กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - บทที่ 9 ตงฟางเจ๋อจัดงานเลี้ยงรวมญาติ (1)
สายตาของซูหลีไหวระริก เงยหน้ามองเขาอย่างประหลาดใจ
ทุกคนเองก็แปลกใจเช่นกัน เซี่ยอวิ๋นเซวียนขึ้นชื่อว่าเป็นคนของสำนักกระบี่เหล็กจากแคว้นเฉิง มีความแค้นกับตงฟางเจ๋อผู้ที่เป็นคนทำให้สำนักของเขาล่มสลาย สามปีก่อน ฮ่องเต้หญิงขึ้นครองราชย์ ได้เชิญซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยให้มาช่วยเหลืองานในราชสำนักก่อน จากนั้นก็เชิญคนผู้นี้ให้เข้ามารับตำแหน่งในกองทัพ ทำหน้าที่สร้างอาวุธให้กับกองทัพแคว้นติ้ง สามปีมานี้ เขาตั้งใจค้นคว้าและสร้างอาวุธ น้อยครั้งนักที่จะเข้าท้องพระโรง อาวุธทุกชิ้นที่ถูกสร้างด้วยน้ำมือเขาล้วนประณีตและใช้งานได้อย่างยอดเยี่ยม ได้รับการชื่นชมอย่างล้นหลาม แม้แต่เสิ่นเจี้ยนอันที่มีสายตาเฉียบแหลมมาโดยตลอดก็ยังชื่นชมเขา
เสิ่นเจี้ยนอันประหลาดใจ ขมวดคิ้วกล่าวว่า “ความสุขทั้งชีวิตของสตรีย่อมสำคัญ แต่ฝ่าบาทหาใช่สตรีทั่วไปไม่!”
เซี่ยอวิ๋นเซวียนกล่าว “ถูกต้อง สตรีทั่วไปเพียงต้องช่วยเหลือสามี และดูแลบุตรให้ดี ฝ่าบาทกลับต้องแบกรับพระราชภาระอันใหญ่หลวงเช่นการปกครองบ้านเมืองไว้บนพระอังสะ ทุ่มเทแรงกายแรงใจทุกวัน เกรงว่าคงไม่มีสักวันที่บรรทมอย่างผ่อนคลาย…”
“เมื่อนั่งบนตำแหน่งใด ย่อมต้องแบกรับภาระของตำแหน่งนั้น ฝ่าบาทเป็นประมุขแห่งแคว้น ย่อมมีหน้าที่ทำงานเพื่อชาติบ้านเมือง จะกลายเป็นขุ่นเคืองได้อย่างไรกัน?” เสิ่นเจี้ยนอันเอ่ยวาจาเสียดแทง เงยหน้ามองซูหลีอย่างตรงไปตรงมา
เซี่ยอวิ๋นเซวียนยังคิดจะโต้แย้ง แต่ซูหลีกลับห้ามไว้ก่อน นางค่อยๆ ลุกขึ้นยืน กวาดมองเหล่าขุนนางด้วยใบหน้าเกลื่อนยิ้ม ทุกคนต่างพากันก้มหน้าต่ำ มีเพียงเสิ่นเจี้ยนอันที่กระดกคิ้วเล็กน้อย สบตากับนางอย่างไม่เกรงกลัว
ซูหลีกล่าว “แม่ทัพเสิ่นกล่าวถูกต้องแล้ว ในเมื่อข้านั่งอยู่บนบัลลังก์ ก็ย่อมไม่ควรมีเรื่องส่วนตัวให้กล่าวถึงอีกต่อไป ทุกอย่างล้วนยึดบ้านเมืองเป็นหลักสำคัญ! เหล่าขุนนางอันเป็นที่รักทำเพื่อบ้านเมือง ข้าดีใจยิ่งนัก ใต้เท้าเซี่ยเป็นห่วงข้า ข้าเองก็ซาบซึ้งใจยิ่งนัก การหารือในวันนี้ให้จบลงแต่เพียงเท่านี้ ข้าประจักษ์ในความตั้งใจของทุกท่านแล้ว ฮ่องเต้แคว้นเฉิงจะแต่งตั้งสนมหรือไม่ ข้าย่อมรู้ดี ทุกคนกลับไปเถิด อ้อ ใต้เท้าเซี่ยอยู่ก่อน ข้ามีเรื่องจะถามท่าน”
