กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ - บทที่ 18 ศิษย์สำนักจางอี๋
เกวียนม้ากระแทกกระทั้นอยู่หลายครั้ง ร่างของจางอี๋ถูกสะบัดออกไปนอกเกวียนครึ่งหนึ่ง ดูเหมือนไม่สามารถคว้าขาของซ่งชูอีไว้ได้แล้ว
“เจ้าลองดูเถิดว่าปล่อยกางเกงข้าแล้วคว้ากระดานเกวียนไว้ได้หรือไม่!” ซ่งชูอีกล่าว
จางอี๋เข้าใจในความตั้งใจของนาง มือหนึ่งจับกางเกงของนาง มืออีกข้างไขว่คว้ากระดานเกวียน เนื่องด้วยครึ่งตัวโผล่ออกมานอกเกวียน จึงไม่มีกำลังพอ หากซ่งชูอีเปลี่ยนใจไม่ช่วยเขา จะต้องร่วงจากเกวียนและตกเป็นอาหารของฝูงหมาป่าเป็นแน่
จางอี๋ลังเลครู่หนึ่ง แต่ก็ยังตัดสินใจที่จะพนันสักตั้ง มือทั้งสองปล่อยนางแล้วคว้ากระดานเกวียนกับราวประตู เมื่อเกวียนม้ากระแทกหนึ่งที ร่างของเขาก็ไหลลงไปอีกหลายนิ้ว
เมื่อไม่มีสิ่งใดเหนี่ยวรั้ง ซ่งชูอีก็สามารถประคองตัวได้อย่างทุลักทุเล คลานไปที่ประตูเกวียนอย่างรวดเร็วโดยไม่สนใจกางเกงของตน ครั้นกวาดตามองก็เห็นดวงตาสีเขียวสามสี่คู่ไล่ตามหลังเกวียน และยิ่งเข้าใกล้ด้วยความเร็วขึ้นทุกที
ซ่งชูอีตื่นตกใจ เนื่องด้วยหมาป่าส่วนใหญ่ออกหาอาหารกันเป็นฝูง โดยทั่วไปแล้วจะมีสามตัว พวกมันจะผลัดกันล่าเหยื่อ หลังจากตะปบเหยื่อสำเร็จจะก็กลับมารวมตัวกันอีกครั้ง คราวนี้มีสามสี่ตัวที่ไล่ตามหลังพวกเขาในในคราเดียว เห็นได้ชัดว่านี่คือฝูงหมาป่าขนาดใหญ่เลยทีเดียว!
นอกเหนือจากนี้หมาป่าเป็นสัตว์ที่ระวังตัวมาก จะไม่พุ่งเข้าใส่ทันทีที่เห็นเหยื่อ พวกมันจะสะกดรอยสังเกตการณ์ หาข้อบกพร่อง และคว้าโอกาสที่ดีที่สุดในการโจมตี หรือว่าหมาป่าเหล่านี้ติดตามขบวนเกวียนมาสักระยะหนึ่งแล้ว? อีกทั้งไม่มีผู้อารักขาคนใดสังเกตเห็น!
ช่างน่ากลัวเกินไปแล้ว!
ความคิดวูบผ่านเข้ามาในหัว ซ่งชูอีรีบยื่นมือคว้าตัวจางอี๋ ใช้เท้าเหยียบราวประตูไว้ ออกแรงลากเขาขึ้นมา
“ปีนขึ้นมาเร็ว หมาป่าอยู่ข้างหลัง!” ซ่งชูอีเห็นว่าดวงตาสีเขียวมันวาวใกล้จะประชิดขาของจางอี๋แล้ว อดไม่ได้ที่จะร้องตะโกน ดึงเขาขึ้นมาด้วยเรี่ยวแรงทั้งหมดที่มี
โชคดีที่จางอี๋ค่อนข้างอ่อนแอ ไม่นับว่าตัวหนักมาก ด้วยความร่วมมือของทั้งสองคน ในที่สุดจางอี๋ก็ปีนเข้ามาในเกวียนม้าสำเร็จ
