กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - บทที่ 64 เจ้าจะตาย หรือให้นางตาย?
เขาหนักแน่นถึงเพียงนี้ เหลียงสือชูโมโหจนแทบจะสิ้นสติ เหล่าขุนนางยิ่งรู้สึกสิ้นหวัง จั้นอู๋จี๋เป็นนักโทษกบฏ เจ้าเล่ห์เพทุบาย ใจคอโหดเหี้ยมอำมหิต ทันทีที่เขากลายเป็นฮ่องเต้แคว้นเฉิง แล้วขุนนางอย่างพวกเขาจะมีชีวิตอยู่ได้อย่างไรกัน?
ในที่สุดหลีเฟิ่งเซียนก็เริ่มได้สติขึ้นมาเล็กน้อย เขาพยายามลุกขึ้นยืน แล้วเดินเข้าไปกล่าวว่า “ฝ่าบาท กระหม่อมยอมสละชีวิตไร้ค่าของกระหม่อม เพื่อช่วย…ซูซู แต่ เรื่องบ้านเมืองเป็นเรื่องใหญ่ ฝ่าบาทโปรดตัดสินพระทัยอย่างรอบคอบด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
ซูเซียงหรูตะโกนด้วยความร้อนรน “จั้นอู๋จี๋เป็นคนชั่วช้า แม้ว่าฝ่าบาทจะยอมละทิ้งบ้านเมือง เขาก็อาจไม่ปล่อยฮ่องเต้แคว้นติ้งจริงๆ ฝ่าบาทโปรดพิจารณาอีกครั้งด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
เหล่าขุนนางต่างร้องขึ้นอย่างพร้อมเพรียง “ฝ่าบาทโปรดพิจารณาอีกครั้งด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
ตงฟางเจ๋อไม่สนใจ รับพู่กันและหมึกไป ตวัดปลายพู่กันอย่างรวดเร็ว พริบตาเดียวพระราชโองการถูกเขียนจนเสร็จ เหล่าขุนนางแคว้นติ้งต่างตกตะลึง พวกเขาต่างรู้สึกผิดที่เคยสงสัยว่าเขาคิดจะยึดครองแคว้นติ้ง
ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยเอ่ยถามด้วยความกังวล “ฮ่องเต้แคว้นเฉิงจะทำอย่างนี้จริงหรือเพคะ? ฝ่าบาทคงไม่อยากให้พระองค์ทำเช่นนี้”
ตงฟางเจ๋อเงยหน้ามองไปเบื้องหน้า ข้างทะเลสาบสีเขียวมรกต อาวุธแหลมคมของจั้นอู๋จี๋ยังคงจ่ออยู่ที่ซูหลีไม่เคยห่าง เขากล่าวด้วยสายตาหนักแน่น “ข้าตัดสินใจแล้ว ไม่จำเป็นต้องเกลี้ยกล่อมอีก”
เขาม้วนพระราชโองการ ทำท่าจะโยนไปที่ฝั่งตรงข้าม เหลียงสือชูรีบรั้งเขา แล้วกล่าวด้วยความปวดใจ “ฝ่าบาททรงตัดสินใจโดยพลการเช่นนี้ พระองค์อยากจะกลายเป็นทรราชจริงหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
สายตาของตงฟางเจ๋อเย็นชาเคร่งขรึม ชำเลืองมองเขาเล็กน้อย
เหลียงสือชูคุกเข่าต่อหน้าเขา ยกดาบขึ้นพาดคอ น้ำตาไหลอาบหน้า “กระหม่อมได้รับคำสั่งเสียจากพระสนม ช่วยเหลือฝ่าบาทมานานหลายปี ไม่เคยกล้าคิดคด…ยามนี้ฝ่าบาทไม่ยอมฟังคำเกลี้ยกล่อม กำลังจะกระทำผิดครั้งใหญ่ กระหม่อมในฐานะขุนนางของพระองค์ มิอาจยับยั้งได้ ก็มีแต่เดิมพันด้วยชีวิต! กระหม่อมจะไปช่วยฮ่องเต้แคว้นติ้งเอง ฝ่าบาทได้โปรดถอนรับสั่งด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ!” เอ่ยจบ เขาก็ชูดาบขึ้น และพุ่งกายไปหาจั้นอู๋จี๋
สายตาของตงฟางเจ๋อไหวระริกเล็กน้อย เขากล่าวเสียงขรึม “เซิ่งเซียว! จับตัวเขาไว้”
เซิ่งเซียวรีบก้าวเข้าไปสกัดจุดลมปราณของเหลียงสือชู จากนั้นก็ลากเขาออกไป
เหลียงสือชูตะโกนเสียงดังลั่น “สวรรค์ทอดทิ้งแคว้นเฉิงของเราแล้ว!”
