กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ - บทที่ 12 เหตุใดจึงต้องหนี
ถ้าหากเป็นคนที่มีไหวพริบ โดยส่วนใหญ่แล้วก็จะช่วยนางโกหกอย่างมีศิลปะ แต่เห็นได้ชัดว่าเจ้าอี่โหลวไม่ใช่ เขาไม่ทันได้คิดก็เปิดโปงนางอย่างไร้ความเมตตาแล้ว “ข้ากล้าสาบานต่อสวรรค์ ว่าท้องของเจ้าต่างหากที่ร้อง”
นายทหารที่อยู่ทางนั้นแทบจะระเบิดหัวเราะออกมา แต่เพราะเห็นว่าก่อนหน้านี้กงซุนกู่เกรงใจนางมาก ดังนั้นจึงต่างกลั้นเอาไว้ไม่กล้าส่งเสียง
“งั้นรึ? บางทีข้าคงฟังผิดเอง” ที่ผ่านมาซ่งชูอีมีความหน้าด้านอยู่บ้างแต่ไม่ได้ด้านที่สุด โดยธรรมชาติแล้วนางไม่มีความโกรธต่อสิ่งเล็กๆ น้อยๆ นี่อาจเป็นเพราะว่านางมีความผูกพันกับหลักคิดของลัทธิเต๋าค่อนข้างมาก
ขุนนางเห็นคุณธรรม คุณภาพ และชื่อเสียงสำคัญมากกว่าชีวิตเสียอีก แต่ลัทธิเต๋ากลับบอกว่า “ผู้มีคุณธรรมแต่ไร้คุณธรรม คือผู้มีคุณธรรม ผู้ไร้คุณธรรมไม่สูญเสียคุณธรรม คือผู้ไร้คุณธรรม”
ความหมายของคำกล่าวนี้คือ ผู้ที่มีคุณธรรมโดยแท้จริงนั้น จะแสดงคุณธรรมออกมาอย่างธรรมชาติ เรียบง่าย และมีอยู่ภายใน ฉะนั้นดูจากภายนอกแล้วแม้ไร้ซึ่งร่อยรอยแห่ง “คุณธรรม” แต่ในความเป็นจริงคุณธรรมกลับแทรกซึมลึกไปถึงไขกระดูก เช่นนี้จึงเรียกว่าผู้มีคุณธรรม แต่บุคคลธรรมดาที่ปราศจากคุณธรรมโดยสิ้นเชิงนั้นจะได้รับผลกระทบจากปัจจัยอื่นๆ ภายนอก มันจะเป็นเพียงลักษณะเปลือกนอกเท่านั้น ดังนั้นแม้ดูเหมือนมี “คุณธรรม” แต่ห่างไกลจากธรรมชาติของ “คุณธรรม” ที่แท้จริงอยู่มากโข เช่นนี้จึงเรียกว่าไร้คุณธรรม
หรืออีกความหมายหนึ่ง ลิทธิเต๋าไม่วิ่งไล่ตามความงดงามและความเมตตากรุณาเพียงผิวเผิน
ไม่ว่าในไขกระดูกของซ่งชูอีมีคุณธรรมหรือไม่ อย่างไรก็ดีนางใช้ประโยคครึ่งหลังเป็นคำพังเพยในชีวิต อีกทั้งทำตามอย่างละเอียดถี่ถ้วน
ซ่งชูอีหิวจนแทบทนไม่ไหว ความหิวทำให้รู้สึกว่าความเหน็บหนาวนั้นเกินเหลือรับ นางได้แต่ซุกตัวอยู่ด้วยกันกับเจ้าอี่โหลว แอบชำเลืองมองเนื้อกระต่ายย่างนั้นเป็นครั้งคราว
“ท่านหวยจิน” ทหารนายหนึ่งได้รับคำสั่งมาจากกงซุนกู่ ส่งกระต่ายครึ่งตัวมาให้
นี่คือกระต่ายที่อ้วนท้วนที่สุดในไม่กี่ตัวนั้น ซ่งชูอีไม่เกรงใจเลยแม้แต่น้อย กล่าวขอบคุณกับกงซุนกู่ รับเนื้อกระต่ายมาแล้วแบ่งกันเจ้าอี่โหลว
โดยปกติแล้วเจ้าอี่โหลวจะเก็บตุนสำหรับมื้อต่อไป ฉะนั้นเมื่อมีอาหารแล้วก็จะต้องเก็บไว้ส่วนหนึ่ง ซ่งชูอีเห็นว่าเขากินด้วยความเสียดาย จึงพูดขึ้น “ไม่ต้องเหลือ กินให้หมด”
เจ้าอี่โหลวลังเลครู่หนึ่ง เมื่อเห็นว่าซ่งชูอีกำลังกินอย่างเอร็ดอร่อยก็ไม่เกรงใจอีก เมื่อก่อนความฝันของเขาคือสักวันหนึ่งจะได้กินเนื้อคำโต สำหรับเขาแล้วนี่คือเป้าหมายที่ต้องดิ้นรนทั้งชีวิต สองวันก่อนเขาไม่กล้าแม้แต่จะคาดหวัง แต่ความฝันกลับกลายเป็นจริงอย่างรวดเร็วเช่นนี้ เขาราวกับฝันไป
หลังจากกินอิ่มแล้ว กงซุนกู่ดูเหน็ดเหนื่อยเล็กน้อย นายทหารเหล่านั้นก็อ่อนล้าเช่นกัน และผลัดกันพักผ่อน
หลังจากผ่านไปเกือบครึ่งชั่วยาม ซ่งชูอีเห็นว่านอกจากทหารที่เฝ้ายามสองนาย คนที่เหลือดูเหมือนจะเข้าสู่ห้วงนิทราแล้ว นางเอื้อมมือสะกิดๆ เจ้าอี่โหลว ใช้กิ่งไม้วาดแผนที่บนพื้นให้เขาดู
วาดเสร็จ ซ่งชูอีจึงถามเขาด้วยสายตา ‘เข้าใจหรือไม่?’
