กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ - บทที่ 1 ไร้สงครามคุณธรรมในใต้หล้า
สภาพอากาศมืดมนติดต่อกันหลายวัน เมฆดำที่ลอยต่ำอยู่เหนือเมืองทำให้ผู้คนอึดอัดจนหายใจไม่ออก
กลุ่มควันมืดครึ้มปกคลุมเนินเขาห่างไกล ธงผืนใหญ่โบกสะบัดอย่างดุเดือดท่ามกลางสายลม สามารถมองเห็นคำว่า ‘เว่ย’ อันทรงพลังได้อย่างชัดเจน มันเป็นเหมือนเสือที่กำลังเฝ้าดูเหยื่อ พร้อมกระโจนเข้าใส่ได้ทุกเมื่อและกลืนกินผืนดินเบื้องหน้าที่กว้างใหญ่กว่าตัวเองหมื่นพันเท่า ควันจากอาหารลอยอยู่ใต้ธงผืนใหญ่นั้น เหล่าทหารเว่ยกำลังตั้งค่ายหุงข้าว กลิ่นหอมของเนื้อตลบอบอวลไปทั่วทุกพื้นที่
กำแพงเมืองหยางเฉิงที่อยู่ไม่ไกลจากค่ายทหารเว่ยถูกย้อมด้วยสีเลือดจางๆ มีซากศพเกลื่อนกลาดเต็มสนามรบด้านล่าง คลุ้งไปด้วยกลิ่นคาวเลือดและความน่าสังเวช
เหล่าทหารบนประตูเมืองบัดนี้ไร้ซึ่งพลังแล้ว เสื้อเกราะบนตัวแตกหักไม่เหลือชิ้นดี ริมฝีปากแห้งผากจนมีเลือดซึมท่ามกลางสายลมที่พัดหวิว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเห็นเหล่าทหารเว่ยที่อยู่ไกลๆ กำลังกินอย่างอิ่มหนำสำราญรวมถึงกลิ่นหอมของอาหารที่ลอยอยู่ในอากาศแล้ว มันกำลังทำลายจิตตานุภาพของพวกเขาอย่างโหดเหี้ยม ผู้คนทิ้งกองทัพและยอมจำนนต่อศัตรูอย่างต่อเนื่อง
ในเมืองเต็มไปด้วยความเยือกเย็น บนถนนเปล่าเปลี่ยวไร้ผู้คน ลมหนาวที่เจือปนหิมะและน้ำแข็งคำรามออกมาจากในตรอกซอย พื้นดินสะอาดเกลี้ยงเกลา
ภายในห้องขังว่างเปล่า
กลิ่นเหม็นราอบอวลอยู่ในความเย็นอันเปียกชื้น ภายใต้สภาพแวดล้อมเช่นนี้ไฟที่จุดอยู่สองข้างทางนั้นส่องแสงริบหรี่ มันอ่อนแรงจนแทบไม่มีประโยชน์ใดๆ ภายในห้องขังมีเพียงรูระบายอากาศขนาดเท่าฝ่ามืออยู่บนที่สูง มีลำแสงสีขาวเล็ดลอดเข้ามา สามารถเห็นรูปร่างและโครงหน้าของคนภายในห้องขังได้เพียงเลือนลาง
“ท่านหวยจิน! ท่านหวยจินช่วยข้าด้วย!”