เหล่าขุนนางทูลลา ซูหลีกล่าวเสียงเบา “ไม่มีคนนอก ไม่จำเป็นต้องมากพิธี นั่งเถิด”
ทั้งสองนั่งลง ซูหลีจ้องมองใบหน้าที่ค่อยๆ เงียบขรึมและสุขุมขึ้นตามกาลเวลาของคนตรงหน้า เวลาสามปี ทุกคนล้วนกำลังเปลี่ยนแปลง เซี่ยอวิ๋นเซวียนเองก็เช่นกัน เขาไม่วู่วามเช่นแต่ก่อน และไม่คิดแต่จะแก้แค้นอีกต่อไปแล้ว นับตั้งแต่วันที่เข้ารับตำแหน่ง ราวกับเขาค้นพบเป้าหมายของตนเอง ทุ่มเททุกอย่างเพื่อจะสานฝันยามมีชีวิตของเซี่ยหมิงหยางให้เป็นจริง โดยการสร้างอาวุธอันยอดเยี่ยมขึ้นมา และหวังว่าสักวัน จะสามารถก่อตั้งสำนักกระบี่เหล็กขึ้นมาได้อีกครั้ง
นางแย้มยิ้มเล็กน้อย แล้วเอ่ยว่า “นึกไม่ถึงจริงๆ ว่าท่านจะออกหน้าช่วยพูดแทนเขา!”
เซี่ยอวิ๋นเซวี่ยนขมวดคิ้วกล่าว “ข้ามิได้ช่วยพูดแทนเขา ข้าเพียงแต่ทนเห็นขุนนางพวกนั้นอ้างเรื่องบ้านเมือง แล้วมาบงการชีวิตท่านไม่ได้ พวกเขาทั้งคาดหวังให้ท่านแบกรับภาระหน้าที่อันยิ่งใหญ่ ค้ำจุนบ้านเมืองให้รุ่งเรืองดังเช่นบุรุษคนหนึ่ง แล้วยังคาดหวังให้ท่านดำรงตนเป็นสตรีที่อยู่ในครรลองคลองธรรมอีก พวกเขามีสิทธิ์อันใดกัน?! ความจริงแล้ว แม่ทัพเสิ่นก็พูดถูก เป็นฮ่องเต้เหมือนกัน ตงฟางเจ๋อแต่งตั้งสนมได้ เหตุใดท่านจะแต่งตั้งสวามีไม่ได้เล่า?”
ซูหลีหลุดหัวเราะอย่างกลั้นไม่ไหว “ท่านคิดว่าข้าควรแต่งตั้งสวามีจริงหรือ?”
เซี่ยอวิ๋นเซวียนส่ายหน้า “จะยกเลิกงานแต่ง หรือแต่งตั้งสวามีหรือไม่ ล้วนสมควรเกิดจากความเต็มใจของท่าน ผู้อื่นไม่มีสิทธิ์ก้าวก่าย ข้าเพียงแต่…เพียงแค่คิดว่าตงฟางเจ๋อไม่ใช่คนที่จะยอมให้ผู้อื่นบงการ แต่เขากลับยอมปล่อยให้เรื่องการแต่งตั้งสนมเลยเถิดมาจนถึงขั้นนี้…ได้ยินว่าสองวันมานี้ เขาไปเดินตลาดชมหิมะกับคุณหนูเหลียงทุกวัน…”
“ท่านหมายความว่าพวกเขาอาจกำลังใช้กลยุทธ์ลอบตีเฉินชาง[1]งั้นหรือ?” ซูหลีทอดมองท้องฟ้านอกหน้าต่าง สายตาสงบนิ่ง แต่กลับแฝงไว้ด้วยความเศร้ารางๆ “ข้ารู้ ว่าหลายวันมานี้มีคนมากมายกำลังแอบคาดเดาเงียบๆ ว่าเขายินยอมที่จะคล้อยตามคำเกลี้ยกล่อมของเหล่าขุนนางเอง เพื่อฉวยโอกาสแต่งตั้งสนม ทำให้ทุกคนคิดว่าเขาถูกบังคับ และเลี่ยงคำครหาไปได้…”
เซี่ยอวิ๋นเซวียนกล่าว “แล้วไม่ใช่หรือ?”
