหัวใจของทุกคนอย่างที่ไม่สามารถกำจัดออกไปได้
จั้นอู๋จี๋คำรามด้วยความเดือดดาล “ตงฟางเจ๋อ เจ้าช่างกล้าลงมือสังหารคน!”
ตงฟางเจ๋อหันไปมองแหล่งที่มาของลูกธนู แล้วกล่าวเสียงขรึม “เหลวไหล หากข้าบอกว่าจะปล่อยเขา ข้าไม่มีทางลอบยิงเขาจากข้างหลังแน่นอน!”
จั้นอู๋จี๋ตวาดเสียงเกรี้ยว “ที่นี่นอกจากเจ้าแล้ว ยังมีใครกล้าสังหารคนอีก?!”
“หากไม่ใช่ข้า แล้วจะเป็นใครได้อีกเล่า!” น้ำเสียงเย่อหยิ่งดังออกมาจากกลุ่มคน วาจาตรงไปตรงมา ไร้ซึ่งความกริ่งเกรง
สายตาทุกคู่หันไปมอง เห็นเพียงผู้มาสวมอาภรณ์สีแดงดุจเปลวเพลิง บนผืนแผ่นดินที่เต็มไปด้วยสีขาวโพลนของหิมะ รอยยิ้มของเขาดูสะดุดตายิ่งนัก
ซูหลีพลันสะท้านไปทั้งใจ กลับเป็นเซียวหยาง!
จั้นอู๋จี๋หน้าเปลี่ยนสี แต่ไม่นานก็ปรับสีหน้าให้เป็นปกติ “เจ้ายังมีชีวิตอยู่ดังคาด”
“แน่นอนอยู่แล้ว ข้าหยางเซียวเป็นคนดวงแข็ง มีหรือที่คนเยี่ยงเจ้าจะทำอะไรข้าได้?” เขาเดินพลางแสยะยิ้ม มือจับคันธนู ย่างกรายเข้ามาอย่างองอาจผ่าเผย ราวกับรอบกายไม่มีผู้คน
ตงฟางเจ๋อหันไปมองเขาเล็กน้อย สีหน้าเรียบเฉย คล้ายไม่ประหลาดใจกับการปรากฏตัวของเขา
จั้นอู๋จี๋ทอดตามองไกลออกไป ด้านหลังหยางเซียวมีฮูเอ่อร์ตู ปาถู และคนอื่นๆ เดินตามมา แต่ละคนมองเขาด้วยสายตาเหมือนกำลังมองศัตรูตัวฉกาจ จั้นอู๋จี๋แค่นเสียงเย็นชา “เจ้ามาทำอะไร? มารนหาที่ตายถึงที่อย่างนั้นหรือ?”
………………………