กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ - บทที่ 11 เจ้าช่างเสียมารยาทจริง
ตอนนี้สายตาที่ซ่งชูอีมองกงซุนกู่ก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย ลัทธิเต๋าสนับสนุนการไม่ยึดติดและเยียวยาพลเมืองรัฐเล็กๆ ภายใต้สภาพแวดล้อมของสงครามเช่นนี้ ยากนักที่เหล่าก๊กที่จะนำหลักคำสั่งสอนของลัทธิเต๋าไปปรับใช้ในการปกครองบ้านเมือง ดังนั้นว่าด้วยสถานะแล้วจึงด้อยกว่าลัทธิขงจื้อและลัทธิโม่อยู่มากโข แต่หลังจากที่กงซุนกู่ทราบว่านางอยู่ลัทธิเต๋า กลับขอคำชี้แน่ด้วยความถ่อมตัว แม้กำลังป่วยและต้องการการรักษาเร่งด่วน แต่กิริยาอันน่าเคารพนับถือของเขาไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาสามารถทำได้
“หากไม่กลับรัฐเจ้า ท่านแม่ทัพกงซุนจะไปแห่งใดได้? จะมีรัฐใดที่มีจักรพรรดิและยอมรับท่านแม่ทัพได้?” ซ่งชูอีถามทั้งๆ ที่รู้คำตอบ ก่อนหน้านี้นางเห็นกงซุนกู่หน้าดำคร่ำเครียด ก็รู้แล้วว่าเขาไม่มีที่ไป
กงซุนกู่ขมวดคิ้ว เขาเกิดในราชสำนักแห่งรัฐเจ้า อยู่ที่รัฐเจ้าตั้งแต่เล็กจนโต ถ้าหากมีวิธีกลับรัฐเจ้าได้ แน่นอนว่าเขาไม่เต็มใจที่จะหลบภัยที่รัฐอื่น “ข้ามีสหายเก่าแก่อยู่ที่รัฐฉิน หากข้าขอให้เขาแนะนำ ข้าก็อาจจะมีที่ให้พัก”
แผ่นดินกว้างใหญ่ ที่พักพิงมีไม่น้อย ความหมายในคำพูดของกงซุนกู่คือการว่าราชการในรัฐฉิน
“อย่างไรก็ดีการต่อสู้ของท่านแม่ทัพในครั้งนี้จะทำให้ศักดิ์ศรีของท่านลดลงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แม้จะกล่าวความจริงออกไป ก็ใช่ว่าทุกคนในรัฐฉินจะเชื่อ” ซ่งชูอีกล่าว
กงซุนกู่ถอนหายใจ คิ้วที่ขมวดกันอยู่แล้วยิ่งผูกกันแน่น “ตั้งแต่ที่จักรพรรดิองค์ก่อนได้มีการประชุมสนธิสัญญาจางสุ่ยกับอ๋องแห่งรัฐเว่ย และถูกบีบบังคับให้ยอมรับพันธสัญญาที่น่าขายหน้า ก็ล้มป่วยด้วยความวิตกกังวล บัดนี้พระองค์อยู่ในอำนาจยังไม่ถึงห้าปี ภายในรัฐเจ้าก็ระส่ำระส่าย…
ซ่งชูอีไม่ได้ยินคำพูดหลังจากนั้นของกงซุนกู่อีก ในใจของนางมีเพียงเสียงที่ดังก้องซ้ำไปซ้ำมา “รัชศกเจ้าโหวโฮ่วปีที่ห้า รัชศกเจ้าโหวโฮ่วปีที่ห้า!”
