กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ - บทที่ 173 มีเด็กหนุ่มประเภทหนึ่ง
นิสัยของซ่งชูอีค่อนข้างเข้ากับความชอบของสู่อ๋องได้ดี ดังนั้นจึงถามขึ้น “หวยจินอยู่ที่รัฐสู่ กว่าเหรินแต่งตั้งให้ท่านเป็นเค่อชิง[1]ดีหรือไม่?”
“ความเมตตาของฝ่าบาทนั้นหวยจินซาบซึ้งยิ่ง ทว่าตำแหน่งเค่อชิงนี้กระหม่อมมิบังอาจรับ” ซ่งชูอีวางขวดสุราลง ปฏิเสธด้วยสีหน้าจริงจัง
เค่อชิงเป็นตำแหน่งที่มอบให้กับบุคคลที่ไม่ได้เป็นคนพื้นเพของรัฐแต่ดำรงตำแหน่งเจ้าหน้าที่อาวุโสของรัฐ นี่คือการค้าขายระหว่างฉินสู่ ตำแหน่งนี้จึงไม่สามารถรับได้อย่างเด็ดขาด มิฉะนั้นครั้นพวกกู่หานกลับไปจะต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย อีกอย่างใครจะรู้ว่าสู่อ๋องมีเจตนาที่จะสืบนางหรือไม่?
“เหตุใดจึงมิบังอาจรับเล่า? กว่าเหรินได้ยินมาว่าหวยจินอายุยังน้อยแต่ชื่อเสียงขจรขจายในจงหยวน เป็นผู้มีความสามารถที่หาได้ยากยิ่งโดยแท้” แม้ว่าสู่อ๋องจะกล่าวเช่นนี้ทว่ามิได้เอ่ยถึงเรื่องเค่อชิงอีก จากนั้นก็ถามถึงกำหนดการของซ่งชูอี “ท่านวางแผนที่จะปักหลักที่ใด?”
“คิดว่าจะอยู่ในหวังเฉิงสักสองสามเดือนก่อน ว่ากันว่ามีดินแดนแห่งสวรรค์ใกล้หวังเฉิง กระหม่อมต้องการเดินตามรอยเท้าของจวงจื่อ ไปเยี่ยมชมเสียหน่อย” ซ่งชูอียิ้มเอ่ย
ในบริเวณใกล้เคียงมีทะเลสาบขนาดน้อยใหญ่หลายแห่งที่ฝังตัวอยู่ในระหว่างหุบเขา มันคล้ายอำพัน ดุจหยกงาม ดั่งกระจกและเหมือนฟ้าใสที่สะท้อนกับภูเขาสีเขียวชอุ่มและบุปผางามแฉล้ม ดูไม่คล้ายคลึงกับทัศนียภาพแห่งโลกมนุษย์ และไม่รู้ด้วยสาเหตุใด หุบเขาแห่งนี้มีแต่ความเหน็บหนาวทั้งสี่ฤดู ว่ากันว่าสามารถสร้างความกระปรี้กระเปร่าให้กับผู้คนได้ รัฐสู่ยังมีตำนานเล่าขานว่า สถานที่เหล่านี้เป็นที่พำนักของเทพเจ้าสมัยโบราณกาล จึงเรียกว่าดินแดนแห่งสวรรค์
สถานที่เหล่านี้ไม่อนุญาตให้คนธรรมดาล่วงเกิน ทว่าชาวสู่เชื่อว่าผู้ที่มีความรู้สูงส่งสามารถติดต่อกับเทพเจ้าได้ ฉะนั้นจึงมิเคยห้ามปรามเหล่าบัณฑิตเข้าออก
“ในเมื่อท่านเป็นผู้หยั่งรู้ แน่นอนว่าดินแดนแห่งสวรรค์คือตัวเลือกที่ดีที่สุด” สู่อ๋องค่อนข้างเชื่อมั่น ในใจก็ค่อนข้างเชื่อว่าซ่งชู่อีต้องการอยู่ในรัฐสู่เพื่อเข้าใจวิถีแห่งสวรรค์จริงๆ
เสียงของไม้ไผ่ไพเราะเสนาะหู ทว่าสู่อ๋องรู้สึกเฉยเมยเป็นอย่างยิ่ง อดถอนหายใจเอ่ยมิได้ “จากรัฐฉินเข้ารัฐสู่ ต้องใช้เวลาสักระยะกระมัง? เมื่อใดหญิงงามจื่อเฉาของกว่าเหรินจะได้เข้ามาสู่อ้อมอกกัน!”