ตงฟางเจ๋อโยนพระราชโองการให้จั้นอู๋จี๋ แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ปล่อยนาง”
“ช่างเป็นการแสดงบทขุนนางผู้ภักดีได้ดีจริงๆ” จั้นอู๋จี๋ปรบมือเสียงดัง และหัวเราะเย้ยหยัน เขารับพระราชโองการสละบัลลังก์ที่พุ่งแหวกอากาศเข้ามา กวาดตามองเล็กน้อย แล้วเอ่ยเยาะหยัน “ตงฟางเจ๋อ เจ้าคิดว่าข้าโง่เหมือนตงฟางจั๋วงั้นหรือ? แค่สิ่งนี้ ก็คิดจะให้ข้าปล่อยตัวนาง?”
ตงฟางจั๋วเป็นสายเลือดราชวงศ์เฉิง หากเขาได้พระราชโองการไปครอง ก็ยอมขึ้นครองราชย์ต่อได้อย่างง่ายดาย แต่เขาจั้นอู๋จี๋เป็นใครกัน? สำหรับแคว้นเฉิง เขาเป็นกบฏที่คิดจะยึดครองบ้านเมือง ใครเล่าจะเชื่อว่าตงฟางเจ๋อสละบัลลังก์ให้เขา ถึงแม้เชื่อก็ไม่มีใครยอมรับ ฉะนั้นแค่ราชโองการจึงไม่มีความหมายกับเขา!
ตงฟางเจ๋อถามเสียงขรึม “ราชโองการสละบัลลังก์เจ้าก็ไม่เอา แล้วเจ้าต้องการอะไรกันแน่?”
จั้นอู๋จี๋จ้องหน้าเขาเขม็ง ลุกขึ้นยืน แล้วกล่าวเน้นทีละคำด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบดุจน้ำแข็ง “สิ่งที่ข้าต้องการ ก็คือ ชีวิต ของ เจ้า!”
ครั้นวาจานี้หลุดออกจากปากเขา ทุกคนก็ตกตะลึง มีเพียงหยางเซียวที่ร้องขึ้นด้วยความดีใจ “ก็ดีน่ะสิ ข้าเองก็อยากได้ชีวิตเขามานานแล้วเหมือนกัน! จั้นอู๋จี๋ เจ้าตัดสินใจจะทำอย่างไร ลองว่ามา เผื่อว่าข้าจะช่วยอะไรเจ้าได้บ้าง?”
จั้นอู๋จี๋หัวเราะอย่างเย็นชา “เจ้าต้องการชีวิตของเขา? ข้ายังไม่ลืมว่าในปีนั้นที่แคว้นเปี้ยน ตงฟางเจ๋อลอบช่วยเจ้าอย่างลับๆ ทำให้หยางเจิ้นพ่ายศึก วันนี้เจ้าขึ้นเขามาก่อกวน ก็เพื่อสร้างโอกาสให้ตงฟางเจ๋อช่วยซูหลีไม่ใช่หรือ?”
