กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - บทที่ 66.2 ตอนอวสาน (2)
คนอื่นคลอดลูกต่างกรีดร้องเสียงดังสะท้านฟ้าสะเทือนแผ่นดิน แต่ซูหลีกลับเงียบกริบไร้เสียง
ขุนนางทั้งหลายที่ยืนออกันตรงปากหุบเขาต่างลนลานเหมือนฝูงมดบนกระทะร้อน หยางเซียวเดินกลับไปกลับมาอยู่ที่เดิม เป็นครั้งแรกที่เขาไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรดี เขาไม่อาจทำอะไรได้ ในขณะที่นางเจ็บปวดเจียนตาย
หลีเฟิ่งเซียนกำหมัดทั้งสองข้างแน่น เขาจ้องหินขนาดใหญ่ก้อนนั้นที่อยู่อีกฟากหนึ่งของสระน้ำด้วยสายตาเป็นกังวล นึกถึงซีจินที่ต้องคลอดลูกขณะหลบหนีการไล่ล่าในอดีต ยามนี้ซูซูเองก็ต้องเผชิญหน้ากับวิกฤติเช่นเดียวกัน เขาเป็นบิดาแต่กลับช่วยอะไรไม่ได้ ลึกๆ ในใจรู้สึกทรมานจนไม่อาจบรรยาย
ช่วงเวลาแห่งการรอคอยนั้นแสนจะทรมาน แม้แต่จั้นอู๋จี๋ที่นั่งอยู่บนก้อนหินสูงก็ยังอดรู้สึกกระวนกระวายไม่ได้ ผิวน้ำในสระน้ำแข็งสงบนิ่งไม่ไหวติง เขาเริ่มรู้สึกไม่สบายใจ หันไปมองกลุ่มคนที่อยู่ด้านล่าง แสยะยิ้มชั่วร้าย แล้วกล่าวว่า “ผ่านไปนานขนาดนี้แล้ว ตงฟางเจ๋อคงตายแล้วกระมัง”
ทุกคนถมึงตาจ้องหน้าเขา โกรธแค้นแต่ไม่กล้าพูดอะไร
จั้นอู๋จี๋กล่าวอีกว่า “เป็นหรือตาย ข้าต้องยืนยันสักหน่อย” เขาหันไปมองหวั่นซิน เซี่ยงหลี และเจียงหยวน “ข้าจำได้ว่าปีนั้นในพระราชวังแคว้นเฉิง พวกเจ้าแข็งแกร่งทรงพลังยิ่งนัก”
เขาหยิบสว่านปลายแหลมขึ้นมาจากกล่องกำมือหนึ่ง แล้วขว้างออกไป สว่านปลายแหลมพุ่งแหวกอากาศ ปักเข้าไปในหินขนาดใหญ่ที่อยู่ห่างออกไปเป็นรูปร่างคน จั้นอู๋จี๋มองข้ามสระน้ำแข็งไป “สี่ทูตแห่งเฉินเหมิน แต่ละคนมีทักษะต่างกัน ไม่รู้ว่าผ่านไปหลายปีแล้ว ฝีมือขึ้นสนิมไปแล้วหรือยัง?!”
“อยากจะแก้แค้นหรือ?” เซี่ยงหลีกระดกคิ้ว หางตาแฝงรอยยิ้มดังเช่นในอดีต เขาตวัดสายตาไปที่ฉินเหิง “เหตุใดไม่เริ่มจากคนข้างกายเจ้าก่อนเล่า?”
จั้นอู๋จี๋กล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ยามนี้เขายอมจำนนต่อข้า ย่อมเป็นคนของข้าแล้ว แต่ดีที่เจ้าเตือนข้า เพื่อนร่วมสำนักที่หักหลังกัน ไม่อาจปล่อยผ่านไปได้ ในเมื่อเป็นเช่นนั้น…” เขาหันไปมองฉินเหิง ฉินเหิงจ้องหน้าเขากลับอย่างเย็นชา สายตาเริ่มมีแววหวาดระแวง แต่กลับไม่พูดอะไร จั้นอู๋จี๋ยิ้มแล้วกล่าวว่า “มิสู้พวกเรามาเล่นเกมกันดีกว่า”
หวั่นซินขมวดคิ้ว “เจ้าคิดจะทำอะไร?”
จั้นอู๋จี๋สั่งคนให้หยิบธนูมา แล้วชี้ไปที่สว่านปลายแหลม “พวกเจ้าสามคน ส่งใครคนใดคนหนึ่งไปยืนหน้าหินก้อนนั้น เจ้ากับข้าหยิบธนูขึ้นมา ขอเพียงยิงถูกสว่านปลายแหลมที่ปักอยู่รอบตัวคน ทำให้ปลายสว่านเจาะเข้าไปในหินก็จะถือว่าชนะ แต่ถ้าไม่ ก็จะถือว่าแพ้”
หวั่นซินหันไปมองสว่านปลายแหลมรูปคน แล้วเอ่ยเสียงเย็น “แพ้แล้วอย่างไร ชนะแล้วอย่างไร?”
