กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ - บทที่ 10 ท่านเข้าใจเรื่องการวางแผนกลยุทธ์หรือไม่
ซ่งชูอีกลับไม่ได้กล่าววอะไรมาก เพียงแต่พูดด้วยภาษาเจ้า “ท่านแม่ทัพอาจจับไข้จากลมหนาวได้”
ภาษาในทุกวันนี้แตกต่างกันทุกสิบลี้ หลายรัฐน้อยใหญ่ สำเนียงภาษายิ่งมีมากไม่สิ้นสุด และที่ซ่งชูอีพูดก็เป็นภาษาหานตาน
หานตานเป็นเมืองหลวงของรัฐเจ้า คำพูดของซ่งชูอีทำให้เหล่าทหารผ่อนคลายลงบ้างเล็กน้อย ถึงอย่างไรนางก็ดูอายุไม่มาก หากพูดภาษาของรัฐเจ้าได้ชัดเจนเช่นนี้ เป็นไปได้มากว่าจะเป็นคนรัฐเจ้า
“แล้วต้องทำเยี่ยงไร?” ทหารนายหนึ่งวิตกกังวลอย่างเห็นได้ชัด
ในยุคสมัยนี้ แม้ลมหนาวก็อาจคร่าชีวิตผู้คนได้ ยิ่งไปกว่านั้นที่นี่คือป่ารกร้าง ถ้าหากมีไข้ล่ะก็ โดยมาก็จะถูกฝังอยู่ที่นี่
“ข้าช่วยเขาได้ แต่ว่าพวกเจ้าต้องสาบานว่าจะไว้ชีวิตของพวกเราสองคน” ซ่งชูอีจำเป็นต้องมั่นใจเพื่อที่จะได้โล่งใจบ้าง ในโลกที่ชีวิตผู้คนไร้ค่าดังต้นหญ้าเช่นนี้ ชีวิตของนางและเจ้าอี่โหลวก็ขึ้นอยู่กับการวาดดาบของทหารเหล่านี้เท่านั้น พวกเขากำลังหลบหนีความตาย จึงมีความเป็นไปได้สูงที่จะฆ่าพวกเขาเพื่อไม่ให้เป็นการทิ้งร่องรอย
เป็นไปตามคาด ทันทีที่ซ่งชูอีเอ่ยขึ้น คนเหล่านั้นก็ลังเลเล็กน้อยก่อนที่จะคุกเข่าลงข้างหนึ่ง และสาบานกับฟ้า
ฝนยิ่งตกหนักทุกที อุณหภูมิลดฮาบ ตอนนี้รู้สึกได้ถึงบรรยากาศของฤดูหนาวได้อย่างชัดเจนแล้ว เมื่อถึงกลางดึก ห่าฝนก็ตกลงมาพร้อมกับก้อนน้ำแข็ง
นายทหารเหล่านั้นแย่งกองฟางไปทั้งหมดเพื่อให้ความอบอุ่นแก่ท่านแม่ทัพของพวกเขา เจ้าอี่โหลวกับซ่งชูอีนั่งกอดตัวเองอยู่หน้ากองไฟ ยังคงเหย็บหนาวจนริมฝีปากกลายเป็นสีม่วง ทนไม่ไหวจนแทบอยากจะพุ่งเข้าไปในกองไฟ
โชคดีที่เจ้าอี่โหลวเก็บฟืนมาไม่น้อย กองไฟจึงไม่ขาดตอน ไม่เช่นนั้นพวกเขาจะต้องหนาวตายเป็นแน่
“นี่! ท่านแม่ทัพเหมือนจะมีไข้แล้ว!” ทหารนายหนึ่งกล่าวอย่างร้อนรน
ซ่งชูอีอยากแสร้งเป็นไม่ได้ยินเหลือเกิน แต่ว่าชีวิตน้อยๆ ของนางอยู่ในมือของผู้อื่นจึงต้องจำยอม ดังนั้นจึงลากขาที่หนาวสั่นเข้าใกล้สถานที่ที่ท่านแม่ทัพนอนอยู่ เอื้อมมือสัมผัสหน้าผากของเขา
ราวกับว่ามีของเย็นสัมผัสตัวแล้วรู้สึกสบายมาก ท่านแม่ทัพพ่นลมหายใจออกแผ่วเบา เข้าใกล้มือของนางมากขึ้น “กระชับกองฟางให้แน่นขึ้น อย่าให้เขารู้สึกหนาวอีก” ซ่งชูอีพูดขึ้นแล้วให้เจ้าอี่โหลวหยิบมาฮวงจำนวนหนึ่งออกมา ใส่หม้อต้มน้ำให้เดือด