เจ้าอี่โหลวจ้องรูปนั้นอยู่เนิ่นนาน จึงพยักหน้า
ซ่งชูอีเหลือบมองเขา ก่อนจะพูดขึ้นเสียงเบา “เจ้าอยากจะไปถ่ายเบาไม่ใช่รึ?”
ก่อนหน้านี้ซ่งชูอีแอบบอกเขาว่า เมื่อพูดว่า “ถ่ายเบา” หมายความว่าให้เขาซุ่มอยู่ในป่า หลังจากตีทหารจนสลบแล้วก็หนีไป
เจ้าอี่โหลวไม่เข้าใจ กงซุนกู่นับถือนางมาก เหตุใดยังอยากคิดหนี? แต่เขาคิดว่าซ่งชูอีเป็นคนมีความรู้ การตัดสินใจทั้งหมดไม่น่ามีข้อผิดพลาด อีกทั้งเขาก็เกรงกลัวทหารเหล่านี้มากด้วย ดังนั้นจึงลังเลเพียงชั่วครู่ จากนั้นก็ลุกขึ้นแล้วเดินเข้าไปในป่า
ในไม่กี่วันที่ผ่านมาเจ้าอี่โหลวมักจะเข้าป่าเพื่อทำตามแผนการ ทหารสองนายจ้องเขาหายลับเข้าไปในป่า แต่เมื่อเห็นว่าซ่งชูอียังอยู่ จึงไม่ได้ตามไปด้วย
ผ่านไปครู่หนึ่ง ซ่งชูอีก็รู้สึกกังวลเล็กน้อย มองไปที่ป่าไม่หยุด หลังจากนั้นไม่นานก็เริ่มลุกขึ้นและมองไปรอบ ๆ
“ท่านทหารทั้งสอง” ซ่งชูอีเดินเข้าไปหาพวกเขา กลัวว่าจะส่งเสียงดังปลุกคนอื่น นางกดเสียงต่ำ กล่าวด้วยความจริงใจ “ในป่าผืนนี้มีเสือดุร้าย พี่ชายข้าเข้าป่าตั้งนานแล้วยังไม่ออกมา ข้ารู้สึกกังวลใจเล็กน้อย พวกท่านเข้าป่าไปดูกับข้าได้หรือไม่?”