ซูหลีหลุบตาเล็กน้อย ไม่ตอบคำถาม ผ่านไปครู่หนึ่ง นางก็ถอนหายใจเบาๆ แล้วเปลี่ยนไปคุยเรื่องงาน “ไม่คุยเรื่องนี้แล้ว ครั้งที่แล้วท่านบอกว่าอาวุธวิเศษยังสามารถดัดแปลงได้อีก ตอนนี้มีความคืบหน้าใดหรือไม่?”
เดิมทีเซี่ยอวิ๋นเซวียนตั้งใจเข้าวังมาด้วยเรื่องนี้อยู่แล้ว ครั้นได้ยินนางเอ่ยถึง ก็รีบปรับสีหน้าเป็นจริงจัง ล้วงภาพร่างออกจากอกเสื้อ แล้วยื่นให้ซูหลีดู
ทั้งสองช่วยกันกางออก ภาพร่างอยู่บนกระดาษรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสขนาดสามฉื่อ รูปหน้าไม้ถูกวาดเรียงรายไว้บนนั้น โครงสร้างซับซ้อน เขาชี้ไปที่โครงสร้างแถวหนึ่งในนั้น แล้วกล่าวว่า “การออกแบบของอาจารย์ลุงละเอียดอ่อนมากแล้ว แต่หลังจากศึกษาอย่างละเอียด ก็ค้นพบว่ายังมีจุดที่แก้ไขได้อยู่อีก ขอเพียงขยับกลไกตรงนี้ขึ้นไปข้างบนสองชุ่น สร้างประสิทธิภาพการเชื่อมต่อสามชั้นกับกลไกแถวบนและแถวล่าง ก็จะสามารถถอดและประกอบหน้าไม้ได้อย่างอิสระ! กลไกทุกจุดเชื่อมโยงกันอย่างแน่นหนา ขอเพียงปลดกลไก ก็จะสามารถทำการยิงได้ทันที สามารถเพิ่มประสิทธิภาพในการรบได้อย่างมหาศาล!” เอ่ยถึงประโยคสุดท้าย สีหน้าของเขาตื่นเต้น น้ำเสียงเต็มไปด้วยความกระตือรือร้น ดวงหน้าเยาว์วัยเต็มไปด้วยพลังอันเปี่ยมล้น
“เยี่ยมยอด!” ซูหลีชื่นชมอย่างจริงใจ นางครุ่นคิด แล้วถามอีกว่า “เช่นนั้นไม่ต้องใช้เหล็กอูจิน[2] ก็สร้างได้อย่างนั้นหรือ?”
เซี่ยอวิ๋นเซวียนกล่าวว่า “ข้าหาเหล็กชนิดหนึ่งที่ใช้แทนเหล็กอูจินได้แล้ว เพียงแต่รัศมีการยิงยังไม่ไกลเท่าที่คาดหวัง ถ้าหาก…” จู่ๆ เขาก็หยุดพูด สายตาหม่นหมองลงเล็กน้อย
ซูหลีถาม “ทำไมหรือ?”
เซี่ยอวิ๋นเซวียนเอ่ยเสียงเครียด “ถ้าหากแคว้นเฉิงมีเหล็กอูจิน รัศมีการยิงน่าจะไกลกว่าตอนนี้ไม่น้อยกว่าสิบเท่า!”