“หญิงงามสามารถดึงดูดสายตาได้จากระยะไกล เมื่อเข้าสู่อ้อมอกก็รู้สึกปิติท่วมท้น” ซ่งชูอียิ้มพลางวางขวดสุราลง สาวใช้ข้างกายรีบเข้ามาเติมทันที
สู่อ๋องเอนกายลงบนที่เท้าแขน เงยหน้าดื่มสุรารวดเดียวจนหมด เลียปากแล้วเอื้อมมือไปลูบคลำเคราสีเขียวที่คาง แววตาฉายความคลุมเครือเล็กน้อย “หญิงงามจื่อเฉาผู้นั้นมีทักษะด้านเดียวรึ? อย่างเช่นเวลาอยู่บนเตียง…”
“ฮาฮา ฝ่าบาททำให้หวยจินลำบากใจแล้ว หญิงงามเพียงนั้น สำหรับกระหม่อมแล้วการได้ชายตามองก็ยากเต็มทน จะไปทราบเรื่องพวกนี้ได้เยี่ยงไร?” ซ่งชูอีพูดพลางเอนตัวไปด้านหน้าเล็กน้อย กดเสียงต่ำลง “ทว่าได้ยินมาว่าทักษะการเต้นรำของจื่อเฉาโดดเด่น การร้องรำยิ่งเพราะพริ้งรื่นหู”
ทักษะเต้นรำโดดเด่น เช่นนั้นเอวจะต้องอ่อนนุ่ม เสียงร้องรำรื่นหู เช่นนั้นเสียงก็…
ลำคอของสู่อ๋องขยับไหวเล็กน้อย พบว่าบางแห่งในร่างกายตนเองมีปฏิกิริยาตอบสนอง ทุกครั้งที่เขาเป็นเช่นนี้ก็จะลากนางคนหนึ่งออกมาจากวังหลังเพื่อแก้ปัญหา ทว่าครั้นเห็นสตรีสามัญพวกนั้นก็ไร้อารมณ์เสียแล้ว
ที่จริงหน้าตาของหญิงงามเหล่านี้ก็ไม่แย่ แต่น่าเสียดายที่สู่อ๋องเบื่อหน่ายชีวิตในวังหลังแล้ว ความสดชื่นก็หายไปเกือบหมดสิ้น บวกกับภายในหัวใจเฝ้าคะนึงถึงหญิงงามดุจเทพธิดาผู้นั้น ก็ยิ่งรู้สึกหมดความสนใจ
ซ่งชูอีขัดจังหวะความเศร้าโศกของเขา “ฝ่าบาทให้คนถอยออกไปก่อนได้หรือไม่?”
ซ่งชูอีสร้างความประหลาดใจให้เขาได้ทุกครั้ง เขารีบโบกมือสั่งให้คนทั้งหมดออกไป
“หญิงงามจื่อเฉาไม่สามารถมาได้ในเร็ววันนี้ ฝ่าบาทจะเว้นจากร่วมประเวณีอยู่ร่ำไปไม่ได้ดอกพะย่ะค่ะ! ถ้าเช่นนั้นลองวิธีเล่นใหม่ๆ ดีหรือไม่?” ซ่งชูอีกล่าว
สู่อ๋องรู้สึกสนอกสนใจเป็นอย่างยิ่ง อดไม่ได้ที่จะเดินลงจากบัลลังก์และนั่งคุกเข่ากับซ่งชูอี “หวยจินว่ามาเถิด!”