เสียงอันแผ่วเบาก้องอยู่ในห้องว่างเปล่า หางเสียงสั่นเครือดังสะท้อนไปมาครั้งแล้วครั้งเล่า เผยให้เห็นความขลาดกลัวของผู้พูดอย่างไม่ต้องสงสัย
คนที่สวมชุดผ้าป่านยืนพิงกองหญ้าอยู่ที่มุมกำแพง มวยผมถูกมัดไว้อย่างหลวมๆ เหนือศีรษะ เศษผมยุ่งเหยิงถูกปล่อยสยายลงมาบดบังครึ่งหนึ่งของใบหน้า ความมืดทำให้สีของเสื้อผ้าบนร่างกายผิดเพี้ยนจนมองไม่ออกว่าเป็นสีอะไร
ชายวัยกลางคนในชุดสูทจีนคุกเข่าอยู่ตรงหน้าผู้ต้องขัง เขาคือเจ้าเมืองแห่งหยางเฉิง — ตวนหยางโหว
แสงที่เล็ดลอดมาจากช่องระบายอากาศส่องอยู่บนตัวตวนหยางโหวสามารถเห็นเหงื่อบนใบหน้าสีขาวได้อย่างชัดเจน เมื่อตวนหยางโหวเห็นว่าคนคนนั้นไม่ขยับเขยื้อน ก้าวไปข้างหน้าด้วยความร้อนรน “ท่านได้โปรดช่วยข้าด้วย!”
ฝุ่นฟุ้งขึ้นมาเนื่องจากการเคลื่อนไหวของเขา มันเต้นรำอยู่ในลำแสงสีขาว ไม่รู้ว่าสุดท้ายมันได้ร่วงลงสู่พื้นหรือว่าโบยบินออกนอกหน้าต่าง
ในที่สุดคนที่พิงอยู่มุมกำแพงก็ขยับตัวเล็กน้อย แววตาที่ชัดเจนมองผ่านผมเผ้าที่กระเซอะกระเซิงไปยังตวนหยางโหว
มันไม่ใช่ดวงตาที่งดงามนัก แต่ว่าแววตานั้นเผยให้เห็นความชาญฉลาดแจ่มชัดซึ่งเป็นที่ชอบใจของตวนหยางโหวแววตาแบบนี้แหละแสดงให้เห็นถึงความสดใสดุจเกล็ดหิมะท่ามกลางความสับสน บ่อยครั้งเมื่อเกิดความตื่นตระหนก เพียงแค่ได้เห็นมันก็จะรู้สึกสงบอย่างประหลาด
คนที่ชื่อว่าท่านหวยจินจ้องเขาเป็นเวลานาน ทันใดนั้นก็หัวเราะขึ้น เสียงแหบแห้งดังขึ้นช้าๆ “แม่งปอดแหกจริงๆ”
แม้ว่าน้ำเสียงแหบแห้ง แต่ก็ยังฟังออกว่านางคือผู้หญิง
อย่าเรียกว่าซ่งหวยจินแค่ก่นด่าเลย เรียกว่าเป็นการยุยงเขามากกว่า แต่ตวนหยางโหวกลับไม่ได้รู้สึกไม่พอใจ ภายใต้สถานการณ์คับขันเช่นนี้ คลื่นโจมตีลูกแรกของกองทหารเว่ยกินเวลาถึงหนึ่งวันหนึ่งคืนเต็มจึงจะถอนกลับร่นไปดุจสายน้ำ เมื่อเหตุการณ์คลี่คลาย เขาจึงมีโอกาสวิ่งมาขอความช่วยเหลือที่นี่