สายตาของซูหลีเองก็หม่นหมองตามไปด้วย นางพับภาพร่าง แล้วถอนหายใจเบาๆ กล่าวว่า “เพียงน่าเสียดายที่เหล็กอูจินเป็นของหายากอยู่แล้ว แล้วยังเป็นหนึ่งในสิบรายการสินค้าที่ห้ามทำการค้าขายกับคนนอกแคว้น เกรงว่าคงจะไม่ได้มาง่ายๆ”
ตอนนั้น เพื่อผลักดันให้สองแคว้นร่วมมือกันสร้างอาวุธวิเศษ นางทุ่มเทแรงกายแรงใจ แต่สุดท้ายกลับล้มเหลว
ซูหลีกล่าวอย่างครุ่นคิด “ตอนนี้ให้สร้างเก็บไว้ใช้ส่วนหนึ่งด้วยวัสดุที่มีไปก่อน ถึงแม้จะยังไม่ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด แต่อย่างน้อยก็ยังดีกว่าธนูทั่วไปมาก ภายหน้าหากสบโอกาสเมื่อใด ข้าค่อยคิดหาทางดูว่าจะหาซื้อเหล็กอูจินมาได้หรือไม่”
เซี่ยอวิ๋นเซวียนพยักหน้า เห็นสีหน้านางเริ่มเหนื่อยล้า ก็ไม่เอ่ยมากความอีก ลุกขึ้นขอตัวทันที
ซูหลีกลับถึงตำหนักซีหวา ก็เห็นโม่เซียงนั่งอยู่บนเก้าอี้ กำลังหยิบปิ่นปักผมอันหนึ่งขึ้นมาเพ่งมอง แล้วยิ้มอย่างเหม่อลอย กระทั่งซูหลีเดินเข้ามาใกล้ก็ยังไม่รู้ตัว
ซูหลีสงสัย จึงอดถามไม่ได้ “ปิ่นปักผมงามยิ่ง ซื้อมาเมื่อใด?”
“ว้าย?!” จู่ๆ นางก็พูดขึ้น โม่เซียงสะดุ้งตกใจ รีบหันไปมองนาง แล้วซ่อนปิ่นปักผมไว้ข้างหลัง “ซื้อ…ซื้อเมื่อสองวันก่อนเพคะ…เหตุใดจู่ๆ ฝ่าบาทก็เสด็จกลับมาเล่าเพคะ? ไม่บอกกล่าวกันสักคำ…” พูดไป นางก็รีบเดินเข้ารับเสื้อคลุมจากมือซูหลี แล้วสั่งให้คนตักน้ำร้อนมา
ซูหลีแช่มือทั้งสองข้างในอ่าง น้ำอุ่นๆ ทำให้นางรู้สึกผ่อนคลายทันที นางเอ่ยถาม “อวิ๋นฮุ่ยยังไม่มาหรือ?”
โม่เซียงนำเสื้อคลุมไปแขวนเสร็จ ก็หันกลับมายิ้ม แล้วกล่าวว่า “เกรงว่าเรื่องหยุมหยิมในกรมพิธีการรั้งตัวนางไว้ อาจมาสายหน่อยกระมังเพคะ”
ซูหลีพยักหน้า โม่เซียงเดินมายืนข้างกายนาง ลอบสังเกตสีหน้านางเงียบๆ แล้วเอ่ยอย่างเป็นห่วง “ได้ยินมาว่าหลายวันนี้ ฮ่องเต้แคว้นเฉิงทรงอยู่กับคุณหนูเหลียงทุกวัน…ถึงแม้จะเป็นเพียงการเดินเล่นชมหิมะ กินข้าวด้วยกัน แต่หากนานไป…เกรงว่าจะมีข่าวลือมากขึ้นเรื่อยๆ…”
ซูหลีหันไปมองนาง โม่เซียงพลันหุบปาก
ซูหลีจ้องหน้านางครู่หนึ่ง “ปิ่นปักผมนั่น เซิ่งฉินให้เจ้ามาหรือ?”
โม่เซียงตกใจ เอ่ยด้วยใบหน้าเขินอาย “พระองค์ทรงทราบได้เช่นไร?!”
