กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ - บทที่ 14 ผู้ใดถูกจับมัด
ถนนไม่กว้างนัก ด้วยเหตุนี้เมื่อเจ้าอี่โหลวขวางกลางถนน ขบวนเกวียนจึงจำเป็นต้องหยุดห่างจากพวกเขาไปสามจั้ง
ซ่งชูอีร้องไห้อย่างหนักหน่วง เห็นว่ามีคนเข้ามา ก็รีบโผเข้าหาร่างของเจ้าอี่โหลวทันที ปัดผมทั้งหมดของเขาออกลวกๆ ด้วยหน้าตาของเจ้าอี่โหลวเช่นนี้ ถ้าเป็นขบวนนักแสดงจริงๆ ไม่เก็บเขาไว้ก็เท่ากับตาบอดแล้ว
ไม่ช้า มีคนขี่ม้าออกมาจากขบวนเกวียนช้าๆ มองต่ำไปยังซ่งชูอีกับเจ้าอี่โหลว เอ่ยด้วยน้ำเสียงหยาบโลน “นี่ เหตุใดจึงมาขวางถนน?”
ซ่งชูอีคิดคำอธิบายไว้แล้ว พูดขึ้นอย่างร้อนรน “ไม่รู้เพราะเหตุใดนายท่านของข้าสลบไป ท่านได้โปรดช่วยเหลือด้วย!”
ผู้ที่อยู่บนหลังม้ามองอย่างเฉยเมย เห็นว่าเป็นเพียงเด็กน้อยอ่อนแอสองคน จึงลดความระแวดระวังลง สายตาหยุดอยู่ที่ใบหน้าของเจ้าอี่โหลวครู่หนึ่ง กล่าวขึ้น “เจ้ารอก่อน ข้าจะไปถามให้เจ้า”
เขาหันหัวม้ากลับไป บ่นเสียงพึมพำ “ชิ มีคนสลบบนถนนอีกแล้ว!”
ซ่งชูอีประหลาดใจ มีคนใช้ลูกไม้นี้มาก่อนแล้วหรือ? และไม่รู้ว่าเป็นท่านอาวุโสท่านไหน!
คนนั้นกลับเข้าไปได้ครู่หนึ่ง ก็พาหญิงวัยประมาณสามสิบคนหนึ่งเข้ามา หญิงผู้นั้นสวมชุมคลุมยาวชวีจวีสีน้ำตาลเข้ม การเยื้องย่างสง่างามและทำองศากันพอดิบพอดี เห็นได้ชัดว่าเคยผ่านการฝึกฝนมารยาทอย่างเข้มงวดมาก่อน
นางเดินเข้าไปหาซ่งชูอี ยังไม่ทันเอ่ยปาก สายตาก็ถูกเจ้าอี่โหลวดึงดูด นางรีบย่อตัวลง ยื่นมือจับขากรรไกรล่างของเขาแล้วสำรวจอย่างละเอียดครู่หนึ่ง จากนั้นก็ยื่นมือลูบคลำร่างกาย แววตาเปี่ยมด้วยความสุข แต่เพียงพริบตาเดียว นางก็เก็บงำความรู้สึกเอาไว้ ถามซ่งชูอี “นายท่านบ้านเจ้าเป็นใคร?”