ซ่งชูอีเอื้อมมือไปปิดประตูเกวียนอย่างรวดเร็ว
ในชั่วพริบตาเดียว ก็ได้ยินเสียงดัง “ปัง”! มีของหนักบางอย่างชนเข้ากับประตูเกวียน ซ่งชูอีเด้งถอยหลังไปหลายนิ้ว ประตูเปิดออกอีกครั้ง เสียงเห่าหอนคร่ำครวญของหมาป่าดังมาจากด้านนอก
เกวียนม้ายังคงสะเทือนไปตลอดทาง ซ่งชูอีกับจางอี๋สองคนคลานไปอยู่ข้างประตู ปิดประตูลงอย่างรวดเร็ว หายใจกระหืดกระหอบอยู่ภายในเกวียน
“พลังที่ข้าสะสมมาหลายวันนี้ ทั้งหมดหายไปภายในพริบตาแล้ว!” ซ่งชูอียกมือขึ้นคล้องสลักประตู คลานเข้าไปข้างใน เอาตัวพิงผนังเกวียนอย่างอ่อนแรง
ตั้งแต่ซ่งชูอีคืนชีพ แม้ว่าจะกินมาฮวงแล้ว ไข้ลดลงแล้ว แต่ว่านางยังไม่เคยหลับเต็มตื่นหรือกินเต็มอิ่มสักครั้ง ด้วยเหตุนี้ร่างกายจึงอ่อนแอ ครึ่งเดือนมานี้ นางกินๆ นอนๆ อยู่ในขบวนเกวียน ฟื้นฟูกำลังคืนมาได้ด้วยความยากลำบาก
“หวยจินช่วยชีวิตข้าไว้ครั้งหนึ่ง วันหน้าข้าจะตอบแทนด้วยความสามารถทั้งหมดที่มี!” จางอี๋รอดพ้นความตายมาได้ รู้สึกโล่งอกเล็กน้อย พลันยืนตัวตรงประสานมือคำนับซ่งชูอี
ซ่งชูอีโบกไม้โบกมือ ปีนขึ้นมามองออกไปนอกหน้าต่าง “ชีวิตของพวกเรายังอยู่ในอันตราย จะรอดชีวิตได้หรือไม่ยังไม่รู้ แต่ถ้าหากรอดครานี้ไปได้ ท่านอย่าลืมคำพูดในวันนี้แล้วกัน”
“ไม่ลืมเด็ดขาด!” จางอี๋เอ่ย
ซ่งชูอีถอนหายใจ “พวกเราสองคนจะมีชีวิตรอดหรือไม่ อยู่ที่ความประสงค์ของสวรรค์แล้ว”
จางอี๋ก็เข้าใจสถานการณ์ที่อยู่ตรงหน้า เกวียนม้าคันนี้มีไว้สำหรับขนย้ายพวกนักแสดงและสาวงามโดยเฉพาะ เนื่องด้วยเกรงว่าพวกเขาจะควบคุมคนขับและพยายามหลบหนี ดังนั้นจึงไม่ได้มีประตูอยู่หน้าด้านเหมือนเกวียนม้าทั่วไป ประตูของมันอยู่ด้านหลัง
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ พวกเขาไม่สามารถควบคุมม้าได้ ทำได้เพียงรอให้เกวียนม้าหยุดด้วยตัวของมันเอง
ซ่งชูอีหดศีรษะมาจากหน้าต่าง ดึงผ้านวมผืนหนึ่งออกมาแล้วโยนไปที่จางอี๋ทันใด “เอานี่พันรอบตัวไว้ เร็วเข้า!”
จางอี๋รับผ้านวมมา พิงตัวอยู่ที่หน้าต่างแล้วโผล่ศีรษะดูข้างนอก อดไม่ได้ที่จะร้องอุทาน “พวกหมาป่ายิ่งมากขึ้นทุกทีแล้ว!”