“ฝ่าบาทคงจะเคยได้ยินว่าขุนนางชั้นสูงในจงหยวนชื่นชอบการเลี้ยงดูเด็กหนุ่มกระมัง?” ซ่งชูอีเอ่ยถาม
สู่อ๋องขมวดคิ้วด้วยความรังเกียจ “เคยได้ยิน ช่างน่าสะอิดสะเอียดเป็นที่สุด”
“หากเป็นชายธรรมดาอยู่ร่วมกันแน่นอนว่าน่าสะอิดสะเอียดอยู่แล้ว ทว่าฝ่าบาทเคยได้ยินหรือไม่ ว่าโลกใบนี้มีเด็กหนุ่มประเภทหนึ่งที่มีผิวงดงามดุจหยก บริสุทธิ์เหมือนธารน้ำใส ลมหายใจดั่งสายลมสดชื่น น้ำเสียงราวกับเสียงร้องของหงส์ รอยยิ้มนุ่มนวลทว่าไม่อ่อนแอ คิ้วตาไม่แข็งกระด้าง ความงามแตกต่างจากสตรีเพศยิ่ง” ซ่งชูอีเอ่ยเชื่องช้า
หยกงาม ธารน้ำใส สายลมสดชื่น…สู่อ๋องครุ่นคิดครู่หนึ่ง หากมีเด็กหนุ่มเช่นนี้อยู่ในอ้อมแขน…แม้จะรู้สึกแปลกประหลาดเล็กน้อย แต่ไม่น่าขยะแขยงอย่างที่เคยคิด
ซ่งชูอีสังเกตเห็นว่าสีหน้าของเขาเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย มุมปากก็ยกยิ้ม เอ่ยว่า “กระหม่อมเล่าข้อดีของมันให้ฝ่าบาทฟังเถิด”
สู่อ๋องมิได้มีความสนใจในบุรุษเป็นพิเศษ เพียงถูกกระตุ้นด้วยความอยากรู้อยากเห็น จึงเอ่ยรบเร้าครั้งแล้วครั้งเล่า “ว่ามา ว่ามา”
ทั้งสองคนรวมหัวเข้าด้วยกันและพูดคุยกันอย่างออกรส
ในฐานะนักยุทธศาสตร์ หากต้องการผสมสานเป็นหนึ่งเดียว องค์จวินคาดหวังสิ่งใดก็ต้องนำสิ่งนั้นออกมาให้ได้ ซึ่ง
ซ่งชูอีมีคุณสมบัติในด้านนี้มากอย่างไม่ต้องสงสัย
สนทนากันเกือบสองชั่วยาม ขณะที่สู่อ๋องปล่อยซ่งชูอีออกจากวัง ท้องฟ้าก็มืดแล้ว
กลุ่มหมอกด้านนอกลอยละล่องคล้ายมีเม็ดฝนบางเบาโปรยปราย เพียงเดินจากบริเวณหน้าท้องพระโรงถึงประตูวังก็มีหยดน้ำละเอียดเกาะอยู่บนเส้นผม สีขาวขุ่นเล็กน้อยนั้นทำให้ดูมีอายุขึ้นหลายปีในพริบตา
ซ่งชูอีขึ้นรถม้าแล้วก็ปิดตางีบหลับ จนกระทั่งถึงในจวนรับรองจึงตระหนักได้ว่าบัดนี้เหลือนางเพียงลำพังแล้ว
ภายในห้องมีเพียงโคมไฟดวงเดียวที่สว่างอยู่ ซ่งชูอีเอื้อมมือรินน้ำให้ตัวเอง หลังจากเงยหน้ากลืนลงเอื้อกๆ ก็พบว่ามันเย็นชืดแล้ว ความระคายเคืองของน้ำเย็นที่สัมผัสกับลิ้นและหลอดอาหารทำให้นางกัดฟัน
“ท่านดับกระหายก่อนเจ้าค่ะ” สาวใช้ถือชาร้อนเข้ามา แล้วรินให้ซ่งชูอีถ้วยหนึ่ง
ซ่งชูอีรับชาร้อนมาถือมันไว้ในมือที่เย็นเฉียบ ครั้นเห็นสาวใช้สองนางนำแท่งจุดไฟเข้ามาจุดไฟในห้องทีละดวง ก็กล่าวด้วยภาษาสู่ “ไม่ต้องจุดแล้ว ออกไปให้หมดเถิด”
“เจ้าค่ะ” เหล่าสาวใช้ค้อมคำนับแล้วถอยออกไป
ภายในห้องอันกว้างใหญ่ มีเพียงแสงไฟสลัวดุจเมล็ดถั่วสองสามดวงที่อยู่เป็นเพื่อนนาง