ซ่งชูอีเห็นว่าพวกเขารีบถอดเสื้อเกราะเพื่อห่มให้กับท่านแม่ทัพ ดึงเจ้าอี่โหลวห่างมาจากพวกเขาเล็กน้อย กระซิบด้วยภาษาฉี “หลังจากเขาดื่มยานี้แล้ว ไข้หนาวอาจยังไม่หาย อีกประเดี๋ยวเจ้าหาจังหวะไปเก็บข้าวของ ทันทีที่ฟ้าสางพวกเราก็หาโอกาสหนีกัน”
เจ้าอี่โหลวเห็นว่าซ่งชูอีแก้สถานการณ์เฉพาะหน้าได้ดี ไม่เพียงเข้าใจขบวนทหาร ยังพูดภาษาฉีและภาษาเจ้าได้ ในใจไว้ในนางเป็นอย่างยิ่ง ฉะนั้นเมื่อซ่งชูอีบอกว่าจะหนี เขาก็รับปากโดยไม่ลังเลแล้ว
สองคนกลับไปที่ข้างกองไฟ ซ่งชูอีขอผ้าจำนวนหนึ่งจากพวกทหารอีกครั้ง หลังจากทำผ้าให้เปียกด้วยน้ำฝนแล้วก็บิดให้แห้งเล็กน้อย วางลงบนหน้าผากของท่านแม่ทัพ
ครั้นมาฮวงต้มเสร็จแล้ว นางทิ้งให้มันเย็นลง แล้วยกไปให้นายทหาร ให้พวกเขาป้อนท่านแม่ทัพ
เจ้าอี่โหลวทำตามความต้องการของซ่งชูอี เข้าไปในป่า นำวัชพืชผูกกันเป็นเชือก มัดรวมอาหารที่ซ่อนไว้ทั้งหมดแล้ววางไว้ตรงนั้น รอจนกระทั่งหลบหนีผ่านทางนี้ก็สามารถนำติดมือไปได้อย่างง่ายดาย
ไม่ช้า ฟ้าก็ค่อยๆ สว่างขึ้น ฝนเริ่มซาลงบ้างแล้ว แต่ว่าอุณหภูมิกลับหนาวเหน็บลงเรื่อยๆ อากาศที่เย็นยะเยือกราวกับมีดบาดเนื้อจนทำให้รู้สึกเจ็บปวด
สิ่งที่ทำให้ซ่งชูอียินดีก็คือ ท่านแม่ทัพท่านนั้นไข้ลดลงและอาการก็ฟื้นตัวบ้างแล้ว แต่นี่ก็ยังไม่สามารถรับประกันชีวิตของนาง หากแต่อย่างน้อยก็ยังปลอดภัยชั่วคราว เพราะว่าพวกเขายังต้องการให้นางรักษาอาการไข้ของท่านนายพลต่อ
คำพูดที่ว่าความโชคร้ายในโชคดีนั้น ปลอดภัยก็นับว่าปลอดภัยแล้ว แต่ว่านายทหารเหล่านั้นเฝ้าซ่งชูอีไม่คลาดสายตา แทบจะไม่อนุญาตให้ปลีกตัวไปได้แม้แต่ครึ่งก้าว แม้แต่เวลาที่นางถ่ายเบาก็จะต้องตามไป แผนการหลบหนีเห็นทีจะกลายเป็นฟองอากาศไปเสียแล้ว
ครั้นใกล้เที่ยง ทหารสองนายขึ้นภูเขาเพื่อดูว่ามีทหารไล่ตามมาหรือไม่ พร้อมกับหาอาหารตามทางด้วย
ตั้งแต่ที่ท่านแม่ทัพท่านนั้นตื่นขึ้นก็พิงอยู่ที่กำแพง หลุบตาลง เม้มริมฝีปากแน่น ขากรรไกรล่างเกร็งตึง ราวกับรูปปั้นครึ่งตัว ไม่ขยับเขยื้อนเลย ขณะที่มีคนยื่นยาให้เขาจึงยื่นมือรับและดื่มจนหมดถ้วย
ซ่งชูอีคิดในใจ หรือว่ากำลังคิดว่าเหตุใดตนจึงไร้ประโยชน์ถึงเพียงนี้ มีคนมากกว่าเท่าตัวแต่ก็ยังพ่ายแพ้?
