กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - บทที่ 65 เบื้องหลังการตายของหลางฉ่าง
เหล่าขุนนางต่างตะโกนด้วยความตกตะลึง พุ่งตัวเข้าไปหมายจะรั้งเขาไว้ แต่กลับสายไปเสียแล้ว
“ไม่!!!” ซูหลีรู้สึกราวกับถูกคว้านหัวใจออกไปทั้งดวง ความสิ้นหวังและความหวาดกลัวถาโถมเข้ามาในชั่วพริบตา
“ฝ่าบาท!” เซิ่งฉินตะโกนเสียงดัง แล้วกระโดดตามลงไปทันที
เหลียงสือชูคุกเข่าลงบนพื้น แล้วพึมพำอย่างสิ้นหวัง “…สวรรค์ทอดทิ้งแคว้นเฉิงของเราแล้ว…”
เสียงร่ำไห้ดังระงมไปทั่วภูเขา ซูหลีล้มตัวคุกเข่าบนพื้น มองสระน้ำแข็งที่ลึกจนไม่เห็นก้นสระอย่างไม่อยากเชื่อ นางไม่กังวลเลยที่เขาเขียนราชโองการสละบัลลังก์ เพราะราชโองการฉบับนั้นไม่ได้มีประโยชน์อะไรกับจั้นอู๋จี๋มาก แต่น้ำในสระน้ำแข็งแห่งนี้หนาวเย็นมาก ถึงแม้พิษเย็นในตัวเขาจะหมดไปแล้ว แต่เขาจะอดทนอยู่ใต้สระน้ำแห่งนี้ได้นานเท่าไรกัน?
นัยน์ตาดำขลับของนางเลื่อนลอยราวกับไร้ซึ่งจุดหมาย ซูหลีไม่อาจเปล่งเสียง นางหันไปมองหยางเซียวที่ยืนอยู่ด้านหนึ่ง นึกไม่ถึงเขากลับไม่สะทกสะท้าน ในดวงตามีแววเจ้าเล่ห์พาดผ่านไปอย่างรวดเร็ว ซูหลีพลันสะดุดใจ
“จั้นอู๋จี๋” ซูหลีจ้องมองผิวน้ำอันหนาวเหน็บ หยัดกายลุกขึ้นยืน แล้วเอ่ยปากอย่างแช่มช้า “การตายของเสด็จพี่ข้า เป็นแผนการของเจ้า ใช่หรือไม่?”
จั้นอู๋จี๋ยิ้มชั่วร้าย “เพิ่งจะมาถามเอาตอนนี้ เจ้าก็ช่างรู้จักยับยั้งชั่งใจเก่งจริงๆ ความจริงเจ้าก็เดาได้แต่แรกแล้วไม่ใช่หรือ?”
ซูหลีหันไปมองเขา พลันรู้สึกเจ็บครรภ์อย่างรุนแรงขึ้นมาทันที นางยกมือกุมท้อง สูดหายใจลึกๆ “ใช่ ข้ารู้แต่แรกแล้วว่ามีคนวางแผนอยู่เบื้องหลัง ยามนี้พวกเรา…ล้วนไม่มีโอกาสรอดชีวิตแล้ว มิสู้เจ้าบอกความจริงกับข้าตรงๆ ดีกว่า”
“ถูกต้องแล้ว เป็นข้าเอง” จั้นอู๋จี๋ยอมรับอย่างไม่ลังเล ทุกคนที่อยู่นอกหุบเขาได้ยินก็ตกตะลึง ขุนนางแคว้นติ้งถมึงตาจ้องเขาด้วยความโกรธแค้น ราวกับอยากจะฉีกร่างเขาเป็นชิ้นๆ ต่างตะโกนด่าทอเสียงดังอย่างทนไม่ไหว สายตาเหม่อลอยของฮั่วเสี่ยวหมานแปรเปลี่ยนเป็นตกตะลึงระคนเจ็บปวด
จั้นอู๋จี๋กวาดสายตามองหน้าทุกคนแวบหนึ่ง แล้วกล่าวว่า “ปีนั้นสถานการณ์ขัดแย้งภายในของแคว้นเปี้ยนสงบลง ข้าจึงจำเป็นต้องหาหนทางอื่น ข้าเดินทางไปเกาะตงหมิง และได้รู้จักกับนายน้อยแห่งเกาะตงหมิงนามว่าเซียงซืออวี่ คนผู้นี้มีความตั้งใจจะสร้างผลงานอยู่พอดี จึงเข้ากับข้าได้ดีอย่างไม่คาดคิด ฉะนั้นข้าจึงร่วมมือกับเขา หมายจะอาศัยพลังของแคว้นติ้งสู้กับตงฟางเจ๋อ!”