ตวนหยางโหวมองดูนางด้วยความตื่นตระหนก เด็กผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้ามีความชาญฉลาดของกุนซือไม่เป็นสองรองใคร เพียงแต่น่าเสียดายที่เขาดูถูกนางอยู่ในใจตั้งแต่เริ่มต้น ฉะนั้นแม้ว่านางจะช่วยหยางเฉิงผ่านความยากลำบากนับครั้งไม่ถ้วน แต่เมื่อคนที่ถูกกล่าวขานว่า “ไส้ศึก” อยู่เบื้องหน้าแล้ว เขาก็ยังเอาเข้าคุกโดยไม่ลังเล
“ท่านเจ้าเมือง! ในเมืองถูกตัดน้ำตัดอาหารแล้ว!” นายทหารเลือดท่วมตัวคนหนึ่งพุ่งเข้ามาโดยไม่คำนึงถึงสิ่งกีดขวาง ในน้ำเสียงมีความเกรี้ยวกราดและสิ้นหวัง
ซ่งหวยจินเงยหน้ามองดูผู้มาเยือนด้วยความยากลำบาก ภายใต้แสงมืดมนนั้น แยกไม่ออกว่าเสื้อเกราะบนตัวเขาเป็นของนายทหารหรือว่าเป็นของแม่ทัพกันแน่ ใบหน้านั้นเต็มไปด้วยหนวดคราวรกรุงรังเหมือนกอหญ้า บวกกับรูปร่างแข็งแกร่งกำยำ ดูๆ แล้วก็เหมือนกับหมีดำตัวหนึ่ง แต่ว่าซ่งหวยจินก็ยังจำได้ตั้งแต่แวบแรกว่าเขาคือแม่ทัพที่เก่งฉกาจที่สุดของตวนหยางโหวฉีอู่
ตวนหยางโหวแข็งทื่ออยู่ที่เดิม สีหน้าซีดขาว
“ท่านหวยจิน…” ฉีอู่มองไปยังซ่งหวยจิน น้ำเสียงอ่อนแรง ตอนนั้นเขาเชื่อในหลักฐานการเป็นไส้ศึกของนาง ฉะนั้นขณะที่ซ่งหวยจินถูกคุมขังก็ไม่เคยขอความเห็นใจเพื่อนางเลย แล้วเหตุใดเวลานี้จึงมีหน้าไปขอร้องนางได้
แต่เห็นได้ชัดว่าคำพูดของเขาได้เตือนสติตวนหยางโหวตวนหยางโหวดึงสติกลับมา โค้งคารวะให้ซ่งหวยจินต่ำที่สุด ขอร้องอย่างจริงจังอีกครั้ง “ได้โปรดท่านช่วยข้าด้วย!”
ซ่งหวยจินทรุดตัวพิงกำแพงที่มีรอยกระดำกระด่าง ถอนหายใจช้าๆ “เอาเถอะ ท่านมีบุญคุณกับข้า วันนี้ข้าจะไว้ชีวิตท่านเป็นครั้งสุดท้าย คิดเสียว่าเป็นการตอบแทน”
แม้ว่าตวนหยางโหวอ่อนแอไร้ความสามารถและเต็มไปด้วยความสงสัย ถึงจะช่วยนางในตอนนั้นคนอื่นก็ต่างไม่เต็มใจที่จะใช้นาง แต่ตวนหยางโหวกลับให้โอกาสนางในการแสดงความสามารถ ถ้าจะให้โทษก็ต้องโทษที่นางดูคนไม่ออกเอง ไปคว้าเอาดินเหนียวที่ไม่แม้แต่สามารถจะยึดเกาะกำแพงได้! ถ้าจะโทษก็ต้องโทษที่วางไว้ใจความรักผิดไป มอบความจริงใจให้แก่คนคนนั้น และพ่ายแพ้อย่างราบคาบในเงื้อมมือของเขา!
แม้ว่าไม่ได้ทำเพื่อช่วยตวนหยางโหวนางก็ต้องการไปพบหมิ่นฉือผู้หลอกใช้ความรู้สึกของนางจนต้องตกต่ำถึงขั้นนี้ด้วยตัวนางเอง!