มองดูรูปร่างกำยำและใบหน้าที่เหล่อเหลาของท่านแม่ทัพ ซ่งชูอีแอบดูถูกในใจ “อย่าตัดสินคนที่ภายนอก” นั้นจริงแท้ หน้าตาดีแล้วมีประโยชน์อะไร สุดท้ายก็ยังเป็นไอ้ทึ่ม!
ฝนที่ด้านนอกค่อยๆ หยุดแล้ว คนที่ไปหาอาหารยังไม่กลับมา ซ่งชูอีง่วงจนไม่สามารถลืมตาได้อีกแล้ว มองดูฟางที่อยู่ใต้ก้นของท่านแม่ทัพ สีหน้ามีความปรารถที่จะเข้าไปหาเหลือเกิน แต่ด้วยผมเผ้าที่ปิดบังใบหน้าเอาไว้ ทำให้มิอาจล่วงรู้ถึงความคิดของนาง
ท่านแม่ทัพสังเกตเห็นแววตาของนาง หันหน้ามาเล็กน้อย พูดด้วยเสียงแหบแห้ง “มานี่สิ”
ซ่งชูอีเขยิบเข้าไป นั่งยองๆ อย่างเป็นธรรมชาติอยู่บนหญ้าแห้ง ฝังเท้าข้างหนึ่งเข้าไป แล้วกล่าวอย่างนอบน้อม “ท่านแม่ทัพมีคำสั่งใด?”
“เจ้ามีชื่อว่าเยี่ยงไร?” ท่านแม่ทัพหลุบตาลงมองการกระทำของนาง ซึ่งแตกต่างจากการไตร่ตรองอย่างจริงจังเมื่อครู่ ดวงตาของเขาราวกับเปื้อนรอยยิ้ม
ซ่งชูอียุ่งกับการคลุมเท้าตัวเองจึงไม่ได้สังเกตเห็น อีกทั้งผู้ที่มีสถานะต่ำต้อยมิอาจสบตากับผู้สูงส่งโดยตรง ในสมองของนางครุ่นคิดอย่างรวดเร็ว ตัดสินใจจะคบค้าสมาคมกับท่านแม่ทัพงี่เง่าท่านนี้ จึงตอบไปตามความจริง “ซ่งชูอี ชื่อรองหวยจิน”
“มีชื่อรองด้วยรึ?” ท่านทัพประหลาดใจเล็กน้อย แต่ก็กลับมาเป็นปกติอย่างรวดเร็ว กล่าวพร้อมพยักหน้า “หวยจินว่ออวี๋ ชื่อดี!”
นิ่งไปครู่หนึ่ง เขาก็ถามขึ้น “เจ้ารู้ไหมว่าข้าคือใคร?”
ซ่งชูอีเงยหน้าขึ้นมามองสีหน้าของเขาอย่างรวดเร็ว ก่อนพูดไปตามความจริง “ท่านแม่ทัพรัฐเจ้า”
“กงซูนกู่” ท่านแม่ทัพกล่าว
ซ่งชูอีรู้ว่า “กงซุน” นั้นไม่ได้หมายถึงแซ่เขาเขา แต่เป็นสกุล ซึ่งหมายความว่าเขาคือลูกหลานของราชสำนัก
ซ่งชูอีพยายามข่มเอาไว้ แต่สุดท้ายก็ยังอดใจไว้ไม่ไหว จึงเอ่ยถาม “การสู้รบกันเมื่อวาน ท่านแม่ทัพกงซุนเป็นผู้นำทัพรึ?”
การแสดงออกอย่างผู้รู้ไม่ใช่เรื่องเลวร้าย นี่คือโลกที่ชีวิตของผู้คนเปรียบดังต้นหญ้า แต่ไม่ว่าใครก็มักจะใจกว้างต่อผู้ที่มีความรู้ หากไม่จำเป็นแล้วก็ไม่มีใครที่จะฆ่าบัณฑิตโดยโดยไม่มีเหตุผล
“เจ้าเห็นแล้วรึ?” กงซุนกู่มองสำรวจนาง ราวกับว่าต้องการมองใบหน้าของนางให้ชัดเจนผ่านผมเผ้านั้น
“ใช่ ดังนั้นการที่ท่านแม่ทัพจะตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ ข้าไม่เข้าใจเป็นอย่างยิ่ง” จากคำพูดสั้นๆ นี้ ซ่งชูอีคิดว่ากงซุนกู่ไม่น่าจะเป็นไอ้โง่ที่ไร้ทักษะและความรู้ ดังนั้นนางจึงยิ่งอยากรู้เกี่ยวกับความพ่ายแพ้ของทหารเจ้ามากยิ่งขึ้น
“ข้าเป็นแค่ไอ้ขี้ขลาด ที่ถูกข้าน้อยให้ร้ายก็เท่านั้น” กงซุนกู่ถอนหายใจ มองซ่งชูอี จากนั้นก็เปลี่ยนหัวข้อ “ท่านหวยจินดูอายุยังน้อย ไม่ทราบเป็นคนรัฐไหน เหตุใดจึงตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้?”