ซูหลีปวดใจ “ดังนั้นเสด็จพี่จึงถูกเซียงซืออวี่ช่วยไว้ได้ตอนที่ถูกลอบโจมตีที่เขตชายแดนแคว้นเปี้ยน นี่เป็นละครที่เจ้ากับเขาสร้างขึ้นมา!”
จั้นอู๋จี๋กล่าวด้วยความสะใจ “ราชวงศ์ติ้งให้ความสำคัญกับบุญคุณเสมอมา หลางฉ่างเองก็ขึ้นชื่อว่าเป็นผู้ที่เปี่ยมไปด้วยคุณธรรมและความสามารถ เซียงซืออวี่เคยช่วยชีวิตเขา ย่อมต้องทำให้หลางฉ่างรู้สึกดีกับเขาได้แน่นอน เมื่อเป็นเช่นนั้น ข้ากับเขาคนหนึ่งอยู่ในที่ลับ คนหนึ่งอยู่ในที่แจ้ง ย่อมร่วมมือกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ”
ซูหลีหอบหายใจ พลางถามว่า “การลักพาตัวเสด็จพี่ในงานชุมนุมไป่จี๋ เหตุระเบิดโรงหล่อ ล้วนเป็นฝีมือของพวกเจ้าใช่ไหม? พวกเจ้ายังทำอะไรลงไปอีกบ้าง?”
จั้นอู๋จี๋กระดกคิ้วอย่างย่ามใจ “ถูกต้องแล้ว ตอนนั้นข้าเดาว่าเซี่ยหมิงหยางถูกหลางฉ่างพาตัวไปที่แคว้นติ้ง ฉะนั้นจึงได้มุ่งหน้าไปสืบหาเบาะแส หลังจากนั้นเซี่ยอวิ๋นเซวียนก็ปรากฏตัวที่เมืองหลวงแคว้นติ้ง ข้าจึงให้เซียงซืออวี่ไปตีสนิทกับเขา”
เซี่ยอวิ๋นเซวียนหน้าซีด ราวกับไม่อยากเชื่อ เขาพึมพำว่า “ที่เซียงซืออวี่…มาเป็นเพื่อนกับข้า กลับเป็นการแสดงละครอย่างนั้นหรือ? มิน่าเล่าเขาถึงได้เปิดเผยเรื่องการขับพิษของฮ่องเต้แคว้นเฉิงให้ข้ารู้ ที่แท้ก็ตั้งใจยั่วยุให้ข้าไปลอบสังหาร…” พูดมาถึงตรงนี้ เขาก็พลันเงยหน้า “อาจารย์ลุงไม่รู้เรื่องนี้เลย แต่กลับตามข้ามาทีหลัง นั่นก็เป็นฝีมือพวกเจ้าที่แอบเอาเรื่องนี้ไปบอกเขาลับหลัง?! ทำให้เขาต้องมาตายแทนข้า!” พูดมาถึงตรงนี้ เขาก็เคียดแค้นจนแทบบ้าคลั่ง ชักกระบี่หมายจะพุ่งไปด้านหน้า
ซูฉุนรีบเข้าไปห้ามเขา “คุณชายเซี่ยอย่าวู่วาม!”
สายตาของเซี่ยอวิ๋นเซวียนเต็มไปด้วยความตกใจระคนเจ็บแค้น เขามองหน้าซูหลี แล้วลดกระบี่ลงด้วยมืออันสั่นเทา เอ่ยด้วยน้ำเสียงรวดร้าว “ข้าเห็นเซียงซืออวี่เป็นเหมือนสหายรู้ใจ เขากลับมีเจตนาร้ายแอบแฝง และทำร้ายข้าอย่างนี้!”
