กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - บทที่ 7 รักถึงขั้นสิ้นหวัง (3)
นอกหน้าต่าง ดวงจันทร์ลาลับ อาทิตย์โผล่พ้น พริบตาเดียวก็ผ่านพ้นไปอีกหนึ่งคืน
ราชสำนักหยุดทำการเนื่องในวันปีใหม่ เรื่องทั้งในและนอกวังล้วนมอบหมายให้หวั่นซินจัดการดูแล ซูหลีมีเวลาพักผ่อนอันหาได้ยากยิ่ง จึงตอบรับคำเชิญของซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ย ออกไปสำรวจความเป็นอยู่ของชาวบ้านในเมืองด้วยกัน
รถม้าค่อยๆ เคลื่อนตัวออกจากพระราชวังติ้ง มุ่งหน้าสู่ทิศตะวันออก ผ่านถนนในเมืองอันพลุกพล่านไปด้วยผู้คน โม่เซียงแหวกม่านหน้าต่างรถม้า มองออกไปข้างนอกด้วยความอยากรู้อยากเห็น แล้วจู่ๆ ก็ร้องขึ้นอย่างสงสัย
ซูหลีอดหันไปมองตามสายตานางไม่ได้ เห็นเพียงบนพื้นมีถุงเงินสีแดงตุงๆ หล่นอยู่หนึ่งถุง ไม่รู้ผู้ใดทำหล่นไว้ ผู้คนที่สัญจรผ่านไปผ่านมาพากันเดินหลบเลี่ยง กลับไม่มีผู้ใดเก็บขึ้นมาสักคน
ยามนี้เอง เด็กหนุ่มสวมอาภรณ์หรูหราคนหนึ่งเดินก้มหน้าหาของบนพื้นมาพร้อมกับเด็กรับใช้ ครั้นเห็นถุงเงินถุงนั้นก็ยิ้มอย่างดีใจ “ตกอยู่ที่นี่จริงๆ ด้วย! คราวนี้ก็ไม่ต้องกลัวว่าจะถูกท่านแม่ตำหนิแล้ว” เขาก้มหยิบถุงเงินขึ้นมาแล้วยัดเก็บในอกเสื้อ ท่าทางดีอกดีใจยิ่งนัก
ตั้งแต่ย้ายเมืองหลวง ซูหลีก็มัวแต่ยุ่งอยู่กับงานราชการ ไม่มีโอกาสมาสำรวจเมืองหลวงแห่งนี้สักครั้ง เคยได้ยินแต่เหล่าขุนนางพูดถึง ว่าภายใต้การปกครองของนาง แคว้นติ้งกลับมาเจริญรุ่งเรืองอย่างไรบ้าง ราษฎรอยู่เย็นเป็นสุข ถึงขนาดกลางคืนไม่ต้องปิดบ้าน ไม่ก้มเก็บของที่ตกอยู่ข้างทาง นางได้ยินเช่นนั้นก็คิดเพียงว่าเหล่าขุนนางยกยอเกินจริง วันนี้ได้มาเห็น กลับเป็นดังที่เหล่าขุนนางกล่าวจริงๆ ซูหลีอดไม่ได้ที่จะรู้สึกปลื้มใจ
บ้านเมืองสงบสุข มั่งคั่งร่ำรวย วิญญาณของเสด็จพ่อและเสด็จพี่ที่อยู่บนสวรรค์ คงไม่ผิดหวังในตัวนางแล้วกระมัง?
ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยยื่นรายการของขวัญให้นาง ยิ้มแล้วกล่าวเสียงนุ่มนวล “ฝ่าบาท เช้าวันนี้กรมพิธีการของแคว้นเฉิงส่งกล่องเงิน แล้วยังส่งของขวัญชดเชยแทนคำขอโทษมาให้จำนวนมาก เห็นได้ว่าฮ่องเต้แคว้นเฉิงให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มาก…นี่เป็นรายการของขวัญ ทอดพระเนตรดูสิเพคะ”
แม้ว่าซูหลีเคยขอร้องครั้งแล้วครั้งเล่า ว่ายามอยู่ลำพังให้ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยเรียกนางว่า ‘ฉางเล่อ’ เช่นเดิม แต่ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยคิดว่าซูหลีขึ้นครองราชย์แล้ว หากจะให้เรียกขานด้วยยศองค์หญิงอีก ดูจะไม่เหมาะสม จึงเรียกขานนางว่าฝ่าบาท ดังเช่นที่ขุนนางอื่นทำกัน
อดีตเคยเป็นสหายรัก ยามนี้มีบทบาทของกษัตริย์และขุนนางเพิ่มขึ้นมาอีก แม้การเรียกขานเปลี่ยนไป แต่กลับไม่เคยห่างเหินกันเพราะเหตุนี้ ตรงกันข้าม ยิ่งรู้จักกันนานเท่าใด สายสัมพันธ์ก็ยิ่งลึกซึ้งมากขึ้น
ซูหลีเปิดอ่านดู ก็อดไม่ได้ที่จะลอบอุทาน จำนวนเงินชดเชยมากมายเกินจินตนาการ นางครุ่นคิดเล็กน้อย แล้วเอ่ยเสียงเรียบว่า “ส่งคืนกลับไปครึ่งหนึ่ง บอกไปว่าฝ่ายเราขอรับไว้ด้วยใจ เทียบกับของขวัญชดเชย ข้าใส่ใจเรื่องที่ว่าผู้ใดคอยวางแผนอยู่เบื้องหลังมากกว่า”
ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยกล่าวว่า “เรื่องนี้ ได้ยินว่าอัครเสนาบดีซูได้รับมอบหมายให้ตรวจสอบ คิดว่าอีกไม่นานคงได้คำตอบ”
ซูหลีพยักหน้าเล็กน้อย ตงฟางเจ๋อมอบหมายเรื่องนี้ให้ซูเซียงหรูจัดการ ถือเป็นการตัดสินใจที่ชาญฉลาด แม้ซูเซียงหรูจะไม่ได้มีความเกี่ยวข้องทางสายเลือดกับซูหลี แต่กลับมีบุญคุณที่ชุบเลี้ยง ชาวโลกรู้ดี ซูหลีถือกำเนิดมาจากจวนอัครเสนาบดี ซูเซียงหรูกับนางแม้จะห่างเหินกันอีกเพียงใด แต่เขาก็ไม่เคยอยากให้สองแคว้นต้องมาบาดหมางกันเพราะเรื่องนี้
ครั้นนึกถึงเหตุการณ์วุ่นวายมากมายในงานเลี้ยงคืนส่งท้ายปีเก่า ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยยังอดหวั่นใจไม่ได้ นางกล่าวอย่างกังวล “สามปีมานี้ เสี่ยวหมานไม่เคยยอมพบหน้าผู้ใด จู่ๆ เมื่อวานกลับไปร่วมงานเลี้ยงได้ ข้ารู้สึกไม่สบายใจตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว แต่จะบอกให้นางกลับตำหนักต่อหน้าคนอื่นก็ไม่ได้ สุดท้ายก็กลายเป็นเรื่องใหญ่จนได้”
ครั้นได้ยินนางเอ่ยถึงฮั่วเสี่ยวหมาน สายตาของซูหลีหม่นหมองลงเล็กน้อย นางกล่าวด้วยน้ำเสียงสับสน “ข้าเองก็นึกไม่ถึงว่านางจะมา อวิ๋นฮุ่ย หากเจ้ามีเวลาก็ไปเยี่ยมนางบ่อยๆ ด้วยเล่า ได้ยินว่าเมื่อคืนนางนั่งเฝ้าป้ายวิญญาณของเสด็จพี่อยู่ในห้องโถงซีฝอทั้งคืนอีกแล้ว หากเป็นอย่างนี้ไปนานวันเข้า ข้ากลัวว่านางจะทนไม่ไหว เจ้าเองก็รู้ นางไม่อยากเห็นหน้าข้า ไม่ว่าข้าจะพูดอะไร ก็รังแต่จะทำให้นางทุกข์ใจยิ่งกว่าเดิม”