การที่กงซุนกู่เรียกว่า “ท่าน” นั้น โดยรวมแล้วมีความซาบซึ้งเจือปนอยู่ในนั้น เป็นเพียงความเกรงใจรูปแบบหนึ่ง หาใช่รู้สึกว่าซ่งชูอีมีความรู้เสมอกับคำนี้ไม่ ซ่งชูอีเข้าใจเป็นอย่างดี นางไม่สนใจ ขณะนั้นเองก็กำลังคาดเดาความเป็นไปได้มากมายสำหรับคำตอบของกงซุนกู่
“ข้าเป็นแค่ไอ้ขี้ขลาด” เห็นได้ชัดว่าในคำพูดนี้เปี่ยมไปด้วยการกล่าวโทษตัวเอง ซึ่งก็หมายถึงเขาเป็นเพียงผู้นำกองทหารเข้าต่อสู้ หาใช่ผู้นำทัพในครั้งนี้ “ถูกข้าน้อยให้ร้าย” เกรงใจว่าอาจมีคนตั้งใจวางหลุมพรางเอาไว้ ต้องการหยิบยืมความพ่ายแพ้ในครั้งนี้เพื่อกำจัดเขาทิ้ง
“โลกเปลี่ยนแปลงอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ชะตาผกผันล้วนเป็นเรื่องธรรมชาติ ข้าได้รู้แจ้งในที่นี้” ซ่งชูอีตอบคำถามของกงซุนกู่ส่งๆ
แม้จะแป็นคำตอบแบบขอไปที แต่ไม่ใช่ทุกคนที่สามารถยกหลักเหตุผลที่ลึกซึ้งได้ กงซุนกู่เห็นคุณค่าของมันอย่างจริงจัง “ที่แท้ท่านก็เป็นนักคิดลัทธิเต๋าผู้สูงส่ง! เสียมารยาทแล้ว”
กงซุนกู่นิ่งไปครู่หนึ่ง หันไปพูดกับนายทหารเหล่านั้น “พวกเจ้าไปเฝ้าด้านหน้าห้าจั้ง[1]”
ทหารสี่นายรับคำสั่ง เดินห่างออกไปด้านนอกห้าจั้ง
กงซุนกู่นั่งคุกเข่า ยกมือคารวะซ่งชูอี “ท่านซ่งหวนเข้าใจเรื่องการวางแผนกลยุทธ์หรือไม่?”
นักคิดลัทธิเต๋ามีอีกชื่อว่าผู้เมตตา ความคิดลัทธิเต๋าสนับสนุนการกลับสู่ธรรมชาติ ความสงบนิ่งเฉย ความสอดคล้องกับธรรมชาติ ความอ่อนน้อมคือสิ่งล้ำค่าเป็นต้น ให้ความสำคัญกับการฝึกฝนตนเอง ด้านบ้านเมืองก็ส่งเสริมให้มีการกำกับดูแลแบบปล่อยวาง เหตุนี้จึงมีนักวางแผนกลยุทธ์จำนวนน้อยที่มาจากลัทธิเต๋า อย่างไรก็ดีผู้มีความรู้จะมองเรื่องนี้ต่างจากคนธรรมดาทั่วไป ดังนั้นกงซุนกู่จึงขอคำแนะนำจากซ่งชูอีอย่างถ่อมตน
ซ่งชูอีไม่ได้ตอบคำถามของเขา แต่มุ่งไปที่ประเด็นหลัก “รัฐเจ้ารับท่านไม่ได้รึ?”
กงซุนกู่รู้สึกยินดีในใจ รีบพูดขึ้น “ใช่แล้ว ท่านคิดว่า ข้าควรจะกลับรัฐเจ้า หรือหาที่พึ่งพิงรัฐอื่น?”
………………………………………..
[1] จั้ง หน่วยวัดความยาวของจีน หรือประมาณ 3.3 เมตร