จั้นอู๋จี๋เหมือนกำลังหัวเราะเยาะความไร้เดียงสาของเขา ส่ายหน้าแล้วกล่าวว่า “นั่นเป็นเพียงก้าวแรก หลังจากที่โรงหล่อถูกระเบิด เบาะแสทุกอย่างชี้ไปที่ตงฟางเจ๋อ เซี่ยหมิงหยางก็ยังมาตายด้วยน้ำมือเขาอีก แล้วหลางฉ่างจะทนไหวอีกได้อย่างไรกัน? เมื่อเป็นเช่นนั้น การแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ของทั้งสองแคว้นที่ตงฟางเจ๋อต้องการ ย่อมเป็นไปไม่ได้!”
ซูหลีหลับตา กล่าวว่า “ในเมื่อเจ้าต้องการใช้พลังของแคว้นติ้งมาสู้กับตงฟางเจ๋อ แล้วเหตุใดต้องวางแผนสังหารเสด็จพี่ของข้า?”
ใบหน้าของจั้นอู๋จี๋พลันขรึมลง “เรื่องนี้ต้องโทษเจ้าเซียงซืออวี่นั่น! เริ่มแรกข้ากับเขาก็ยังร่วมมือกันอย่างราบรื่น ทว่าตั้งแต่เขาลักพาตัวองค์หญิง ก็เริ่มหาทางตีตัวออกหาก ไม่ฟังคำสั่งของข้า ต่อมายังคิดจะเป็นราชบุตรเขยของแคว้นติ้งอีก! ตอนแรกข้าก็ยังไม่เข้าใจ องค์หญิงฉางเล่องดงามเพียงใดกันแน่ ถึงได้ทำให้เขาหลงหัวปักหัวปำได้ถึงเพียงนั้น?! นึกไม่ถึงว่าองค์หญิงผู้นั้นกลับเป็นเจ้า!” สายตาของเขาแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชา “ตอนนั้นข้าก็เริ่มรู้สึกแล้วว่ามีบางอย่างไม่ชอบมาพากล จึงลอบส่งคนไปตรวจสอบ นึกไม่ถึงว่าตัวตนที่แท้จริงของเซียงซืออวี่ก็คือตงฟางจั๋ว! หากไม่ใช่เพราะเจ้า เขาก็คงหลอกข้าไปได้ตลอดแล้ว!”
สายตาของซูหลีแปรเปลี่ยนเป็นเจ็บปวด “…เจ้ากลัวว่าเขาจะละทิ้งแผนชั่วเพื่อข้า ถึงได้หันมาวางแผนสังหารเสด็จพี่ของข้า?!”
จั้นอู๋จี๋ส่ายหน้า แล้วทอดถอนใจกล่าวว่า “หลางฉ่างได้ใจราษฎรมากเกินไป หากมีเขาอยู่ แคว้นติ้งก็จะอยู่เย็นเป็นสุข ยากจะก่อความขัดแย้งภายใน ยิ่งไปกว่านั้น เขาคิดจะช่วยให้เจ้ากับตงฟางเจ๋อสมหวัง และพยายามทำทุกทางเพื่อสืบหาข้อมูลเกี่ยวกับเซียงซืออวี่ กระทั่งสืบสาวมาถึงข้าในที่สุด! แล้วข้าจะเก็บเขาไว้ได้อย่างไรกัน! ในเมื่อเขาต้องตายอยู่แล้ว ข้าย่อมต้องทำให้การตายของเขาเกิดประโยชน์มากที่สุด”
หัวใจของซูหลีบีบรัดเจ็บปวด นางเอ่ยเสียงลอดไรฟัน “ฉะนั้นเจ้าถึงได้วางแผนทำให้เขาตายด้วยน้ำมือตงฟางเจ๋อ สร้างความแค้นให้แก่เหล่าขุนนางแคว้นติ้ง ทำให้ทั้งสองแคว้นแตกหักกันอย่างสิ้นเชิง จากนั้นก็ยุยงให้ชนเผ่าหมาป่าโจมตีแคว้นติ้ง ทำให้แคว้นติ้งเราเกิดปัญหาทั้งภายนอกและภายใน เจ้าจะได้เข้ามาฉวยโอกาส…น่าเสียดายที่เจ้าวางแผนสารพัด ทำให้คนมากมายต้องตาย สุดท้ายกลับไม่ได้สิ่งที่ต้องการ!”