“ข้ารู้ รีบพันผ้านวมเร็วเข้า! แล้วมาทางนี้” ซ่งชูอีกล่าวพลางพันตัวเองไว้ในผ้านวมแล้ว เขยิบตัวไปด้านในสุดของผนังเกวียน
จางอี๋ไม่รู้ว่าเหตุใดต้องทำเช่นนี้ แต่ก็ยังพันตัวเองด้วยผ้านวมในแบบเดียวกัน เขาเพิ่งเขยิบตัวเข้าไปด้านใน ก็ได้ยินเสียงหวีดร้องอันน่าอนาจของม้า เสียงชนโครมลอยมาจากข้างนอก เกวียนม้าพุ่งกระแทกไปด้านหน้าฉับพลัน
สองคนที่อยู่ในเกวียนกระแทกเข้ากับผนังเกวียนอย่างแรง แต่เนื่องจากมีผ้านวมหนาเป็นกันชน จึงไม่ได้รับบาดเจ็บ เพียงแต่รู้สึกว่าอวัยวะภายในแตกเป็นเสี่ยงๆ เจ็บปวดทั่วร่างกาย อดไม่ได้ที่จะไอสำลัก
ไอสองสามที ทั้งสองคนก็เงียบเสียงทันที เพราะว่าตัวติดกับผนังเกวียน จึงได้ยินเสียงเหมือนสุนัขกินอาหารและร้องครวญครางอย่างชัดเจน กลิ่นเลือดอันหนักหน่วงลอยมาแตะจมูก
ซ่งชูอีหัวใจเต้นรุนแรง หมาป่าเป็นสัตว์ที่ฉลาดมาก เมื่อครู่ขณะที่พวกมันไล่ตามเกวียนม้าเห็นว่ามีมนุษย์ที่ยังมีชีวิตอยู่ข้างใน ไม่มีทางปล่อยพวกเขาไปอย่างแน่นอน
แม้แต่เสือยังหวาดกลัวฝูงหมาป่า ภายใต้การโจมตีของพวกมัน ราชาแห่งป่าก็ยากที่จะรอดชีวิตมาได้ นับประสาอะไรกับบัณฑิตที่ไร้ซึ่งกำลังอย่างพวกเขาสองคน
ทำเยี่ยงไรดี! มือของซ่งชูอีที่อยู่ในผ้าห่มไม่รู้ว่าชุ่มไปด้วยเหงื่อตั้งแต่เมื่อใด นางจ้องเขม็งไปยังหน้าต่างบานเล็กที่อยู่บนผนัง แม้จะรู้ว่ารูปร่างของหมาป่าโดยทั่วไปแล้วไม่สามารถผ่านหน้าต่างบานนั้นเข้ามาได้ แต่ก็ยังอดไม่ได้ที่จะเป็นกังวล
ทันใดนั้น เสียงหวยโหนของหมาป่าที่ดังอยู่ข้างหูเงียบลงกะทันหัน ความเงียบสงัดกลับคืนมาอีกครั้ง มีเพียงกลิ่นคาวเลือดแสบจมูก และเสียงฝนซู่ที่ตกกระทบกับใบไม้
“มีแสง…” จางอี๋ก็เห็นด้วยเช่นกัน กดเสียงต่ำ
ซ่งชูอีเม้มปากแน่น จ้องมองลำแสงอ่อนๆ ที่ผ่านเข้ามาทางหน้าต่างไม่วางตา มันมีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย ไม่รู้ว่าเป็นคนที่ผ่านทาง หรือเป็นผู้หลบฝนในบริเวณใกล้เคียงที่ได้ยินเสียงดังจึงก้าวออกมาดู
ไม่ว่าจะเป็นประเภทไหนก็ล้วนเป็นข่าวดีอย่างใหญ่หลวง! ซ่งชู่อีอ้าปากตะโกนร้อง “มีฝูงหมาป่า! ระวัง! มีฝูงหมาป่า!”
ทางนั้นมีการเคลื่อนไหวตามคาด เสียงผู้ชายคนหนึ่งดังขึ้นทันใด “ระวังตัว!”
ไฟด้านนอกสว่างไสวกะทันหัน
ซ่งชูอีอยู่ด้านในเกวียนก็สามารถรู้สึกได้ถึงบรรยากาศที่ตึงเครียดด้านนอก ฝูงหมาป่าส่งเสียงร้องคร่ำครวญ หลังจากเผชิญหน้ากับผู้คนครู่หนึ่ง ก็ล่าถอยไปโดยสิ้นเชิง
ฝูงหมาป่าล่าถอยโดยไม่ต่อสู้ เนื่องจากมีคนมากเกินไปซึ่งอยู่นอกเหนือพลังโจมตีของพวกมัน ร่างกายของซ่งชูอีกับจางอี๋หมดแรงฉับพลัน พิงผนังเกวียนด้วยความอ่อนปวกเปียก คอยฟังเสียงฝีเท้าที่ใกล้เข้ามา เสียงฝีเท้าหยุดอยู่ไม่ไกลนัก ยังคงเป็นเสียงของชายหนุ่มที่ตะโกนเมื่อครู่ดังขึ้น “ผู้ใดอยู่ในเกวียน!”