ซ่งชูอีพินิจอยู่ในใจ หลุบตาลงพร้อมพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนแอ “บ้านนายท่านสิ้นเนื้อประดาตัว พวกข้าจึงหนีหัวซุกหัวซุนมาจนบัดนี้”
สาวใช้ส่วนใหญ่ล้วนไม่มีความรู้ บ้างเนื่องจากไม่ได้พูดเป็นเวลานาน ความสามารถด้านภาษาจึงถดถอย การที่ซ่งชูอีที่สามารถแสดงความรู้สึกได้ถึงขั้นนี้ นับว่าเป็นสาวใช้ระดับสูงเลยทีเดียว
“พวกข้ากำลังจะไปรัฐฉู่ เจ้าเต็มใจที่จะไปกับพวกข้าหรือไม่?” หญิงคนนั้นเอ่ยถาม
ซ่งชูอีกพยักหน้าถี่ ท่าทางราวกับได้คว้ากองฟางช่วยชีวิตในขณะที่กำลังจะจมน้ำ
หญิงผู้นั้นพยักหน้าอย่างพออกพอใจ นางไม่เคยให้ความสนใจกับสาวใช้สภาพไม่น่าเตะตาตรงหน้าคนนี้เลย ซ่งชูอีสวมเสื้อผ้าขาดวิ่น คนอื่นๆ อาจไม่สามารถบ่งบอกเพศได้ แต่ว่าหญิงผู้นี้พบพานผู้คนนับไม่ถ้วน มองเพียงแวบเดียวก็รู้ว่านางคือเด็กผู้หญิง เด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่มีสถานะต่ำต้อยมีอะไรน่ากลัวงั้นหรือ? ชีวิตหนึ่งอยู่ในมือของนาง เป็นตายร้ายดีก็ล้วนอยู่ในการพิจารณาของนางทั้งสิ้น
“พาพวกเขาเข้าไปในเกวียนม้าคันนั้น” หญิงสาวลุกขึ้น อดไม่ได้ที่จะกวาดสายตามองเจ้าอี่โหลวอีกครั้ง
“ฮึบ!” ชายคนนั้นยื่นมือแบกเจ้าอี่โหลวขึ้นมา เดินไปยังขบวนเกวียน
ซ่งชูอีเดินตามไปอย่างรวดเร็ว ขณะที่เดินผ่านหญิงผู้นั้น ก็เหลือบมองนางด้วยหางตา ในใจรู้ดีว่าเจ้าอี่โหลวเล่นละครไม่เก่ง หญิงผู้นี้ดูออกนานแล้วว่าเขาแกล้งทำเป็นหมดสติ แต่ว่านางก็ยังรับพวกเขาไว้ เห็นได้ชัดเจนว่าให้ความสำคัญกับความหล่อเหลาของเจ้าอี่โหลวเป็นอย่างมาก มันมีประโยชน์อันใดเป็นพิเศษเช่นนั้นหรือ?
ซ่งชูอีนึกทบทวนอย่างถี่ถ้วน ผู้มีอิทธิพลแห่งรัฐฉู่ท่านไหนที่ชื่นชอบในบุรุษเพศงั้นหรือ?
นางครุ่นคิด จนกระทั่งเดินตามชายผู้นั้นมาถึงเกวียนม้าคันหนึ่ง เขาวางเจ้าอี่โหลวเข้าไป หันมาพูดกับซ่งชูอี “เจ้าก็เข้าไปด้วย”
ซ่งชูอีตอบรับ ปีนเข้าไปในเกวียนม้าอย่างว่องไว
นี่เป็นเกวียนประเภทที่สามารถบรรทุกได้มากกว่าสิบคน ภายในสะอาดมาก มีเสื่อฟางปกคลุมอยู่บนพื้นกระดาน ชายหนุ่มผู้หนึ่งนอนอยู่ข้างกำแพงเกวียน มีที่นอนผ้าฝ้ายบางๆ ห่มอยู่บนตัว ใบหน้าซีดขาวและดูดีมาก รูปลักษณ์จัดว่ามิได้โดดเด่นเท่าไรนัก แต่สะอาดสะอ้านเป็นอย่างยิ่ง ที่เรียกกันว่าหน้าตาปราณีตละเอียดอ่อน ก็คงจะเป็นแบบเขากระมัง แม้จะหลับตาเช่นนี้ ก็ยังมองเห็นบุคลิกที่สง่างามของเขา คิดว่าจะต้องเป็นผู้มีการศึกษาเป็นแน่
“มองพอแล้วยัง!” ผู้นั้นลืมตาขึ้นทันใด ถลึงมองซ่งชูอี
ซ่งชูอีมองเขาอย่างพินิจพิเคราะห์ คนผู้นี้มีแววตาคมกริบ ไม่อบอุ่นเหมือนดังตอนที่หลับตา ซ่งชูอีไม่สนใจเขา หันไปเหยียดขาเตะเจ้าอี่โหลว “พอแล้ว เลิกแสร้งได้แล้ว”
เจ้าอี่โหลวนวดคลึงเอว ไม่ขุ่นเคืองซ่งชูอี เอื้อมมือสัมผัสกับเสื่อฟางที่อยู่ใต้ร่างกาย ร้องอุทาน “เสื่อฟางนี้ทอได้ดีเหลือเกิน”
ชายหนุ่มที่กำลังนอนอยู่ในฟูกเหลือบมองเจ้าอี่โหลว ขมวดคิ้ว พูดอย่างเย็นชา “ผู้ชายอกสามศอก จะเต็มใจเป็นของเล่นที่ผ่านมาหลายมือใต้ร่างกายผู้อื่นเช่นงั้นเรอะ!”