ฮั่วเสี่ยวหมานฉวยโอกาสดื่มสุราจนเมาและอาละวาดต่อหน้าธารกำนัล เอ่ยวาจาและประพฤติตนไม่สมควร นางกลับไม่ตำหนิสักคำ มีเพียงความเป็นห่วงและกังวล ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยพลันรู้สึกเศร้าโศก รีบรับคำแล้วกล่าวว่า “หม่อมฉันทราบแล้วเพคะ แต่ทว่า…ฝ่าบาทอย่ามัวแต่ห่วงผู้อื่น หลายปีมานี้พระองค์อดทนและผ่านมันมาอย่างยากลำบากเพียงใด ไม่มีผู้ใดรู้ดีไปกว่าหม่อมฉัน ครั้งนี้นางทำเกินไปจริงๆ! แม้ฮ่องเต้แคว้นเฉิงจะไม่ใส่ใจวาจาขาดสติของนาง แต่เกรงว่ายามนี้เหล่าขุนนางแคว้นเฉิงคงกำลังวางแผนกันอยู่ว่า หลังจากฟื้นฟูราชสำนักจนมั่งคงแล้ว จะเกลี้ยกล่อมให้ฮ่องเต้แคว้นเฉิงแต่งตั้งสนมอย่างไร”
“เรื่องนี้แหละที่เป็นจุดประสงค์ของนาง” ซูหลีกล่าวด้วยน้ำเสียงสุขุม “บางทีนางอาจคิดว่า ขอเพียงตงฟางเจ๋อแต่งตั้งสนม ข้าจึงจะสามารถตัดขาดจากเขาได้อย่างแท้จริง นางไม่เชื่อใจข้า และกลัวว่าข้าจะลืมการตายของเสด็จพี่”
ถึงแม้จะผ่านไปสามปีแล้ว แต่ทุกครั้งที่เอ่ยถึงการตายของหลางฉ่าง สายตาของนางก็เต็มไปด้วยความเจ็บปวด
ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยปวดใจ อดกุมมือนาง แล้วเอ่ยปลอบใจไม่ได้ “ฝ่าบาททรงคิดมากเกินไป ทุกอย่างไม่ใช่ความผิดของพระองค์ พระองค์ไม่ได้ทำผิดต่อนาง แล้วก็ไม่ได้ทำผิดต่อผู้ใดด้วย ปีนั้นหากไม่ได้พระองค์ที่ทุ่มเทกำลังช่วยแคว้นติ้งให้พ้นจากวิกฤติ จึงปกป้องบ้านเมืองที่พี่ชายรักที่สุดเอาไว้ได้…ดวงวิญญาณของเขาบนสรวงสวรรค์ จะต้องภูมิใจในตัวพระองค์อย่างแน่นอนเพคะ!”
ซูหลีหลับตาเบาๆ เงียบงันไม่พูดจา
ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยขอบตารื้น เหตุการณ์เมื่อสามปีที่แล้ว ทำให้ทุกคนเจ็บปวดทุกข์ทรมาน และคนที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุด ก็คือซูหลี ยามรู้จักกันแรกๆ นางสดใสร่าเริง ความสามารถไม่ธรรมดาถึงเพียงนั้น ยามนี้กลับ…
ลึกๆ ในใจอดเป็นห่วงไม่ได้ นางถอนหายใจแล้วกล่าวว่า “แต่ถึงแม้เสี่ยวหมานไม่ก่อเรื่องเมื่อวาน เกรงว่าเหล่าขุนนางแคว้นเฉิงก็ต้องหาวิธีพูดเกลี้ยกล่อมให้ฮ่องเต้แคว้นเฉิงแต่งตั้งสนมจนได้ การที่พระองค์…กับเขาเป็นอย่างนี้ต่อไป ไม่ใช่แผนการในระยะยาวที่ดีนัก”
ซูหลีหลุบตาต่ำ ผ่านไปครู่หนึ่งจึงเอ่ยว่า “หากเป็นอย่างนั้นได้จริงๆ ก็อาจไม่ใช่เรื่องเลวร้าย”
ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยกลุ้มใจทันที นางอดย้อนถามไม่ได้ “หรือพระองค์ไม่เชื่อใจเขา?”
เงียบงันไปเนิ่นนาน ซูหลีเงยหน้าเล็กน้อย ในดวงตาไร้ซึ่งชีวิตชีวา นางกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “เดิมทีเขาก็ไม่ควรยึดมั่นถึงเพียงนี้อยู่แล้ว กลับตัวตั้งแต่แรก จะได้ไม่เสียเวลาไปทั้งชีวิต หากเขาแต่งตั้งสนม ข้าต้องอวยพรด้วยความยินดี และคืนอิสระให้เขาแน่นอน”
ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยตกตะลึง หันไปมองหน้ากับโม่เซียง ชั่วขณะหนึ่งกลับไม่รู้จะตอบโต้อย่างไร