ทหารทั้งสองพิจารณาครู่หนึ่ง นายหนึ่งจึงเอ่ยขึ้น “ตรงนี้ไม่มีคนเฝ้าไม่ได้ ข้าจะไปดูกับเจ้า แต่ว่าไปไกลไม่ได้ ต้องรีบกลับมา”
“ได้ ได้ ขอบคุณพี่ชาย” ซ่งชูอีรีบกล่าวขอบคุณแผ่วเบา
ทหารนายนั้นหยิบดาบสีเงินขึ้น เข้าป่าไปกับซ่งชูอี
ซ่งชูอีไม่คุ้นเคยกับป่าผืนนี้นัก เพียงแค่ผ่านมาครั้งหนึ่งขณะขึ้นเขาเมื่อวาน นางเดินไปตามรอยหญ้า พยายามเข้าใกล้สถานที่ที่เขาสามารถโจมตีให้ได้มากที่สุด
พวกเขาจะต้องตีทหารนายนี้ให้สลบในคราวเดียว ห้ามก่อให้เกิดเสียงใด ไม่เช่นนั้นหากปลุกให้คนอื่นตื่นก็จะหนีไม่ได้แล้ว อีกทั้งยังรนหาที่ตายด้วย
ไม่รู้ว่าสุดท้ายแล้วเจ้าอี่โหลวอ่านแผนเข้าใจหรือไม่! ซ่งชูอีกังวลเล็กน้อย หากไม่ใช่เพราะกงซุนกู่จับตาดูนางไม่คลาดสายตา แม้ไปถ่ายเบาก็ยังต้องมีคนติดตาม นางก็เลือกที่จะลงมือเองอย่างแน่นอน
“รอยเท้าหายไปแล้ว” รอยเท้าถูกตัดขาด ซ่งชูอีพึมพำ
ทหารนายนั้นขมวดคิ้วพูด “แถวนี้ไม่มีรอยเท้าสัตว์ร้าย หรือว่า…”
ซ่งชูอีมองไปรอบๆ ในที่สุดก็พบเบาะแสจากใต้พุ่มไม้ นางเห็นว่าทหารนายนั้นกำลังจะเดินไปยังใต้ต้นไม้นั้น จึงจงใจร้องเสียง “อ๊า” ออกมาเบาๆ
ทหารนายนั้นตกใจ หยุดเดิน “ท่านพบอะไรรึ?”
ซ่งชูอีโน้มตัวเข้าใกล้เขาพร้อมพูดเสียงต่ำ “คิดว่าท่านก็เดาได้ว่ามีคนซุ่มอยู่ เพียงแต่รอยเท้าที่หยุดอยู่ตรงนี้ห่างไกลจากต้นไม้นัก นอกเสียจากว่าเขาจะบินไป ไม่เช่นนั้นก็ไม่สามารถซ่อนตัวอยู่ใต้ต้นไม้ต้นนั้นได้”
ซ่งชูอีพูดพลางดึงเขาหันหลังกลับ พูดต่อด้วยเสียงแผ่วเบา “ข้าเดาว่า พวกมันตั้งใจเดินไปข้างหน้าแล้วทิ้งรอยเท้าไว้เพื่อให้พวกเราสับสน ครั้นพวกเราตามรอยเท้าไป พวกมันก็จะสามารถลอบโจมตีจากด้านหลังได้”
“ท่านฉลาดยิ่งนัก!” ทหารนายนั้นร้องอุทาน ต้องการจะหันหลังกลับเพื่อสืบหา
เดินไปได้เพียงครึ่งก้าวก็ได้ยินเสียงดังตุบ แล้วทหารก็ล้มลงไปกับพื้น
ซ่งชูอีหันหลังกลับมา เห็นเจ้าอี่โหลวถือท่อนไม้ขนาดใหญ่อยู่ในมือ แม้ว่าเขามีรูปร่างผอมแต่พละกำลังมาก บวกกับเมื่อครู่เพิ่งกินอิ่มท้อง ไม่ว่าใครที่เจอท่อนไม้นี้เข้าไปแล้วไม่สลบก็คงยาก
“หนีเร็ว!” ซ่งชูอีพูดทันที
เจ้าอี่โหลวทิ้งท่อนไม้ในมือ หันหลังหยิบถุงที่ใช้ฟางมัดเข้าด้วยกันออกมาจากโพรงต้นไม้ จากนั้นก็ออกวิ่งกับซ่งชูอีอย่างบ้าคลั่งตลอดทาง จนกระทั่งออกมานอกป่าจึงค่อยๆ ลดความเร็วลง
“พวกเราไปทางไหน?” เจ้าอี่โหลวถามพลางหายใจหอบ
ซ่งชูอีหายใจกระหืดกระหอบ ผ่านไปครู่หนึ่งจึงพูดขึ้น “ไปทางรัฐเว่ย เจ้ารู้ทางหรือไม่?”
เจ้าอี่โหลวชี้ “ทางนั้น”
ทั้งสองคนไม่รอช้า วิ่งไปยังทิศทางนั้นอย่างรวดเร็ว
เจ้าอี้โหลวพลางวิ่ง พลางอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามด้วยความสงสัย “ข้าเห็นว่าท่านแม่ทัพกงซุนท่านนั้นค่อนข้างเคารพเจ้า สิ่งที่เจ้าพูดกับเขา เขาก็ยอมรับโดยไม่ลังเล เหตุใดจึงต้องหนีเล่า?”
ซ่งชูอีกล่าวโดยไม่หยุดวิ่ง “เขายอมรับคำพูดของข้าเมื่อใด?”
“เจ้าบอกให้เขากลับรัฐเจ้า เขาก็จะกลับไปทันที” เจ้าอี่โหลวคิดว่าหากนี่ไม่ใช่การยอมรับอย่างถ่อมตนแล้ว อย่างไรจึงจะใช่เล่า?
……………………………..