ก่อนหน้านี้เจ้าอี่โหลวเพียงแต่บอกนางว่า นี่คือปีรัชศกแห่งฉีหวังโฮ่ว แต่เขาหาได้รู้ว่าปีใด ดังนั้นซ่งชูอีจึงคิดว่านางคืนชีพโดยการอาศัยร่างของผู้อื่น เพียงแต่สาวชนชั้นสูงผู้นี้หน้าตาเหมือนนางมาก ด้วยเหตุนี้จึงได้ขอยืมร่างกายของนางใช้ สำหรับฤดูกาลที่ผิดแปลกนั้น นางนึกว่าเพราะตัวเองคืนชีพจึงทำให้เวลาล่าช้าออกไป สุดท้ายแล้วเวลาก็จะถูกผลักย้อนกลับอย่างต่อเนื่อง ครั้งหนึ่งขงจื้อเคยยืนอยู่ริมแม่น้ำรำพึงรำพัน ‘เวลาผันผ่านราวสายนที ไม่หยุดนิ่งแม้ทิวาราตรี’ แต่มีผู้ใดเคยเห็นเวลาไหลย้อนกลับบ้าง?
แต่เท่าที่ดูมันไม่ได้เป็นเช่นนั้นแล้ว! นางจำได้อย่างแม่นยำว่าขณะที่นางได้รับพิษบนหอคอยเมืองหยางเฉิง มันคือรัชศกเจ้าโหวโฮ่วปีที่สิบเก้า! นั่นก็หมายความว่านางคืนชีพมายังสิบสี่ปีก่อน…
“ท่านเห็นว่าเยี่ยงไร?” กงซุนกู่เอ่ยถาม
ซ่งชูอีดึงสติกลับมาทันที แต่ว่านางไม่ได้ยินสิ่งที่กงซุนกู่กล่าวในช่วงหลัง และก็ไม่ต้องการให้เขารู้ นางไม่ได้ตั้งใจฟังเลย ดังนั้นนางจึงเน้นไปที่ประโยคแรกของเขา “หมายความของท่านแม่ทัพกงซุนก็คือ กองทัพรัฐเจ้าที่อ่อนแอนั้นเป็นความจริงที่ไม่อาจโต้แย้งได้ แต่ฝ่าบาทเป็นเจ้านายผู้ปรีชาญาณที่หาได้ยากยิ่งนัก และเนื่องจากเรื่องนี้เป็นแผนการของผู้น้อย คาดว่าฝ่าบาทจะไม่จัดการอย่างผลีผลามแน่ ท่านแม่ทัพเดิมพันได้เลย”
ซ่งชูอีตั้งใจเรียกว่า “ฝ่าบาท” เพื่อสร้างความรู้สึกสนิทสนม อย่างไรก็ตามนางไม่ได้กล่าวเท็จเลย กองทัพรัฐเจ้าไม่แข็งแกร่งและถูกรังแกโดยรัฐใหญ่จากจงหยวน ชนกลุ่มน้อยเร่ร่อนในหลินหูหรือซยงหนูก็ยังถูกรังควานเป็นครั้งคราว แม้แต่รัฐเพื่อนบ้านเล็กๆ เช่นจงซานก็ถูกรุกรานบ่อยครั้ง ในยุคของเจ้าเฉิงโหวมีแต่ความละอายใจซ้ำแล้วซ้ำเล่า
เจ้าซู่โหวเป็นคนฉลาดและวางแผนได้ดีกว่าบิดาของตน แม้ว่าบัดนี้เพิ่งมีอำนาจได้ไม่นาน แต่ซ่งชูอีก็รู้ว่าในอนาคตรัฐเจ้าจะค่อยๆ แข็งแกร่งขึ้นภายใต้ความควบคุมของเขา
“คำกล่าวของท่าน ทำให้ข้ารู้แจ้งเห็นจริง” กงซุนกู่ไม่ใส่ใจบาดแผลของตัวเอง ยืดตัวตรงแล้วโค้งคารวะต่ำ เดิมทีเขาขอคำชี้แนะจากซ่งชูอีนั้น ก็เปรียบเหมือนกระหายน้ำแล้วขุดบ่อ เขารู้ดีว่าการไปที่รัฐฉินก็อาจไม่เป็นประโยชน์มากนัก ยิ่งไปกว่านั้นเขาก็ไม่ต้องการจะไปจากรัฐเจ้า การปรากฏตัวของซ่งชูอีจึงเปรียบดังแสงรำไรในสายหมอกท่ามกลางความสับสนเบื้องหน้า
อย่างไรก็ดีหลังจากบทสนทนาทั้งหมดนี้ กงซุนกู่จำต้องประเมินความรู้ของซ่งชูอีใหม่อีกครั้ง “ท่านอยู่ในป่าลึกแต่ก็ยังรู้ทางโลกอย่างลึกซึ้งเทียบเท่าซุนปิ้นเลยทีเดียว!”