คำพูดนี้ช่างรุนแรงเกินไปแล้ว ผู้ชายขายตัวก็ไม่ต่างจากทาสสาวใช้ ไร้ซึ่งสถานะใดๆ เจ้าอี่โหลวมองดูเขาด้วยความโกรธ ราวกับต้องการจะตอบโต้ แต่กลับเม้มปากแน่นอยู่สักพัก สุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไร
ซ่งชูอีดึงฟูกสองผืนออกมาจากมุมเกวียน ยื่นให้เจ้าอี่โหลวหนึ่งผืน
“ช่างไร้ยางอายสิ้นดี!” ชายหนุ่มยังคงพุ่งเป้าไปที่เจ้าอี่โหลวอย่างไม่ลดละ
คราวนี้เจ้าอี่โหลวโมโหแล้วจริงๆ แม้แต่ฟูกนุ่มๆ ก็ไม่สามารถดึงดูดความสนใจของเขาได้ ก่อนที่เขาจะพุ่งตัวเข้าไปนั้น ซ่งชูอีคว้าแขนของเขาเอาไว้และถูกเหวี่ยงไปด้านหน้ากะทันหันด้วยพละกำลังของเขา นางล้มทับบนตัวเด็กหนุ่มอย่างแรง เด็กหนุ่มเจ็บจนส่งเสียงร้องอู้อี้
ซ่งชูอีรู้สึกว่ามือของนางสัมผัสถึงสิ่งผิดปกติจึงเอื้อมมือดึงฟูกออก เมื่อเห็นสภาพการณ์ด้านในก็อดไม่ไหวที่จะยิ้มเยาะ
ภายในฟูก ลำตัวท่อนบนของเด็กหนุ่มถูกมัดจนถึงคอสองมือไพล่หลัง ราวกับหนอนดักแด้ แทบมองไม่เห็นสีของเสื้อผ้า มีเพียงเชือกฟางเต็มไปหมด
“ถูกจับมัดไปเป็นผู้ชายขายตัวต่างอะไรกับไปด้วยความสมัครใจงั้นรึ? หากเจ้ามีความละอายใจจริง ก็คงกัดลิ้นตายนานแล้ว หามีผู้ใดอุดปากเจ้าไม่” ซ่งชูอียิ้มร่าบนความทุกข์ของผู้อื่น
เหมือนชายหนุ่มผู้นั้นจะคิดไม่ถึงว่าทาสสาวคนหนึ่งจะบังอาจถึงเพียงนี้ อดไม่ได้ที่จะมองนางครู่ใหญ่ “พวกเจ้าผู้ใดเป็นนายผู้ใดเป็นทาสกันแน่?”
ชายหนุ่มอยู่ในขบวนเกวียนมาเป็นเวลานาน ด้วยเหตุนี้จึงมีความเข้าใจอยู่บ้างว่ารถขบวนนี้ขนส่งนักแสดงหญิงและชาย ส่วนหนุ่มรูปงามทั้งหมดนั้นจะถูกยกให้กับผู้มีอิทธิพล
“พวกเจ้าคงเข้ามาเพื่อหลอกกินหลอกดื่มสินะ!” ชายหนุ่มกล่าว
ซ่งชูอีกดเสียงต่ำ โน้มตัวกระซิบข้างหูของเขา “คิดจะเล่นงานพวกข้าต้องใช้สมองหน่อย อย่าใช้ลูกไม้ตื้นๆ เช่นนี้”
ชายหนุ่มประหลาดใจ ทันใดนั้นก็เอ่ยยิ้ม “เยี่ยม!”