ซูหลียิ้มเล็กน้อย กล่าวว่า “วันนั้นข้าเห็นเขาถือปิ่นปักผมไว้ในมืออันหนึ่ง ทำท่าทางลับๆ ล่อๆ ที่แท้ก็จะมอบให้เจ้านี่เอง”
โม่เซียงยกมือปิดหน้าตนเอง แต่กลับไม่อาจปกปิดรอยยิ้มอ่อนหวานที่มุมปากไว้ได้
ซูหลีเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจังเล็กน้อย “เซิ่งฉินอายุมากกว่าเจ้าสิบปี หลายปีมานี้ไม่เคยแต่งงานสักครั้ง ถือว่าเป็นคนที่ซื่อสัตย์ภักดี หากเจ้าชอบเขาด้วยใจจริง ข้าจะหารือกับตงฟางเจ๋อ กำหนดวันแต่งงานให้พวกเจ้า”
โม่เซียงรีบกล่าว “ไม่เพคะ! หม่อมฉันจะไม่ไปจากพระองค์!”
รอยยิ้มพาดผ่านดวงตาซูหลี “หลังจากที่หวั่นซินกับเซี่ยงหลีแต่งงานกัน พวกเขาก็อยู่ข้างกายข้าเสมอมิใช่หรือ”
โม่เซียงรู้สึกอุ่นใจ ใบหน้ากลับมามีรอยยิ้มอีกครั้ง
ยามพลบค่ำ หวั่นซินเข้าวังมาพร้อมกับข่าวหนึ่ง
ฉินเหิงจับตัวคนผู้หนึ่งได้ที่นอกเมือง ในวันที่มีงานเลี้ยงส่งท้ายปีเก่า คนผู้นั้นเคยติดตามเหลียงสือชูเข้าวัง ต่อมาก็หายตัวไปอย่างลึกลับ ยามฉินเหิงพบตัวเขา ก็ตกอยู่ในสภาพกึ่งเป็นกึ่งตายแล้ว
“จากการตรวจสอบของกรมอาญา คนผู้นี้เคยมีสัมพันธ์ใกล้ชิดกับอนุภรรยาของเซียวต้าไน่ หม่อมฉันลอบยืนยันกับท่านทูตจากแคว้นเฉินอย่างลับๆ พบว่าเขาคือคนที่ชี้ทางให้ท่านทูตผิดในวันนั้นเพคะ” หวั่นซินรายงานเรื่องที่สืบมาได้ตามความจริง
ซูหลีเอ่ยเสียงเข้ม “ตอนนี้เขาอยู่ที่ใด?”
หวั่นซินกล่าวว่า “คุกในกรมอาญาเพคะ ได้ยินว่าท่านอัครเสนาบดีซูแห่งแคว้นเฉิงก็สืบสาวมาถึงตัวคนผู้นี้แล้วเช่นกันเพคะ”
ซูเซียงหรูดำเนินการเร็วไม่แพ้กัน ดูท่าเรื่องของขวัญบรรณาการคงจะได้คำตอบในไม่ช้าแล้ว!
ตามคาด ผ่านไปไม่ถึงสองชั่วยาม ตงฟางเจ๋อก็ส่งคนมาเชิญนาง ซูหลีวางฎีกาในมือลง เปลี่ยนชุดแล้วมุ่งหน้าไปทันที
ณ ห้องทรงพระอักษรของฮ่องเต้แคว้นเฉิง ตงฟางเจ๋อนั่งผึ่งผายอยู่บนที่นั่งสูงสุด มีไม้ตะโกสีดำชิ้นนั้นวางอยู่ข้างมือ เบื้องล่าง ซูเซียงหรูที่รายงานผลการตรวจสอบเรื่องของขวัญบรรณาการจบแล้วกำลังรอคำสั่งจากเขา
“ฝ่าบาท ฮ่องเต้แคว้นติ้งเสด็จมาถึงแล้วพ่ะย่ะค่ะ” โจวหลี่เดินเข้ามารายงาน
ตงฟางเจ๋อได้ยินก็เงยหน้า เห็นเพียงซูหลีสาวเท้ายาวๆ เดินเข้ามาในห้อง เสื้อคลุมสีแดงเพลิงบนไหล่บางที่หยางเซียวมอบให้นางบาดตาเป็นพิเศษ
————————————–