หยางเซียวขมวดคิ้ว “เหลวไหล! เขาฆ่าน้องเสวียนของข้า สังหารเหล่าคณะทูตนับร้อยของเรา แล้วยังแย่งอาหลีของข้าไปอีก! ข้ากับเขาอยู่ร่วมฟ้ากันไม่ได้หรอก!” เขาพูดเสียงลอดไรฟัน คล้ายเกลียดชังตงฟางเจ๋อมากจริงๆ เขาถูฝ่ามือไปมา ทำท่าเหมือนต้องการให้ตงฟางเจ๋อตายไปเสียเดี๋ยวนี้
จั้นอู๋จี๋นึกถึงหยางเสวียน หัวใจพลันเจ็บแปลบ สายตาเต็มไปด้วยแววเหี้ยมเกรียม เขาหันไปพูดกับตงฟางเจ๋อ “เจ้าต้องการช่วยนางจริงหรือ?”
ตงฟางเจ๋อกล่าวด้วยใบหน้าเรียบเฉย “หนึ่งชีวิตแลกหนึ่งชีวิต”
จั้นอู๋จี๋ชี้ไปที่สระน้ำแข็ง พลางกระตุกมุมปาก เผยยิ้มเย็นชา “กระโดดลงไป”
“จั้นอู๋จี๋! เจ้าอย่ารังแกผู้อื่นให้มากไป!” เหลียงสือชูคำรามลั่น “เจ้ารู้ทั้งรู้ว่าฝ่าบาทของเราป่วยหนักเพราะพิษเย็น ให้เขากระโดดเข้าไปในสระน้ำแข็ง คิดจะแช่แข็งเขาให้ตายทั้งเป็นหรือ?!”
“เจ้าพูดถูก” ไม่มีอะไรมีความสุขไปกว่าการใช้จุดอ่อนมาบีบบังคับอีกฝ่าย แล้วมองดูเขาเดินไปสู่ความตายทีละก้าวๆ อีกแล้ว จั้นอู๋จี๋แสยะยิ้มอย่างชั่วร้าย “ข้าต้องการให้เขาแข็งตายไปทั้งเป็น! ต้องการให้เจ้า แล้วก็พวกเจ้าทุกคนมองดูเขาถูกแช่แข็งทั้งเป็น โดยที่ไม่มีใครช่วยเขาได้”
เวลาไม่อาจลบล้างความแค้นในใจได้ หากแต่ยิ่งบ่มเพาะเพลิงแค้นให้รุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ จั้นอู๋จี๋ในตอนนี้ นอกจากความทะเยอทะยานที่ต้องการยึดครองโลกแล้ว หัวใจยังเต็มไปด้วยเพลิงแค้นที่รอวันชำระอีกด้วย สายตาที่เขามองตงฟางเจ๋อทั้งชั่วร้ายและอำมหิต “ตงฟางเจ๋อ ข้าเคยสาบานเอาไว้ว่า ความเจ็บปวดและความสิ้นหวังที่ข้ากับอาเสวียนเคยได้รับ ข้าจะทำให้เจ้าได้ลิ้มลองมากกว่าเป็นร้อยเท่าพันเท่า”
ตงฟางเจ๋อแค่นยิ้ม “เจ้ากับหยางเสวียนวางแผนชั่วชิงบัลลังก์ของแคว้นเรา ย่อมมีความผิดบาปที่สมควรได้รับโทษ เดิมข้าไม่ได้อยากจะฆ่านาง เพียงต้องการบีบให้เจ้าปรากฏตัว แต่เพื่อเอาตัวรอด เจ้ากลับไม่เหลียวแลนาง เห็นได้ชัดว่าในใจเจ้า ชีวิตของหยางเสวียนกับลูกไม่ได้สลักสำคัญอะไรเลย คนที่มีแต่ความทะเยอทะยาน และเลือดเย็นไร้ความปรานีเช่นเจ้า สุดท้ายจะต้องไม่ได้อะไรสักอย่างแน่นอน”
วาจาเลือดเย็นของเขาแทงใจดำจั้นอู๋จี๋ จั้นอู๋จี๋กล่าวเสียงลอดไรฟัน “เจ้าเองก็ใกล้จะตายแล้ว แล้วเจ้าได้อะไรไปบ้างเล่า?”