ซ่งชูอีรู้สึกเศร้าใจ ในเวลานี้ซุนปิ้นเพิ่งจากโลกนี้ไปไม่นานกระมัง “ความรู้ของท่านอาวุโสเปรียบดังนภาอันกว้างใหญ่ หวยจินเป็นเพียงแสงริบหรี่ ไหนเลยจะกล้าเทียบเท่า ข้าไม่เคยได้ชื่นชมความน่าเลื่อมใสของท่านอาวุโสเลย ช่างน่าเสียดายนัก”
แม้จะเอ่ยเช่นนี้ ซ่งชูอีไม่เคยเอาซุนปิ้นเป็นเยี่ยงอย่างเลย ซุนปิ้นเชื่อผังเจวียนจึงถูกทำร้ายจนเสียขาทั้งสองข้าง เขาแสร้งบ้าอยู่ในรัฐเว่ยมาหลายปี ก่อนมีโอกาสติดต่อกับท่านราชทูตแห่งรัฐฉีเพื่อช่วยเหลือตน นักวางแผนหากไม่สามารถวางแผนให้ตัวเองได้แล้วจะทำงานให้ผู้อื่นได้เยี่ยงไร?
อย่างไรก็ตาม ซ่งชูอีก็เป็นคนที่เชื่อคนง่ายเช่นกันและจ่ายราคาด้วยชีวิต สวรรค์ให้โอกาสนางได้เริ่มชีวิตใหม่อีกครั้ง ซุนปิ้นเสียกระดูกสะบ้าสองข้าง แต่สิ่งที่นางสูญเสียคือความสามารถในการรักและเชื่อใจใครบางคน
“ท่านหวยจินเต็มใจจะกลับรัฐเจ้ากลับข้าหรือไม่? หากมีท่านคอยช่วยเหลือ รัฐเจ้าจะต้องแข็งแกร่งได้แน่” ดวงตาที่ดำสนิทของกงซุนกู่ส่องประกาย
ซ่งชูอีนั่งชันเข่ารองคางของตัวเอง จับผมที่ยุ่งเหยิงเล่น เหลือบมองกงซุนกู่ เขาดูอายุไม่เกินยี่สิบเจ็ดยี่สิบแปดปี กำลังอยู่ในวัยเลือดร้อน ในใจเปี่ยมด้วยความทะเยอะทะยาน ฉะนั้นเขาจะไม่ปล่อยโอกาสที่จะช่วยให้เขาแสดงความทะเยอทะยานหลุดลอย “ความแข็งแกร่งของรัฐเจ้า” อะไรนั่นเป็นเพียงคำพูดบังหน้า
“เมื่อคืนข้าดูดวงชะตาให้ท่านแม่ทัพ” ซ่งชูอีไม่ได้ตอบคำถามเขาในทันที แต่กลับพูดถึงสิ่งต่างๆ รอบตัว
การดูดวงของนักคิดลัทธิเต๋า สามารถทำนายร้ายดีในอนาคตได้ อีกทั้งพวกเขาไม่ดูดวงชะตาให้ผู้อื่นโดยง่าย ฉะนั้นบัดนี้เมื่อได้ยินคำพูดของซ่งชูอีแล้ว กงซุนกู่มีความสนใจเป็นอย่างยิ่ง แสดงอาการตั้งใจฟังด้วยความเคารพนับถือ