จั้นอู๋จี๋หันไปมองสระน้ำแข็งแวบหนึ่ง “ตงฟางเจ๋อกระโดดลงไปตั้งนานก็ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น ถ้าหากใครแพ้ ก็ให้ส่งคนฝ่ายตนเองลงไปดูหน่อย ว่าเขาตายแล้วหรือยัง”
ทุกคนหน้าเปลี่ยนสี อากาศหนาวเย็นถึงเพียงนี้ หากลงไปในสระน้ำแห่งนั้นจะยังมีชีวิตรอดกลับขึ้นมาได้อย่างไรกัน?
หยวนเซี่ยงคำรามลั่น “จั้นอู๋จี๋ เจ้าเคยเป็นแม่ทัพที่ได้รับความเลื่อมใสจากผู้คนนับหมื่น ชายชุดดำพวกนี้ติดตามเจ้ามานานหลายปี จงรักภักดีต่อเจ้า เจ้ากลับเอาชีวิตของพวกเขามาเดิมพันในเกม เจ้าไม่กลัวพวกเขาจะรู้สึกผิดหวังในตัวเจ้าบ้างหรือ?”
เหล่าชายชุดดำหน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย แต่กลับไม่มีใครพูดอะไร
จั้นอู๋จี๋หัวเราะแล้วบอกว่า “เกมนี้ข้าจะชนะเท่านั้น ไม่มีวันแพ้”
ซูหลีที่อยู่ด้านหลังหินก้อนนั้นได้ยินบทสนทนาของพวกเขา ก็รู้สึกร้อนรนเล็กน้อย นางยังไม่ทันได้คิดอะไรมาก อาการเจ็บท้องก็รุนแรงขึ้น กลืนกินสติสัมปชัญญะของนางไปจนสิ้น
จั้นอู๋จี๋กล่าวด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด “หญิงนางนั้นกำลังอยู่ในช่วงคับขัน หากเกิดอะไรขึ้นในเวลานี้ ก็เท่ากับหนึ่งศพสองชีวิตเชียวนะ”
เซี่ยอวิ๋นเซวียนคำรามเดือดดาล “จั้นอู๋จี๋ เจ้าคนชั่วช้า!”
จั้นอู๋จี๋กล่าวว่า “หยุดพูดมากได้แล้ว ตกลงว่าพวกเจ้าจะแข่งหรือไม่แข่ง?”
หลีเฟิ่งเซียนตะเกียกตะกายลุกขึ้นยืน ซูฉุนรีบเข้าไปประคองเขา หยวนเซี่ยงกลับชิงร้องขึ้นก่อน “ข้าจะแข่งกับเจ้าเอง!”
จั้นอู๋จี๋หัวเราะเสียงดัง เป็นเสียงหัวเราะที่แฝงเจตนาร้าย “ข้ารู้ว่าแม่ทัพหยวนมีฝีมือยิงธนูไม่เป็นสองรองใคร แต่ว่า ข้าต้องการให้สี่ทูตแห่งเฉินเหมินเข่นฆ่ากันเอง เจ้ายุ่งอะไรด้วย?”
เซี่ยงหลีก้าวเท้าออกมา นัยน์ตาดอกท้อพลันปรากฏไอสังหาร “ได้ ข้าจะแข่งกับเจ้าเอง หากข้าแพ้ ข้าจะกระโดดลงไปเอง ไม่จำเป็นต้องลากคนอื่นมาเกี่ยวด้วย”
หวั่นซินมองหน้าเขา ทำท่าจะพูดแต่ก็หยุดไป มือที่กำด้ามกระบี่ซีดขาวเพราะออกแรงมากไป นางสูดหายใจลึกๆ เดินตรงไปยืนหน้าสว่านปลายแหลมรูปคน เจียงหยวนมองหน้าเซี่ยงหลีอย่างร้อนใจ เซี่ยงหลีไม่พูดอะไร แต่กลับดูกังวลเล็กน้อย
เจียงหยวนเอ่ยเสียงเบา “จั้นอู๋จี๋วางแผนให้พวกเราเข่นฆ่ากันเอง เซี่ยงหลี! เรื่องนี้…ไม่ได้เด็ดขาด”
เซี่ยงหลีจ้องหน้าหวั่นซินแน่นิ่ง กัดฟันกล่าวว่า “พวกเรามีทางเลือกอื่นด้วยหรือ?”