จั้นอู๋จี๋จ้องมองสตรีที่ยังคงสุขุมเยือกเย็นตรงหน้า เมื่อนึกได้ว่าแผนการทุกอย่างของเขาต้องพังทลายเพราะนาง ก็พูดด้วยน้ำเสียงเกลียดแค้นว่า “ข้าประเมินตงฟางเจ๋อต่ำไปมากจริงๆ แล้วก็ประเมินเจ้าต่ำไปด้วย นึกไม่ถึงว่าสตรีอ่อนแอเช่นเจ้าจะสามารถปกครองบ้านเมืองได้ ยิ่งนึกไม่ถึงว่าเพื่อแคว้นติ้ง เจ้ากลับยอมปล่อยวางความแค้นส่วนตัว แล้วแต่งงานกับศัตรูที่ทำให้พี่ชายเจ้าตาย! เพราะถึงอย่างไรคนอย่างเจ้า ก็ไม่ได้ยึดติดกับอำนาจ แต่กลับจมปลักกับเรื่องความรู้สึกเสียมากกว่า มิเช่นนั้นในอดีตเจ้าคงไม่ไปจากตงฟางเจ๋อ หรือว่าตอนนั้น เจ้ารู้แล้วว่าข้ายังไม่ตาย?”
“ข้าไม่แน่ใจ” ซูหลีเงยหน้า สายตาเย็นชาดุจหิมะพันปี “แต่ข้าเชื่อตงฟางเจ๋อ”
“เช่นนั้นแล้วอย่างไรเล่า?” จั้นอู๋จี๋ยิ้มอย่างชั่วร้าย “เจ้าเห็นหลางฉ่างถูกระเบิดร่างแหลกเป็นจุณกับตา ย่อมต้องจำฝังใจ หลายปีมานี้ เจ้ากับเขามีความสุขกันดีไหมเล่า?”
ซูหลีจ้องหน้าเขา เงียบงันไม่พูดอะไร ในดวงตากลับมีเปลวเพลิงลุกโชติช่วง
รอยยิ้มแฝงเจตนาร้ายปรากฏบนใบหน้าของจั้นอู๋จี๋ “ถ้าหากข้าบอกเจ้าว่า…ความจริงหลางฉ่างไม่ได้ตายด้วยน้ำมือเขาเล่า เจ้าจะว่าอย่างไร?”
นัยน์ตาของซูหลีพลันหดเล็กลง นางกำหมัดแน่น
จั้นอู๋จี๋กล่าวด้วยน้ำเสียงสะใจ “ระหว่างทางไปโรงเตี๊ยมข้าสังหารเขาไปแล้ว จากนั้นก็อ้างชื่อเขายกเลิกนัดหมายกับตงฟางเจ๋อ แล้วเช่าโรงเตี๊ยมแห่งนั้น จากนั้นก็เอาร่างเขาแขวนไว้ด้านหลังประตู รอให้พวกเจ้ามาทีละคนๆ! ในเมื่อข้ารู้แล้วว่าเซียงซืออวี่ก็คือตงฟางจั๋ว ย่อมไม่อาจปล่อยเขาไปได้! ก่อนหน้านั้นข้าจงใจเปิดเผยแผนการบางส่วนให้ตงฟางจั๋วรู้ เขาเป็นห่วงเจ้าถึงเพียงนั้น ย่อมไม่อาจนิ่งดูดาย สุดท้ายข้าก็ล่อตงฟางเจ๋อมา…”
เขาจงใจหยุดพูดไปครู่หนึ่ง แล้วมองสีหน้าโกรธแค้นของทุกคนอย่างพึงพอใจ รอยยิ้มชั่วร้ายบนใบหน้ายิ่งกว้างขึ้น “ครั้นประตูใหญ่ของโรงเตี๊ยมถูกปิด เรือนมังกรล้อมถูกล้อมอย่างแน่นหนา หากตงฟางเจ๋อต้องการบีบให้ตงฟางจั๋วเผยตัว ก็ต้องโจมตีด้วยไฟเท่านั้น! ขอเพียงธนูไฟยิงขึ้นมาที่ชั้นสาม ประตูก็จะเปิดออกเอง ทุกคนก็จะได้เห็นหลางฉ่างตายด้วยน้ำมือตงฟางเจ๋อ! แต่…ไม่มีใครรู้ว่า หลางฉ่างตายไปนานแล้ว ร่างที่ระเบิดในตอนนั้น เป็นแค่ศพของเขาเท่านั้น ฮ่าๆๆๆๆ!”
…………………………