ความโดดเดี่ยวนั้นมิใช่สิ่งแปลกหน้าและไม่ได้น่ากลัวสำหรับซ่งชูอี เส้นทางสู่ความสำเร็จล้วนไม่สามารถขาดความอดทนและความเพียรพยายามได้ไม่ว่าสำหรับใครก็ตาม
ซ่งชูอีกำลังหลับตาครุ่นคิดบางอย่างอยู่ภายใต้แสงไฟ
แผนการในรัฐสู่ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว ซ่งชูอีคิดว่าบัดนี้ยังมิใช่โอกาสที่ดีที่สุดในดำเนินแผนการต่อ สู่อ๋องถูกกระตุ้นได้ง่ายในแง่ของ “ความใคร่” ทว่าเขามิใช่คนเขลา ภายนอกดูเขาสนิทสนมชิดเชื้อกับนางเป็นอย่างยิ่ง ไม่แน่ว่าอาจกำลังระแวงระวังนางอย่างหนักหน่วงเป็นการส่วนตัวก็เป็นได้ นอกเหนือจากนี้ รัฐเว่ยราวกับว่ามีเจตนาที่จะสังหารนาง ถ้ากระทำการทุกอย่างโดยบุ่มบ่าม ไม่แน่ว่าชีวิตน้อยๆ นี้อาจต้องสังเวยอยู่ในรัฐสู่เข้าสักวันแล้ว
สิ่งที่สำคัญคือต้องรวมตัวกับจี๋อวี่และจี้ฮ่วนโดยเร็วที่สุด หากมีทั้งสองคนคุ้มกัน นางจึงจะสามารถกระทำงานอื่นได้อย่างสบายใจ
ไม่รู้ว่านั่งเงียบอยู่นานเท่าใด ครั้นซ่งชูอีได้สติกลับมา น้ำในมือก็หลงเหลือความอบอุ่นเพียงน้อยนิด นางยืดตัวตรงกำลังจะลุกขึ้นพลันหูกลับได้ยินเสียงดังแปลกๆ ราวเสียงผ้าเสียดสีกันแวบหนึ่ง มันรวดเร็วเสียจนทำให้อดสงสัยไม่ได้ว่าเป็นเพียงการคิดไปเองหรือเปล่า
ซ่งชูอีวางถ้วยลงแล้วฟังเสียงเสื้อผ้าของตัวเองเสียดสีกัน มันต่างจากเมื่อครู่เล็กน้อย
เปลวไฟวูบไหว ซ่งชูอีเหลือบเห็นเงาบนพื้นดิน ด้านหลังมีคนถือดาบกำลังย่องเข้ามาใกล้อย่างเงียบๆ ตามคาด กะด้วยสายตาแล้วเขาอยู่ห่างจากนางเพียงสองฉื่อเท่านั้น
“ใครน่ะ!?” ซ่งชูอีตะโกนขึ้นกะทันหัน
คนที่อยู่ด้านหลังนั้นตกใจเล็กน้อย การเคลื่อนไหวเชื่องช้าลงหนึ่งลมหายใจ จากนั้นก็เห็นซ่งชูอีล้มกลิ้งไปกับพื้น ไม่รู้ว่ามีดสั้นอยู่ในมือของนางตั้งแต่เมื่อไร น่องเกิดอาการเย็นเฉียบแทบจะภายในพริบตาและเลือดก็พุ่งออกมาทันที
การตอบสนองของมือสังหารนั้นรวดเร็ว เขาพลิกมือหมายจะแทงมีดเข้าไปที่ร่างของซ่งชูอี การเคลื่อนไหวว่องไวดุดัน มันเฉียบคมกว่าการเคลื่อนไหวเมื่อครู่ของนางมาก
สองคนประมือกัน เพียงชั่วอึดใจ ภายในห้องก็มีชายชุดดำสามคนที่ไม่รู้ว่าโผล่มาจากไหน ล้อมซ่งชูอีไว้เป็นรูปพัด
เสียงคำรามของซ่งชูอีเมื่อครู่ ไม่เพียงทำให้มือสังหารเคลื่อนไหวช้าลงเล็กน้อย แต่ก็ทำให้ยามรักษาการณ์ข้างนอกตกใจเช่นกัน เสียงฝีเท้าถี่เร็วดังขึ้นที่ทางเดินด้านนอก จากนั้นก็ตามมาด้วยเสียงตะโกนเรียก “ท่าน?”