“ท่านหวยจินมีแผนการที่จะปกป้องเมืองงั้นเหรอ?” ฉีอู่อดไม่ได้ที่จะถาม
ซ่งหวยจินสำลักกับคำพูดของเขา ทุบหญ้าแห้งบนพื้นอย่างแรง โกรธสุดขีดจนหัวเราะออกมา “ท่านแม่ทัพฉีไร้เดียงสามาได้ตั้งหลายปี ช่างน่าอิจฉาเสียจริง”
นางกล่าวด้วยความเกลียดชัง “พวกท่านเดินหมากไม่ดี จะให้ข้าเก็บกวาดได้อย่างไร? ข้าเป็นเพียงมนุษย์คนหนึ่ง หาใช่เทพเจ้าไม่! กำแพงรอบเมืองหยางเฉิงแข็งแกร่งและสูงใหญ่ แต่รัฐเว่ยก็ยังเลือกที่จะโจมตี เห็นได้ชัดว่าพวกมันล่อหลอกเพื่อสกัดกั้นการรั่วไหล! แม้ข้าจะอยู่ที่นี่แต่ก็ยังรู้ ว่าภายนอกมีคนยอมจำนนต่อทหารเว่ยไม่หยุดหย่อนแน่ ความสัมพันธ์ของหมิ่นฉือกับผู้คนที่นี่ดีกว่าพวกเจ้ามาก ไม่แน่ว่าอีกประเดี๋ยวก็จะมีคนเปิดประตูเมืองให้พวกเขา! กองทัพบุกเข้าเมือง ข้าติดปีกให้พวกท่านดีหรือเปล่า แม่ทัพฉี?”
ซ่งหวยจินร่างกายอ่อนแอ เมื่อพูดยืดยาวในคราเดียวเช่นนี้ก็หายใจหอบไม่หยุด
การประชดประชันอันเฉียบคมทำให้ลูกผู้ชายเลือดร้อนอย่างฉีอู่หน้าแดงก่ำ โชคดีที่อยู่ในที่มืดและใบหน้าล้วนปกคลุมไปด้วยหนวดเครา จึงมองเห็นสีหน้าไม่ชัดเจน
แต่ตวนหยางโหวกลับไม่รู้สึกอับอาย แต่เริ่มรู้สึกหนาวเย็นตั้งแต่ฝ่าเท้า เขาเป็นเพียงเจ้าเมืองตัวเล็กๆ ที่ใช้ชีวิตอยู่อย่างยากลำบากระหว่างรัฐฉินกับรัฐเว่ย กุนซือในบัญชีรายชื่อก็มีไม่มาก มีเพียงซ่งหวยจินกับหมิ่นฉือเท่านั้นที่มีความสามารถแท้จริงในการเรียนรู้ ส่วนคนอื่นล้วนเป็นเพียงพลทหารสุนัขที่ขอข้าวกินไปวันๆ
หมิ่นฉือละทิ้งเจ้านายไปหลบภัยที่รัฐเว่ย คราวนี้เขาเป็นคนโจมตีหยางเฉิงในฐานะกุนซือทางทหาร และเขาก็เป็นคนที่ใช้แผนการแยกตวนหยางโหวกับซ่งหวยจินออกจากกัน หมิ่นฉือในฐานะอดีตหัวหน้ากุนซือของตวนหยางโหวเข้าใจเรื่องกองกำลังกระจายและภูมิศาสตร์ของหยางเฉิงอย่างทะลุปรุโปร่ง และด้วยความช่วยเหลือจากกองทัพที่แข็งแกร่งของรัฐเว่ยแล้ว การโจมตีเมืองหยางเฉิงจึงง่ายดายราวกับพลิกฝ่ามือ
กุนซือชั้นต่ำคนอื่นที่ขอข้าวตวนหยางโหวกินไปวันๆ นั้น ครั้นพวกเขาได้เห็นสถานการณ์ไม่เอื้ออำนวยเช่นนี้ก็เผ่นแนบไปทันที คนเหล่านั้นทำอะไรอย่างอื่นไม่เป็นนอกจากใช้แผน ‘หนี’ ได้อย่างมีศิลปะยอดเยี่ยม หรืออาจกล่าวได้ว่าไปไหนมาไหนอย่างไร้ร่องรอย