“ไม่เห็นเรื่องดีหรือร้าย” ซ่งชูอีเห็นว่าสีหน้าของเขาเปลี่ยนไปเล็กน้อย รีบเสริม “ใช่ว่าอนาคตของท่านแม่ทัพจะคาดเดาไม่ได้ แต่เป็นเพราะวิชาของหวยจินไม่แม่นยำ บิดาข้าเชี่ยวชาญด้านดูดาว อาจารย์ข้าคือจวงจื่อปรมาจารย์แห่งหนานฮว่า บัดนี้ข้ายังฝึกปรือไม่สำเร็จ ไม่เพียงพอที่จะเป็นที่ปรึกษาให้ท่านแม่ทัพ”
ซ่งชูอีกล่าวกึ่งขบขัน “ท่านแม่ทัพไปคราวนี้จะต้องมีกระแสใต้น้ำนิ่งเป็นแน่ ข้ายังไม่อยากตายก่อนจะสำเร็จวิชาน่ะ!”
“ที่แท้ท่านหวยจินเป็นศิษย์อาจารย์ผู้มีชื่อ!” กงซุนกู่รู้สึกเสียใจเล็กน้อย แต่พลันคิดว่าบัดนี้ตัวเองยังปกป้องตัวเองไม่ได้เลย จะร้องขอให้ผู้มีความสามารถช่วยได้เยี่ยงไร? ดังนั้นจึงไม่บังคับซ่งชูอี
ซ่งชูอีมองออกว่าเขาไม่ใช่คนที่เลวร้ายอะไร จึงกล่าวไปตามตรง หากเป็นผู้อื่นนางคงไม่กล่าวเช่นนี้แล้ว
หลังจากกงซุนกู่ตัดสินใจแล้ว อารมณ์ก็ผ่อนคลายขึ้นมามาก แม้แต่บาดแผลของลูกธนูก็ไม่ส่งผลมากนัก พลางดึงซ่งชูอีให้อยู่คุยด้วยถึงหนึ่งชั่วยาม
ซ่งชูอีก็รู้สึกได้เลือนลางว่าแม้กงซุนกู่จะมองไม่ออกว่านางเป็นเด็กผู้หญิง แต่กลับสนใจในตัวนางมาก
ครุ่นคิดครู่หนึ่ง นางคิดว่าอาจเป็นเพราะนางดูอายุน้อยอย่างเห็นได้ชัดแต่กลับพูดจาเป็นผู้ใหญ่ ด้วยเหตุนี้ช่วงหลังนางจึงสงวนท่าที ฟังให้มากและพูดให้น้อย
จนกระทั่งนายทหารสองนายที่ออกล่าสัตว์นำกระต่ายสี่ตัวกลับมา กงซุนกู่จึงปล่อยนางไป
เจ้าอี่โหลวนั่งอยู่ที่มุมหนึ่งของกำแพงหิน เมื่อเห็นว่าซ่งชูเข้ามา ก็เขยิบไปด้านข้างเล็กน้อย
นายทหารถลกหนังกระต่ายไม่กี่ตัวอยู่ข้างลำธารอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ตั้งไฟ แล้วนำไปย่างบนกองไฟ
ท้องของซ่งชูอีส่งเสียงคำรามราวกับฟ้าร้องอย่างน่าอับอาย นายทหารทางนั้นมองมาพร้อมกับหัวเราะ ซ่งชูอีไอแห้งทีหนึ่ง กล่าวกับเจ้าอี่โหลวด้วยความจริงจัง “แม้จะควบคุมความหิวไม่ได้ แต่เจ้าทำโจ่งแจ้งต่อหน้าผู้อื่นเช่นนี้ ช่างเสียมารยาทจริง”
……………………………..