ชายสี่คนในชุดดำรีบพุ่งไปข้างหน้าทันที ฝีมือการต่อสู้ห่วยๆ ของซ่งชูอีนั้นไม่สามารถป้องกันตัวเองจากการล้อมของนักฆ่าหลายคน ไม่ช้าบนร่างกายก็เต็มไปด้วยบาดแผล!
บัดนี้นางยังเอาตัวไม่รอด จึงไม่กล้ามีกะใจไปขานรับยามอารักขาเหล่านั้น ดังนั้นจึงอาศัยจังหวะหลบหลีกวาดดาบลงบนโต๊ะ กวาดเอากาและถ้วยน้ำชาที่อยู่บนโต๊ะร่วงเต็มพื้น
ไม่จำเป็นต้องขานรับใดๆ คนที่อยู่นอกห้องก็รู้แล้วว่าเกิดเรื่อง ประตูถูกเตะเปิดด้วยเสียงดังปัง เหล่าทหารสู่พุ่งเข้ามา
“ไป!” เสียงแหบแห้งของมือสังหารคนหนึ่งดังขึ้น
สามคนที่เหลือรีบถอยไปตามคำสั่ง หมุนตัวหนีออกไปทางหน้าต่างด้านหลัง
“จับมือดาบมา!” ทหารสู่วิ่งไปที่หน้าต่างอย่างอึกทึกครึกโครม
“ไม่ต้องตามไป!” ซ่งชูอีตะโกนด้วยภาษาสู่
ทหารสู่จำนวนมากตกตะลึง มีหลายคนที่ตอบสนองไม่ทันและได้ตามไปทางหน้าต่างหลังแล้ว
“ไม่ต้องตาม!” ซ่งชูอีตะโกนอีกครั้ง
ทหารสู่ที่วิ่งไปยังข้างหน้าต่างหยุดชะงัก หันกลับมาด้วยสีหน้างุนงง
“สี่คนนั้นมิใช่นักฆ่า ยอมแพ้การสังหารง่ายๆ เช่นนี้ ไม่แน่ว่าต้องการเบี่ยงเบนความสนใจพวกเจ้า แล้วค่อยให้ผู้อื่นลงมือฆ่าอีกครั้ง!” ซ่งชูอีเอ่ย
และก็ไม่แน่ใจอาจไม่ใช่การล่อเสือออกจากถ้ำจริงๆ ทว่ากันไว้ดีกว่าแก้ เนื่องจากเว่ยอ๋องต้องการเอาชีวิตของนาง และทั้งๆ ที่รู้ว่ารอบกายนางมีมือดาบของรัฐฉินคุ้มกันมากมาย จึงไม่น่าส่งมือสังหารมาเพียงสี่คน ต่อให้ครั้งนี้ไม่ใช่กับดัก การสูญเสียคนสี่คนไม่นับว่าเป็นเรื่องใหญ่สำหรับพวกเขา สิ่งที่สำคัญที่สุดในคืนนี้ก็คือการปกป้องชีวิตน้อยๆ ของนาง
หัวหน้าทหารรู้สึกว่าซ่งชูอีกล่าวมีเหตุผล จึงยกมือส่งสัญญาณให้พวกเขากลับไปที่แถว หันกลับมาพูดกับเหล่าสาวใช้ที่ตกตะลึงจนทำตัวไม่ถูกด้วยความโมโห “ยังไม่รีบตามท่านหมอมาพันแผลให้ท่านอีก!”