“ข้าตายแน่ๆ!” ตวนหยางโหวคุกเข่าอยู่บนฟางด้วยสีหน้าซีดขาว
“ไม่ตายหรอก” ซ่งหวยจินประคองกำแพงลุกขึ้นมาอย่างทุลักทุเล จ้องไปยังฉีอู่ “ประคองข้าที” ตวนหยางโหวได้ยินเช่นนี้ก็รีบลุกขึ้น เอื้อมมือจับนางไว้โดยไม่รังเกียจความสกปรกบนตัวนาง ฉีอู่ก็รีบก้าวเข้ามาประคองอีกข้าง ทั้งสองคนพาซ่งหวยจินออกไป
ซ่งหวยจินขออาบน้ำแต่งตัว แม้ว่าตวนหยางโหวกำลังร้อนใจ แต่ก็ยังสั่งให้คนไปตระเตรียมแล้ว
…
ในห้องโถงหลักอันว่างเปล่า พื้นหินสีฟ้าดำ สองข้างทางมีเสาสีดำที่สามารถโอบได้สองคน ตวนหยางโหวสีหน้าซีดขาวอยู่บนที่นั่งหลัก แต่กลับสงบนิ่งกว่าก่อนหน้านี้มาก
รออยู่ครู่หนึ่ง มือที่วางอยู่บนตักของตวนหยางโหวนั้น บัดนี้มีเหงื่อโชกผ้าซาตินผืนหนาแล้ว เขามองเห็นคนหนึ่งเดินเข้ามาจากประตูหลักช้าๆ
นางสวมเสื้อคลุมแขนกว้างสีเข้ม ผมดกดำเหมือนผู้ชายมัดเป็นมวยอยู่เหนือศีรษะ มีปิ่นหยกเรียบง่ายและงดงามปักอยู่ที่ผม เรือนร่างผอมเพรียวราวไม้ไผ่ เสื้อคลุมถูกลมพัดปลิวเหมือนกับธงที่อยู่ด้านข้าง เนื่องจากการใช้ชีวิตครึ่งเดือนในห้องขัง ทำให้แก้มสองข้างซูบตอบ ใบหน้าซีดเหลือง
รูปลักษณ์ของนางไม่จัดว่าเป็นคนสวย รวมๆ แล้วก็พอดูได้ นางดูธรรมดาจนเมื่อยืนอยู่ในบรรดากุนซือแล้วก็ไม่รู้สึกว่ามีตัวตนนัก แต่หากมองนางให้ดีแล้ว ก็จะพบว่ามีภูมิปัญญาอยู่เบื้องหลังดวงตาแจ่มใสดุจหิมะคู่นั้น
ตวนหยางโหวเดินลงมาจากแท่นที่นั่ง “ท่านหวยจิน เห็นว่าจะเข้ายามดึกแล้ว…เหล่าทหารต่างหิวและเหนื่อยล้า กองทัพเว่ยจะต้องไม่ทิ้งโอกาสดีในการโจมตีแน่”
“เหตุใดจึงไม่รอให้พวกเจ้าหิวตายก่อนแล้วค่อยบุกเข้าเมืองอย่างสงบล่ะ?” ซ่งหวยจินนั่งคุกเข่าลงที่นั่งด้านข้าง ลมหนาวในห้องโถงใหญ่ทำให้นางที่ยังคงมีไข้สูงทนไม่ไหวเล็กน้อย “ข้ารู้จักนิสัยของหมิ่นฉือดี เขาชื่นชมทหารที่สามารถเอาชนะได้โดยไม่ต่อสู้ ถ้ามีวิธีบีบให้ท่านตายได้ เขาก็จะไม่บุกเมือง”
ทหารที่สามารถเอาชนะได้โดยไม่ต่อสู้ นี่คือความตั้งใจอันยิ่งใหญ่ที่สุดที่กุนซือพึงนำออกมาใช้ กลยุทธ์ทั้งหมดจะมีประโยชน์ก็ต่อเมื่อจำเป็นต้องต่อสู้เท่านั้น