รถม้าวิ่งมาจนถึงทิศตะวันออกของเมือง วันนี้เป็นวันแรกของปีใหม่ ตลาดการค้าเสรีของสองแคว้นมีผู้คนสัญจรเนืองแน่น คึกคักกว่ายามปกติ รถม้าและผู้คนเมื่อเคลื่อนผ่านบริเวณนี้ก็ต้องพากันชะลอความเร็วอย่างไม่รู้ตัว ชาวบ้านสองแคว้นเจรจาปราศรัยกันอย่างถ้อยทีถ้อยอาศัย บรรยากาศในตลาดเต็มไปด้วยมิตรภาพ
พวกซูหลีเดินลงจากรถม้า เดินทอดน่องไปตามถนนอย่างผ่อนคลาย หญิงสาวทั้งสองพูดคุยกันเรื่องข้อดีข้อเสียหลังจากเปิดการค้าเสรี รวมถึงวิธีการแก้ไขปัญหา โม่เซียงเดินตามหลังพวกนาง ไม่นานก็เดินไปได้เกือบครึ่งถนนโดยไม่รู้ตัวแล้ว ระหว่างทางหากพบของน่าสนใจก็หยุดถามไถ่เป็นระยะบ้าง
“คุณหนู ดูนี่สิเจ้าคะ!” โม่เซียงกระตุกแขนเสื้อซูหลี ยามอยู่ข้างนอก นางจะเรียกซูหลีว่า ‘คุณหนู’ ตามที่ได้รับคำสั่ง
ซูหลีเงยหน้ามอง เห็นแผงลอยขายสินค้าที่ทำจากไม้แผงหนึ่ง สินค้าที่แกะสลักจากไม้หลากสีมีขนาดสั้นยาวต่างกันออกไป บ้างก็ถูกวางไว้ในแนวขวาง บ้างก็ถูกวางไว้ในแนวตั้ง เจ้าของแผงลอยมือข้างหนึ่งถือไม้รูปร่างกลมเกลี้ยง มืออีกข้างถือมีดแกะสลัก เขากำลังแกะสลักตามภาพเหมือนภาพหนึ่งอย่างตั้งอกตั้งใจ
ทั้งสามคนเดินเข้าไปดู เห็นเพียงเจ้าของแผงลอยเพ่งสมาธิ จนไม่รู้ตัวว่ามีคนเดินเข้ามา มือที่ถือมีดแกะสลักเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว เศษขี้เลื่อยร่วงลงมาเป็นระยะ ผ่านไปไม่นาน ไม้รูปร่างกลมเกลี้ยงชิ้นนั้นก็เริ่มมีเค้าโครงของมนุษย์ขึ้นมา
ซูหลีจ้องมองอย่างเหม่อลอย ไม่รู้ว่ากำลังคิดสิ่งใดอยู่
โม่เซียงหัวเราะเสียงเบา “คนผู้นี้ยามแกะสลักช่างดูตั้งใจยิ่งนัก! ไม่รู้ว่ายามฮ่องเต้แคว้นเฉิงแกะสลักให้คุณหนู จะเป็นเช่นนี้เหมือนกันหรือไม่?” หลังจากครุ่นคิดนางก็เอ่ยต่ออีกว่า “ไม่สิ ฮ่องเต้แคว้นเฉิงไม่มีรูปเหมือนของคุณหนู อาศัยแกะสลักจากความจำทั้งสิ้น คงยากกว่าเป็นหลายเท่ากระมัง!”
“แม่นางทั้งสามต้องการแกะสลักรูปเหมือนหรือ?” ได้ยินเสียงคนพูด ชายคนนั้นรีบเงยหน้าเรียกขาน
ซูหลีรีบเก็บงำความคิด แล้วส่ายหน้าเบาๆ
คนผู้นั้นแย้มยิ้มเล็กน้อย “เช่นนั้นแม่นางทั้งสามเชิญตามสบาย หากต้องการอะไรก็ค่อยบอกข้า” เขาก้มหน้าแกะสลักไม้ในมือต่ออย่างตั้งอกตั้งใจ
อวิ๋นฮุ่ยเห็นไม้ตะโกที่ถูกขัดจนขึ้นเงาชิ้นหนึ่งวางอยู่ตรงมุมโต๊ะ ก็อดหยิบขึ้นมาเพ่งมอง แล้วกล่าวอย่างชื่นชมไม่ได้ “ลวดลายละเอียดอ่อน สัมผัสเรียบลื่น เป็นไม้ตะโกชั้นเยี่ยมทีเดียว เจ้าดูสิ” เอ่ยจบก็ยื่นให้ซูหลี
ซูหลีรับมาดู รู้สึกได้ว่าคุณภาพดีเยี่ยม เหมือนไม้ตะโกที่ตงฟางเจ๋อแกะสลักให้นางทุกประการ หัวใจนางสั่นไหวเล็กน้อย ถามออกไปโดยสัญชาตญาณ “ไม้ตะโกชิ้นนี้ราคาเท่าใด?”
เจ้าของแผงลอยยังไม่ทันตอบ เสียงตื่นเต้นดีใจของสตรีก็พลันดังมาจากข้างหลัง “พี่ชาย! ข้าอยากได้รูปสลักไม้ ท่านสลักให้ข้าสักอันได้หรือไม่?”
———————————