แผลทั้งหมดของซ่งชูอีอยู่ที่แผ่นหลังและแขนของนาง จะให้ท่านหมอทำความสะอาดได้เยี่ยงไร “ไม่ต้องหรอก ข้าพอรู้วิชาหมอบ้าง ให้ท่านหมอนำยาเข้ามา ข้าจะพันแผลเอง”
นายหทารสู่เหลือบมองซ่งชูอี เขาไม่ได้ขัดใจ สั่งให้คนนำกล่องยาเข้ามาตามความต้องการของนาง จากนั้นก็จัดกำลังคนรอบบ้านเพื่อเสริมกำลังป้องกัน
ความรู้ทางการแพทย์ของซ่งชูอีมิได้สูงมาก ทว่าการพันแผลภายนอกเช่นนี้มิได้เป็นปัญหาเลย เพียงแต่ไม่สามารถลงยาที่บริเวณหลังได้ ทำได้เพียงล้างด้วยน้ำสะอาดชั่วคราว จากนั้นก็ใช้ผ้าสะอาดพันโดยรอบ
ท่ามกลางราตรีที่มืดมิด เงาทมึนทั้งสี่เคลื่อนที่ผ่านทุ่งหญ้าที่สูงเท่าคนไปอย่างรวดเร็ว ไม่ช้าก็มาถึงลานเล็กๆ แห่งหนึ่ง
ลานเล็กนั้นเปิดโล่งครึ่งหนึ่ง แสงสลัวทะลุผ่านหน้าต่างของบ้านหลังใหญ่ ทั้งสี่ดึงผ้าปิดหน้าออกแล้วตรงเข้าไปในบ้าน
ชายหนุ่มในเสื้อคลุมผ้าแขนกว้างสีเทาควันนั่งคุกเข่าอยู่หน้าโต๊ะ กำลังจดจ่อกับการเรียงตัวหมากบนกระดาน มือดาบรูปร่างกำยำเจ็ดคนยืนพิงกำแพงสองมือค้ำดาบ
“ท่านหมิ่น” หญิงสาวหนึ่งเดียวในสี่คนเอ่ยปากขึ้นก่อน
ดวงหน้าของหญิงสาวเล็กมาก คิ้วดุจใบหลิวดวงตาดุจหงส์ จมูกโด่ง ริมฝีปากบางมาก กอปรกับนางเม้มปากแน่นโดยไม่รู้ตัว ใบหน้าโสภานั้นแสดงให้เห็นถึงความเยือกเย็นเล็กน้อย
หมิ่นฉือโยนตัวหมากในมือเข้าไปในชาม หันหน้าสำรวจทั้งสี่คน หัวเราะเอ่ยเบาๆ “ล้มเหลวรึ?”
ความโกรธเคืองวูบผ่านใบหน้าของทั้งสี่คน หญิงสาวผู้นั้นขมวดคิ้ว น้ำเสียงเหมือนกำลังตั้งคำถาม “ท่านก็รู้ว่าพวกข้าจะล้มเหลว!”
“พวกเจ้าเอากำลังไปงัดกับสติปัญญา นอกเสียว่าจะแข็งแกร่งเหลือคณา ไร้ข้อผิดพลาดใดๆ มิฉะนั้นก็ยากที่จะเอาชนะนาง” ดังนั้นผลลัพธ์นี้ก็อยู่ในความคาดหวังของเขาอยู่แล้ว
คิ้วของหญิงสาวขมวดกันแน่นกว่าเดิม คิ้วดุจใบหลิวคมขึ้นเล็กน้อยอย่างเห็นได้ชัด “ฝ่าบาทส่งท่านมามิได้เพื่อให้ออกความเห็น! ข้าเห็นว่าท่านเป็นสหายเก่าของเขา ไม่ได้มีเจตนาที่จะลงมือตั้งแต่แรกแล้ว!”