“หากเจ้ารัฐเว่ยต้องการจะเอาชนะหยางเฉิงด้วยการจ่ายราคาแพงก็คงสำเร็จไปนานแล้ว ไฉนต้องตกมาถึงมือของหมิ่นฉือด้วย? ฉะนั้นข้าขอทายว่าเขาจะใช้กำลังทหารไม่มาก ข้าได้เตรียมเส้นทางออกจากเมืองไว้แล้ว ท่านพาผู้ติดตามที่เชื่อถือได้ แล้วแอบออกจากเมืองไปยังรัฐฉินในตอนกลางคืน บอกว่าทหารเว่ยโจมตีเมือง ด้วยหยางเฉิงมีกองกำลังน้อย ยากจะต้านทาน ยินดีที่จะอุทิศเมืองให้กับรัฐฉิน ขอเพียงเจ้ารัฐฉินให้ที่พักพิง” ซ่งหวยจินหลุบตาลงพร้อมเอ่ยช้าๆ หยิบหนังแกะผืนหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อ ยื่นให้ตวนหยางโหว”นี่คือแผนที่เส้นทาง”
โชคดีที่นางยังออมมือให้หมิ่นฉือ มิฉะนั้นตอนนี้คงน่าอึดอัดใจจริงๆ
“อย่าเอาคนไปมาก มันจะดึงดูดความสนใจของทหารเว่ย ถ้าหากท่านอาลัยอาวรณ์หญิงงามเหล่านั้น ก็อยู่ที่นี่ร่วมเป็นร่วมตายกับพวกนางเถอะ!” ซ่งหวยจินจ้องเขาพร้อมเอ่ยอย่างชัดถ้อยชัดคำ นางเข้าใจตวนหยางโหวเกินไปแล้ว เขามีพิรุธแต่ว่าจิตใจดี แต่ความเมตตานั้นเป็นจุดอ่อนร้ายแรงในโลกใบนี้
แต่มันก็เป็นเพราะความอ่อนแอนี้ นางจึงมีโอกาสอยู่รอดมาจนถึงปัจจุบัน
ตวนหยางโหวเม้มปากแน่น ราวกับว่าได้ตัดสินใจครั้งใหญ่ก่อนเอ่ยตอบว่า “ได้!”
ซ่งหวยจินไออยู่พักหนึ่ง ตอบด้วยน้ำเสียงแหบห้าวเล็กน้อย “ไปเถอะ”
“ท่านหวยจินไม่ไปด้วยกันรึ?” ตวนหยางโหวเอ่ยด้วยความสงสัย
จนป่านนี้แล้วก็ยังสงสัยนาง ซ่งหวยจินหัวเราะ พูดอย่างเย็นชา “เมื่อไม่มีนกก็ซ่อนธนู เมื่อกระต่ายตายก็ต้มสุนัขกิน คนฉลาดมักจะเตรียมลู่ทางให้ตัวเอง ถ้าหากท่านไม่ต้องการไปก็ไม่มีใครบังคับท่าน!”
เหตุใดซ่งหวยจินถึงไม่ต้องการจะจากไปเล่า แต่ตอนนี้นางเหลือเวลาไม่มากแล้ว นางล้มป่วยเป็นเวลาเจ็ดวันในคุก บัดนี้ไร้ซึ่งพละกำลัง พวกเขาต้องการจะหลบหนี จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะนั่งอยู่บนเกวียนม้าอย่างสะดวกสบาย การเดินทางแสนยาวนานกับหนทางอันขรุขระก็มีแต่ความตายเท่านั้น
เมื่อเปรียบเทียบกับการหลบหนีที่นำไปสู่ความตายอย่างเอน็จอนาถแล้ว นางยอมตายอย่างสง่างามและสงบนิ่งมากกว่า
เสียงฝีเท้าดังขึ้นในห้องโถงใหญ่ ซ่งหวยจินนึกว่าตวนหยางโหวจากไปแล้ว แต่บนบ่ากลับรู้สึกหนักอึ้ง เนื่องจาก
ตวนหยางโหวคลุมนางด้วยเสื้อขนหมาป่าสีขาวตัวนั้น
……………………………