ชายชุดดำยื่นคันธนูให้เขา เซี่ยงหลีหยิบธนูน้าวคันศร ลูกธนูพุ่งเฉียดหัวไหล่หวั่นซิน ตอกสว่านปลายแหลมให้แทงลึกเข้าไปในหิน ทุกคนอดกลั้นหายใจด้วยความตกตะลึงไม่ได้ เซี่ยงหลีหันไปมองจั้นอู๋จี๋ “ตาเจ้าแล้ว”
จั้นอู๋จี๋ยิ้มอย่างพึงพอใจ หยิบธนูขึ้นมายื่นให้ฉินเหิง “เป็นหรือตายก็ขึ้นอยู่กับเจ้าแล้ว”
ฉินเหิงรับธนูไป สายตาที่มองหวั่นซินไหวระริกเล็กน้อย เขาหยิบธนูขึ้นมา แล้วยิงไปที่หวั่นซินอย่างรวดเร็ว ลูกธนูที่ดูเหมือนพุ่งตรงไปที่หน้าอกของหวั่นซิน กลับเปลี่ยนทิศในวินาทีสุดท้าย พุ่งถากแขนหวั่นซินไป แล้วปักเข้าไปในก้อนหิน
ทุกคนหวีดร้องด้วยความตกใจ เลือดไหลอาบแขน หวั่นซินมองหน้าเซี่ยงหลีตลอด ไม่กะพริบตาแม้แต่น้อย เซี่ยงหลีหน้าซีด กล่าวด้วยความเดือดดาล “ฉินเหิง! เจ้า! เจ้า…แพ้แล้ว!”
ฉินเหิงโยนธนูทิ้ง แล้วเอ่ยเสียงขรึมว่า “ข้าฝีมือไม่ถึงเอง ขอยอมรับความพ่ายแพ้” เอ่ยจบ เขาก็ก้าวไปที่สระน้ำแข็งทีละก้าวๆ จั้นอู๋จี๋ใบหน้าไร้อารมณ์ หันไปโบกมือให้ชายชุดดำที่ยืนอยู่ด้านข้าง
ชายชุดดำเดินอ้อมไปด้านหลังหินก้อนใหญ่ ไม่พูดพร่ำทำเพลง ลากโม่เซียงออกมา แล้วโยนลงไปในสระน้ำแข็ง โม่เซียงหวีดร้องด้วยความตกใจ ค่อยๆ จมหายไปใต้สระน้ำ
ทุกคนหน้าเปลี่ยนสี ฉินเหิงยืนอึ้ง หวั่นซินหมายจะวิ่งเข้าไป แต่กลับถูกเซี่ยงหลีห้ามไว้ก่อน
จั้นอู๋จี๋กล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ครั้งนี้ข้าโยนเด็กรับใช้ลงไป ข้างในยังมีนายของเจ้าอยู่อีก ครั้งหน้าเกรงว่า…”
หยวนเซี่ยงตวาดด้วยความโกรธแค้น “จั้นอู๋จี๋ เจ้าเองก็เป็นมนุษย์คนหนึ่ง กลับใช้วิธีสกปรกถึงเพียงนี้”
จั้นอู๋จี๋เลิกคิ้ว “ปากหุบเขาเป็นเส้นแบ่งเขตแดน ข้าโยนผิดหรืออย่างไร? ยิ่งไปกว่านั้น สกปรกแล้วอย่างไรเล่า? การทหารย่อมไม่เบื่อหน่ายกลอุบาย”
เจียงหยวนกัดฟันกล่าวว่า “นี่มันไม่เรียกว่าเกมแล้ว เป็นการคร่าชีวิตชัดๆ เจ้าอยากสังหารพวกข้า ก็เอาเลยสิ ไม่จำเป็นต้องทำให้เรื่องวุ่นวายเช่นนี้!”
เซี่ยงหลีพันแผลให้หวั่นซินอย่างรวดเร็ว เห็นฉินเหิงยืนเหม่ออยู่ที่เดิม ก็อดกล่าวด้วยความเดือดดาลไม่ได้ “พวกเราสี่ทูตแห่งเฉินเหมินสังหารคนเช่นผักปลา รู้นานแล้วว่าต้องมีวันนี้ มีความแค้นใดก็มาลงที่ข้าได้เลย”
ฉินเหิงหันไปมองเขา สายตาสับสน กลีบปากขยับเล็กน้อย แต่กลับพูดอะไรไม่ออก
หวั่นซินมองหน้าฉินเหิง แล้วเอ่ยเสียงเย็นชา “เจ้าไม่ฆ่าข้า ก็แสดงว่าเจ้ายังมีหัวใจอยู่ ในอดีตหากมิใช่เพราะฝ่าบาทใช้ความปราดเปรื่องช่วยเหลือพวกเราทุกวิถีทาง พวกเราจะมีวันนี้ได้หรือ?! ข้าไม่หวังว่าเจ้าจะช่วยฝ่าบาทให้พ้นจากอันตราย แต่เจ้าไม่ควรทำร้ายนาง!”