“จื่อชวน! เจ้าพูดจาเยี่ยงนี้กับท่านได้เยี่ยงไรกัน!” ชายวัยกลางคนข้างๆ เอ่ยตำหนิ
หญิงสาวที่ถูกเรียกว่าจื่อชวน ขว้างผ้าปิดหน้าสีดำในมือลงพื้นอย่างแรง จ้องหมิ่นฉือด้วยความเย็นชา แล้วหมุนตัวจากไปด้วยความโมโห
“ข้าน้อยขออภัยแทนจื่อชวน หวังว่าท่านอย่าได้ถือสาเอาความกับเด็กสาวเสียคนผู้นี้เลย” ชายวัยกลางคนประสานมือค้อมตัวคำนับ
“อิ่นชวนไม่จำเป็นต้องทำเยี่ยงนี้” หมิ่นฉือลุกขึ้นประคองเขาด้วยตัวเอง “นางพูดถูก ข้าไม่มีเจตนาที่จะฆ่าซ่งหวยจินตั้งแต่แรก แต่ข้าก็รู้ว่าไม่อาจขัดราชโองการ วางใจเถิด เพียงแค่โอกาสฆ่านางในตอนนี้ยังไม่เอื้ออำนวย”
อิ่นชวนลังเลครู่หนึ่งก่อนเอ่ยถาม “ข้าน้อยสืบได้มาว่าซ่งหวยจินสั่งให้ผู้คุ้มกันจากรัฐฉินทั้งหมดกลับเสียนหยางแล้ว ไม่มีใครเหลืออยู่ข้างกายเลย หากไม่ลงมือครานี้จะรอถึงเมื่อใด?”
“ราชทูตฉินอยู่ในรัฐสู่เพียงผู้เดียว เจ้าไม่รู้สึกแปลกหรือ? รอดูสถานการณ์อย่างเงียบๆ ก่อน ข้าจะขอทวนราชโองการอีกรอบ ‘หากจับเป็นได้จะดีที่สุด หากทำไม่ได้ก็ถอนรากถอนโคนเสีย’” แต่ละถ้อยคำที่หมิ่นฉือกล่าวออกมาค่อนข้างแฝงไปด้วยสัญญาณเตือน
อิ่นชวนทวนคำเหล่านี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าแล้วก็เข้าใจโดยพลัน ที่จริงฝ่าบาทยังคงมีความสนใจใจตัวซ่งชูอีมาก ดังนั้นประเด็นสำคัญของราชโองการคราวนี้คือ “จับเป็น” หากทำมิได้ค่อยลงมือฆ่าปิดปาก
หมิ่นฉือเห็นว่าสีหน้าของเขาเปลี่ยนไป ก็รู้ว่าเขาเข้าใจความหมายที่ซ่อนอยู่ เอ่ยขึ้น “ดึกมากแล้ว พักผ่อนเถิด”
“ขอรับ!” อิ่นชวนพาทุกคนออกไป
ภายในบ้านเงียบสงัด หมิ่นฉือก้มหน้าดูกระดานหมาก นี่คือการกู้หมากที่เดินกับซ่งชูอีในวันนั้น เขาเดินหมากสู้กับ
ซ่งชูอีเพียงไม่กี่ครั้ง แต่ทุกครั้งที่ดูการเดินหมาก ก็ยิ่งรู้สึกว่าหากสามารถแข่งขันกับคนอย่างนางได้ ชีวิตก็จะน่าสนใจมากกว่านี้อย่างแน่นอน หากมีทางเลือก เขาก็ไม่เลือกที่จะลอบสังหารนาง
นอกบ้านมีหมอกลงจางๆ ตึกรามบ้านช่องของหวังเฉิงในระยะไกลซ่อนตัวอยู่ในนั้น