ตงฟางเจ๋อจ้องหน้าซูหลี สายตาพลันแปรเปลี่ยนเป็นอ่อนโยน “สิ่งที่ข้าได้ เป็นสิ่งที่เจ้าสูญเสียไปแล้ว แล้วชั่วชีวิตนี้ก็จะไม่มีวันได้กลับคืนมาอีก”
บ้านเมืองและอำนาจสามารถไขว่คว้ามาได้โดยการวางอุบายและใช้อำนาจแย่งชิงมา แต่คนรักเมื่อทอดทิ้งไปแล้ว ก็ไม่อาจย้อนกลับคืนมาอีก ฉะนั้นเขายอมทุ่มสุดชีวิตแต่จะไม่ยอมปล่อยมือซูหลีเด็ดขาด แต่เพื่อเอาชีวิตรอด จั้นอู๋จี๋กลับยอมทิ้งหยางเสวียนกับลูกไปอย่างง่ายดาย นี่คือความแตกต่างกันราวฟ้ากับเหวระหว่างจั้นอู๋จี๋กับเขา
น้ำใสๆ พรั่งพรูออกจากดวงตาของซูหลี ลำคอแห้งผาก พูดอะไรไม่ออก
ใบหน้าของจั้นอู๋จี๋บิดเบี้ยว “แล้วอย่างไรเล่า? ไม่นานทุกอย่างก็จะไม่ใช่ของเจ้าอีกแล้ว รวมถึงผู้หญิงที่เจ้ารักที่สุดคนนี้ด้วย” เขากระชากผมซูหลีมาข้างหน้า
ลำคอขาวเนียนยาวระหงเฉือนผ่านคมดาบ เลือดสีแดงไหลอาบสาบเสื้อ จั้นอู๋จี๋จ้องหน้าตงฟางเจ๋อ แล้วกล่าวว่า “เจ้าจะตาย หรือให้นางตาย เจ้าเลือกเอง”
“ตงฟางเจ๋อ!” ซูหลีตะโกนเรียกด้วยน้ำเสียงใจเย็น “ไม่ต้องฟังเขา! ถึงแม้ท่านจะตายไปแล้ว เขาก็ไม่มีทางปล่อยข้าไป!”
ถึงตอนนี้แล้ว นางกลับยังคงสามารถรักษาความสุขุมเอาไว้ได้! สายตาของจั้นอู๋จี๋ขรึมลง ออกแรงที่มือมากขึ้น
ซูหลีรู้สึกราวกับจะถูกเขาถลกหนังศีรษะออกมาทั้งเป็น นางเจ็บจนขมวดคิ้ว แต่กลับไม่ร้องสักคำ เพียงจ้องหน้าเขาอย่างเย็นชา สายตาไร้ซึ่งความหวาดกลัว
เห็นนางเป็นเช่นนี้ จั้นอู๋จี๋ไม่โกรธกลับหัวเราะเสียงดัง อีกไม่นาน แววตาสุขุมและใจเย็นอย่างนี้ของนางก็จะแตกสลาย เขาจะทำให้นางรู้ว่าอะไรคือความหวาดกลัว ความสิ้นหวัง และความหมดอาลัยตายอยากที่แท้จริง!
เขาหยิบสว่านปลายแหลมขึ้นมาจ่อคอนาง “ข้าจะนับถึงสาม…”
“จั้นอู๋จี๋ เจ้าหยุดเดี๋ยวนี้นะ!” ตงฟางเจ๋อตะโกนเสียงดัง หน้าอกกระเพื่อมขึ้นลง เพลิงโทสะลุกท่วมหัวใจจนแทบไม่อาจควบคุม “เจ้าต้องการชีวิตข้า เพื่อแก้แค้นให้หยางเสวียนไม่ใช่หรือ ได้ ข้าจะทำให้เจ้าสมหวังเอง”
เอ่ยจบ เขาไม่ลังเลแม้แต่น้อย กระโดดลงไปในสระน้ำทันที
…………………………