ฉินเหิงหน้าซีด ไม่พูดอะไรสักคำ เพียงหมุนกายออกเดิน
หยางเซียวหยิบธนูไป ยืนประจันหน้ากับจั้นอู๋จี๋อยู่คนละฝั่งน้ำ ดวงหน้าหล่อเหลาฉาบไว้ด้วยรอยยิ้มลึกล้ำยากจะคาดเดา “ถึงอย่างไรข้าก็ถือเป็นพี่ชายภรรยาเจ้า หากเจ้าต้องการแก้แค้น ข้าก็ต้องช่วยเจ้า”
จั้นอู๋จี๋แค่นเสียง “หยางเซียว เมื่อครู่ใครกันที่บอกว่าจะสละบัลลังก์ให้ข้า?”
หยางเซียวหัวเราะ “พูดได้ดี หากเจ้าต้องการแคว้นเปี้ยนของข้า ข้าก็ต้องดูก่อนว่าอาหลีกับลูกปลอดภัยหรือไม่”
ยามนี้ใกล้เวลาพลบค่ำแล้ว ดวงตะวันลับขอบฟ้าทิศตะวันตก ก้อนหินขนาดใหญ่ด้านหลังยอดเขาเสวี่ยหลงถูกเงามืดแผ่ปกคลุม เงาร่างกระฉับกระเฉงสายหนึ่งกำลังปีนป่ายอยู่ท่ามกลางเงามืดอย่างเงียบงัน สายตาระมัดระวัง ราวกับกำลังมองหาพญามัจจุราชจากขุมนรกอย่างไรอย่างนั้น
อาการเจ็บท้องของซูหลีถึงจุดสุดยอดแล้ว หากเด็กยังไม่ออกมา นางรู้สึกว่าตนเองทนไม่ไหวแล้ว นางได้แต่มองโม่เซียงจมลงใต้สระน้ำไปต่อหน้าต่อตา นางกุมมือซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยแน่น สายตาเจ็บปวดรวดร้าวยากจะทานทน
ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยเอ่ยเสียงเบา “ฝ่าบาทต้องเข้มแข็งไว้! พวกเราจะแพ้ไม่ได้ แล้วก็จะไม่แพ้ด้วย…”
ความเจ็บปวดจู่โจมเข้ามา ซูหลีหลับตาแน่น นางกัดฟัน แล้วพยายามเบ่งด้วยเรี่ยวแรงทั้งหมดที่มีอีกครั้ง
“ก็ได้ ข้าจะเล่นกับเจ้าสักตา” จั้นอู๋จี๋หยิบธนูขึ้นมา แล้วเล็งไปที่หวั่นซิน เซี่ยงหลียืนบังหวั่นซินทันที เขาจ้องหน้าจั้นอู๋จี๋เขม็ง “คิดจะฆ่านาง ก็ข้ามศพข้าไปก่อน!”
จั้นอู๋จี๋หัวเราะเสียงเย็น ลูกธนูพุ่งตัวออกจากคันศร แหวกอากาศออกไปอย่างรวดเร็ว
ในตอนนั้นเอง หยางเซียวหยิบลูกธนูขึ้นมา และยิงออกไปอย่างไม่รอช้า ลูกธนูสองดอกปะทะกันกลางอากาศ ปลายธนูแหลมคมเบี่ยงทิศ ตกลงไปในสระน้ำแข็งทันที
จั้นอู๋จี๋ลุกขึ้นยืน แล้วตะโกนเสียงดัง “หยางเซียว!”
หยางเซียวยิ้มกว้าง “อย่าเพิ่งโกรธไป เจ้าจะยิงนาง ข้าก็จะยิงนางเหมือนกัน ใครใช้ให้พวกเราสองคนยิงแม่นขนาดนี้เล่า ดันยิงชนกันเสียได้ เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ตานี้ข้ายอมแพ้ เจ้าอยากโยนใครลงน้ำก็ตามใจเลย!”
ครั้นวาจานี้หลุดออกจากปากเขา ทุกคนตื่นตระหนกจนหน้าถอดสี ต่างพากันถอยหลังกรูด หลีเฟิ่งเซียนก้าวเท้าเดินออกมายืนริมสระน้ำอย่างทุลักทุเล ทอดถอนใจแล้วกล่าวว่า “ตลอดชีวิตนี้ของข้า ผ่านศึกมานับครั้งไม่ถ้วน ไม่เคยหวาดกลัวสิ่งใด เรื่องทุกอย่างเกิดขึ้นเพราะข้าทำให้แคว้นหวั่นล่มสลาย วันนี้มีโอกาสได้ใช้หนี้ก้อนนี้ ก็ถือว่าสมดังปรารถนา”
เอ่ยจบ เขาก็ทำท่าจะกระโดดลงไปในสระน้ำ