“ข้าน้อยจางอี๋ ไม่ทราบว่าน้องชายท่านนี้มีนามว่าอะไร?” ชายหนุ่มถามซ่งชูอี เห็นได้ชัดว่ามองไม่ออกว่าแท้จริงแล้วนางเป็นผู้หญิง
ซ่งชูอีมองสำรวจเขาพักหนึ่ง หย่อนก้นลงนั่งบนเสื่อฟาง เอ่ยเสียงเบา “อีเยวี่ย”
นางไม่เชิงพูดปด เดิมทีนางมีนางว่าอิ๋นเยวี่ย ซึ่งก็มีความหมายว่าอีเยวี่ย (เดือนหนึ่ง) ซ่งชูอีเกิดวันที่หนึ่งเดือนหนึ่ง ดังนั้นบิดาของนางที่กล่าวอ้างตนว่ามากด้วยความสามารถก็ได้เปลี่ยนชื่อของนางให้เป็นบันทึกของวันปฏิทิน และภูมิใจกับความสำเร็จนี้อยู่พักหนึ่ง
จางอี๋ก็ดูออกว่าซ่งชูอีกับเจ้าอี่โหลวเป็นเพียงพวกไม่มีการมีงานได้แต่อาศัยผู้อื่นกินไปวันๆ เขาต้องการยืมกำลังของผู้อื่นเพื่อหลีกหนีจากสถานการณ์ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เช่นนี้ ด้วยเหตุนี้เมื่อเห็นซ่งชูอีมีท่าทางเฉยเมย จึงเริ่มที่จะเล่าถึงประสบการณ์ของตัวเองก่อน เพื่อตั้งใจจะสานสัมพันธ์
เรื่องราวของจางอี๋นั้นนับว่าเคราะห์ร้ายมากจริงๆ เดิมทีเขาเป็นคนรัฐเว่ย ครอบครัวมีฐานะยากจน อยู่รัฐเว่ยมิอาจเข้าเป็นขุนนางได้ จึงระหกระเหินไปยังรัฐฉู่ หนีไปพึ่งบารมีแห่งมหาเสนาบดีเจาหยางแห่งรัฐฉู่ กลายเป็นหนึ่งในผู้รับใช้นับร้อยของจวนมหาเสนาบดี ถึงกระนั้นก็ยังไม่เป็นดั่งใจ
ครึ่งปีก่อน ทหารที่นำโดยเจาหยางตีรัฐเว่ยจนพ่ายแพ้ราบคาบ อ๋องฉู่มอบหยกเหอซื่อปี้ชิ้นหนึ่งให้แก่เขา วันหนึ่งขณะที่เขาเดินทางพร้อมกับผู้เฝ้าประตู ดื่มหนักจนเมาหัวราน้ำ เขานำหยกเหอซื่อปี้ออกมาอวด ผลสุดท้ายอวดไปอวดมามันก็อันตรธานหายไป
ด้วยเหตุที่บ้านของจางอี๋มีฐานะยากจน สถานะต่ำต้อย ทุกคนต่างสงสัยว่าเขาขโมยหยกเหอซื่อปี้ไป เจาหยางลงโทษเขาอย่างรุนแรง จางอี๋ถูกลงโทษจนบอบช้ำทั้งตัว หลบหนีออกจากรัฐฉู่ ขึ้นเขาลงห้วยหลายพันลี้ ในที่สุดขณะที่เข้าใกล้ชายแดนรัฐเว่ยบ้านเกิดของตน ก็ล้มพับหมดสติไปเนื่องด้วยบาดแผลฉกรรจ์บนตัว ครั้นฟื้นขึ้นมาก็อยู่บนเกวียนแล้ว
“ข้าอยู่บนเกวียนนี้มาร่วมครึ่งเดือนแล้ว พบว่าเกวียนขบวนนี้ไม่เพียงขนย้ายผู้ชายหากินเท่านั้น แต่ยังมุ่งหน้าไปยังรัฐฉู่อีกด้วย!” จางอี๋กล่าวด้วยสีหน้าจนปัญญา “ระหว่างนี้ข้าพยายามหลบหนี ผลสุดท้ายจึงกลายเป็นเช่นนี้”
ช่างหนีเสือปะจระเข้เสียจริง! ไม่มีสิ่งใดจะเคราะห์ร้ายไปกว่านี้อีกแล้ว! ทันที่ซ่งชูอีฟังเรื่องเล่าของเขาจบ ก็หัวร่อเสียงดังอย่างไร้ความเห็นใจ หัวเราะไปหัวเราะมา เห็นจางอี๋ที่จ้องนางด้วยสีหน้านิ่งเฉย อดไม่ได้ที่จะไอแห้งๆ ทีหนึ่ง
……………………………