ครึ่งหลังของราตรีนี้ผ่านไปอย่างเงียบๆ
เช้าวันรุ่งขึ้น ซ่งชูอีตื่นขึ้นเพราะความปวดแสบปวดร้อนที่หลัง สาวใช้เพิ่งจะหวีผมให้นางเสร็จ ผู้ต้อนรับอวี๋เฉิงก็เร่งรุดเข้ามา สาเหตุแรกเพื่อถามอาการบาดเจ็บของนาง สาเหตุที่สองเพื่อถ่ายทอดราชโองการให้นางเข้าวัง
ซ่งชูอีไม่มีเวลาทานอาหารเช้า ได้แต่จัดระเบียบรอบหนึ่ง สวมชุดคลุมแขนกว้างมีน้ำเงินเข้ม จากนั้นก็ตามอวี๋เฉิงเข้าวังไป
สู่อ๋องเป็นคนที่คิดอะไรก็ทำอย่างนั้นมาโดยตลอด ซ่งชูอีรู้ดีทว่านางกลับไม่คาดคิดจริงๆ ว่าเมื่อวานนางเพิ่งจะชี้แนะให้สู่อ๋องมีความสนใจในผู้ชาย เช้านี้เขาก็มาบอกนางด้วยความกะตือรือร้น “หวยจิน เมื่อคืนกว่าเหรินลองแล้ว ความรู้สึกช่างแตกต่างจริงๆ!”
มองดูใบหน้าของสู่อ๋องที่ราวกับผลิบานปานฤดูใบไม้ผลิครั้งที่สองของชีวิต ซ่งชูอีอ้าปากค้างตกตะลึงยาวนาน
“น่าเสียดายที่กว่าเหรินไม่พบเด็กหนุ่มดุจหยกงามธารน้ำใสที่เจ้ากล่าวถึง ทว่าเด็กหนุ่มเมื่อคืนก็พอไปวัดไปวาได้”
สู่อ๋องมีท่าทางเหมือนกับต้องการมากกว่านี้ หันมาพบว่าซ่งชูอีแววตาล่องลอยจึงเอ่ยขึ้น “หวยจินสีหน้าซีดขาว บาดเจ็บหนักมากหรือ?”
ซ่งชูอีดึงสติกลับมา เมื่อคืนส่วนหลังของนางเสียเลือดไปไม่น้อย เพียงทว่านางก็ไม่สามารถพูดได้ว่าตนบาดเจ็บสาหัส เพื่อป้องกันมิให้สู่อ๋องเกิดฉุกคิดมาได้อย่างฉับพลันและสั่งให้ท่านหมอมารักษานาง “บาดแผลไม่หนักมาก เพียงแต่เสียขวัญเล็กน้อย” นิ่งไปครู่หนึ่ง นางก็หัวเราะแล้วเปลี่ยนหัวข้อ “หวยจินชื่นชมในความเข้าใจของฝ่าบาทยิ่งนัก สามารถลิ้มลองถึงประสบการณ์บางส่วนได้รวดเร็วปานนี้”
“ฮ่าฮ่า!” สู่อ๋องค่อนข้างมีความสุข เขาหาเป้าหมายใหม่เจอแล้ว “อีกประเดี๋ยวกว่าเหรินจะสั่งให้ฮองเฮาไปเลือกเด็กหนุ่มรูปงามเข้ามา”
หลังของซ่งชูอีปวดแสบปวดร้อน ทว่ามุมปากกลับทำมุมยิ้ม “ฝ่าบาท หวยจินนึกถึงเด็กหนุ่มรูปงามดุจสายลมและแสงจันทร์ผู้หนึ่งขึ้นมาได้”
[1] เค่อชิง ในสมัยโบราณใช้เรียกคนจากรัฐจูโหวหนึ่งที่รับตำแหน่งเป็นขุนนางในอีกรัฐจูโหวหนึ่ง