ซ่งชูอีมองออกไปทางหน้าต่างบานเล็ก ท่ามกลางราตรีแห่งสายฝน ชายรูปร่างกำยำผู้หนึ่งกำลังถือร่ม สวมชุดเกราะสีน้ำตาลเข้ม มีทหารยืนเรียงแถวอยู่สองข้างทางพร้อมคบเพลิงในมือ
ชายผู้นั้นอายุประมาณสามสิบเห็นจะได้ เค้าโครงรูปหน้าเด็ดเดี่ยว แววตาซ่อนอยู่ใต้เงาร่ม มองไม่เห็นสีหน้า รู้เพียงเม้มริมฝีปากเล็กน้อยอยู่ตลอดเวลา มีหนวดสั้นอยู่ที่คาง อีกทั้งมือที่กำลังถือร่มนั้นทรงพลังและมีขนาดใหญ่
“พวกเราคือขบวนนักแสดงที่ถูกโจมตี” ซ่งชูอีตอบ
ชายผู้นั้นยกร่มขึ้น คิ้วหนาเตอะขมวดกันเล็กน้อย มองสำรวจซ่งชูอีครู่หนึ่ง ภายใต้แสงไฟนั้น ใบหน้าซีดขาวของนางถูกผมดกดำปกปิดไปครึ่งหนึ่ง แต่ว่าดวงตาคู่นั้นกลับสงบนิ่งชวนให้ยากที่จะลืมเลือน ในใจเขารู้ดีว่าเมื่อครู่พวกเขาค่อนข้างอยู่ห่างจากที่นี่ หากไม่เป็นฝ่ายข่มขู่ฝูงหมาป่าก่อน พวกมันก็จะไม่โจมตีกองทหารตามอำเภอใจอย่างแน่นอน คนที่อยู่เบื้องหน้าเห็นได้ชัดว่าเรียกร้องความสนใจ เพียงเพื่อพาพวกเขามาเผชิญหน้ากับหมาป่าก็เท่านั้น บัดนี้เสียงของเขาเย็นชา “กล่าวความจริง!”
มีไหวพริบเร็วเสียจริง! ซ่งชูอีแอบชื่นชมอยู่ในใจ เมื่อเห็นว่าเขามีแรงอาฆาตเล็กน้อย รีบเอ่ย “จางอี๋ศิษย์สำนักกุ่ยกู๋จื่อ”
ทันใดนั้น เหล่ากองทหารสองข้างทางต่างอดไม่ได้ที่จะส่งเสียงเซ็งแซ่ ความยินดีปรีดาค่อยๆ แพร่กระจายออกมา
“ฮาฮาฮา!” จู่ๆ ชายนิ่งเงียบผู้นั้นก็ระเบิดเสียงหัวร่อดัง “ดูท่าทางสวรรค์ไม่ใจร้ายกับข้าแล้ว!”
พูดจบก็สั่งให้คนช่วยกันประคองเกวียนม้าขึ้นมา โยนร่มทิ้ง เดินเข้ามาที่เกวียนด้วยตัวเอง คุกเข่าลงข้างหนึ่ง แล้วประสานมือคารวะ “ได้โปรดท่านช่วยชีวิตข้าด้วย!”
ซ่งชูอียื่นมือดึงจางอี๋ขึ้นมา “คนเขาอยากให้เจ้าช่วย”
จางอี๋เพิ่งจะตั้งสติได้ก็ถูกซ่งชูอีผลักออกมา ตะลึงงันไปครู่หนึ่ง เอ่ยเสียงเบา “ท่าทางของพวกเขาเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าสู้รบอยู่ในกองทัพ ข้าทำงานการทูต หาใช่ทหารไม่ จะช่วยเหลือได้เยี่ยงไร!”
ซ่งชูอีหัวเราะหึ “ที่น่าบังเอิญมากคือ ข้ารู้เรื่องกลยุทธ์ทางทหาร แต่ว่าอาจารย์ของพวกเจ้าค่อนข้างมีชื่อเสียงมิใช่รึ? ผู้อื่นได้ยินก็รู้จักทันที!”
ด้วยเหตุนี้จางอี๋จึงวางใจลงมาบ้าง หันไปเอ่ยกับด้านนอก “ไม่ต้องมากพิธี พวกข้ารอดพ้นจากปากของหมาป่าได้ ทั้งหมดเป็นเพราะความช่วยเหลือจากพวกเจ้า หากสามารถช่วยเหลือได้ ข้ากับสหายของข้าจะพยายามอย่างเต็มที่”
“ขอบคุณพวกท่านทั้งสอง!” ผู้นั้นดีใจยิ่ง ทหารที่เหลือต่างส่งเสียงร้องยินดี ทันใดนั้นฝนยามราตรีก็โหมกระหน่ำ
……………………………